ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
เปรี้ยง-!
ก๊า ก๊า กา--!
จ้าวซินผิงกระชับกระบี่ในมือรวบรวมพลังปราณฟาดลงบนโขดหินใหญ่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว มันถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อนในทันที ต้นไม้ใหญ่น้อยใกล้เคียงพากันหักโค่น เหล่านกกาบินกระเจิดกระเจิงหนีตายไปคนละทิศละทาง
“เกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าคะ…นายหญิง!” เงาดำสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ชิงเสอถามหน้าตาตื่น ตามติดด้วยเหล่าองครักษ์ผู้มาถึงภายในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
“มิมีสิ่งใด…ข้าเพียงลองศัสตราวุธ พวกเจ้าเข้าไปเลือกกันคนละชิ้นเถิด…..”
โชคดีที่เรือนจู๋จื่อตั้งอยู่บนเชิงเขาติงซาน ภูเขาลูกสุดท้ายอันห่างไกลจากผู้คนในจวน มิเช่นนั้นเห็นทีคงมีแตกตื่นกันทั้งตระกูล แต่สำหรับยอดฝีมือทั้งหลายแล้ว ระดับการได้ยินเสียงย่อมสูงส่งเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป แม่ทัพหานยกสถานที่แห่งนี้ให้เป็นอาณาเขตของนางเพราะห่างไกลจากสายตาผู้คนและมิต้องพบปะข้องแวะกับผู้ใด หญิงสาวเคยสำรวจพื้นที่ในหุบเขาพบว่าบนยอดสูงมีปากถ้ำแห่งหนึ่งภายในถ้ำเป็นลานโล่ง เพดานถ้ำมีปล่องไฟมองเห็นดวงอาทิตย์ได้ในยามกลางวันและสามารถเห็นพระจันทร์ในยามค่ำคืน นอกจากนี้ยังมีสัตว์อสูรและสมุนไพรภูติหนาแน่น
เรือนจู๋จื่อของจ้าวซินผิงมีบรรยากาศโดยรอบร่มรื่นห้อมล้อมไปด้วยป่าไผ่ เงียบสงบ ลมพัดเย็นสบาย ด้านหน้าเป็นบึงบัวขนาดใหญ่ และศาลาแปดทิศอันกว้างขวาง เดิมทีตัวเรือนศาลาค่อนข้างชำรุดทรุดโทรม หานฮูหยินจึงสั่งบ่าวไพร่มาซ่อมแซมปรับปรุงจนมีภูมิทัศน์อันงดงาม ยามว่างนางและเหล่าองครักษ์มักใช้เวลากับการปลูกสมุนไพร ไม้ดอกไม้ประดับ และหมักเหล้า ทุกคนใช้ชีวิตร่วมกันประดุจญาติพี่น้อง
‘จุ้นโก่ว’ เด็กหนุ่มรูปงามท่วงท่าสำอาง นิสัยอ่อนโยนรอบรู้ ปฏิภาณไหวพริบล้ำเลิศ วรยุทธ์สูงส่งเกินตัว สามารถเลื่อนขั้นเป็นจอมเวทย์ได้ตั้งแต่อายุเพียงสิบสามปี
เขาเลือกพัดน้ำแข็งเป็นอาวุธประจำกายและเดินออกมาเป็นคนแรก
“อาวุธที่เจ้าเลือก มีนามว่า ‘ปิงซ่านจื่อ’ ในยามปกติพัดเล่มนี้มักแผ่กระจายไอเย็นให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย แต่ในยามจู่โจมสามารถแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ธาตุน้ำที่มี พลานุภาพรุนแรง เลือกได้ดี!” สตรีชุดดำเอ่ยชมมุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ขอบคุณขอรับนายหญิง” หนุ่มน้อยค้อมศีรษะแสดงความขอบคุณ เมื่อเงยหน้าขึ้นดวงตาคู่นั้นพลันเจิดจ้าเปล่งประกาย ร่างโปร่งระหงค่อย ๆ ลอยตัวสูงขึ้นจนปลายเท้าระยอดไม้ เขาทดลองศัสตราวุธใหม่อย่างตื่นเต้น
เปรี้ยง--!
“สงสัยเรือนเราจะได้ฟืนไว้ใช้ในยามหน้าหนาวยาวไปอีกหลายปีเลยนะเจ้าค่ะ” สาวน้อยเปล่งเสียงหัวเราะคิกคักอย่างร่าเริง ทำให้ทุกคนพลอยยิ้มแย้มเบิกบานใจ
“พิณที่เจ้าเลือก คือ ‘พิณวายุขงโหว’ สร้างจากงาช้างสีขาวนวล โดยทั่วไปพิณขงโหวจะมีขนาดใหญ่ปรากฏเส้นเสียงดนตรีห้าสิบสาย ทว่าศัสตราวุธธาตุชิ้นนี้กลับย่อส่วนขึงสายเพียงยี่สิบสี่เส้นทำให้พกพาสะดวก สามารถเรียกลมเรียกพายุ ท่วงทำนองเสียงดนตรีเป็นตัวกำหนดระดับความรุนแรง เหมาะสมกับเจ้ายิ่งนัก”
‘เหม่ยจี’ นับเป็นอัจฉริยภาพทางดนตรี อาหาร ศิลปะ และความงาม เครื่องดนตรีชิ้นนี้ จึงเหมาะกับดรุณีน้อยใสซื่อรูปร่างสะโอดสะองหน้าตาสวยหวานเช่นนางที่สุด
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เสียงพิณสุดแสนไพเราะถูกบรรเลงขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีวนนำพาสายลมพัดโชยอ่อนทำให้ผู้ฟังรู้สึกรื่นรมย์เย็นใจ
“ข้าเลือกชิ้นนี้!” ต้าหนิว พูดสั้น ๆ กระชับค้อนในมือควงเล่นอย่างรู้สึกพึงพอใจ เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวเนื้อดำแดง นิสัยพูดน้อย สุขุมเยือกเย็น ติดตามรับใช้หญิงสาวมานานราวทาสผู้ซื่อสัตย์
“ค้อนที่เจ้าเลือก คือ ‘จื่อฉุยฉื่อ’ สร้างจากหยกม่วงธาตุดินมีพลังทำลายล้างสูงส่ง แม้แต่พื้นดินยังต้องสั่นสะเทือนยามเจ้าใช้มันกำราบศัตรู”
“ต้าเกอ…ท่านอย่าได้ริทดลองเสียล่ะ ไม่อย่างนั้นวันนี้พวกเราคงต้องไร้ที่ซุกหัวนอนกันแน่แล้ว” สาวสวยรูปร่างอ้อนแอ้นอรชรพูดจาหยอกเย้ากลั้วเสียงหัวเราะ ความครื้นเครงพลันบังเกิดขึ้นอีกหน
‘ชิงเสอ’ สาวงามวัยสิบเก้าแพรวพราวเต็มเปี่ยมด้วยเสน่ห์อันยั่วยวน ไม่ว่ายามแย้มยิ้ม จำนรรจา หรือยามเยื้องย่างก้าวเดิน ล้วนเต็มไปด้วยจริตจะก้าน ภายใต้ความงามลวงตาอันล่อหลอก นางเป็นสายลับชั้นยอด เชี่ยวชาญการแกะรอย สืบหาหลักฐาน ปรุงยาพิษทุกชนิด วิชาตัวเบาล้ำเลิศ
นางคือผู้รับใช้ใกล้ชิดที่สุดของจ้าวซินผิง เลือก ‘กริชเฟิ่งหวง’ เป็นศัสตราวุธคู่ใจ บนด้ามกริชประดับลวดลายหงษ์สยายปีก ดวงตาคู่นั้นสร้างจากทับทิมเพลิงทำให้แลดูมีชีวิตชีวาราวกับกำลังโผบิน
องครักษ์ทั้งสี่ต่างรู้สึกปลาบปลื้มยินดี ศัสตราวุธล้ำค่าหายากเช่นนี้มิใช่ใครก็สามารถเป็นเจ้าของได้โดยง่าย เมื่อมีอาวุธชั้นเลิศไว้ในครอบครองย่อมช่วยพัฒนาฝีมือไปได้มาก
“เริ่มจากแคว้นเซี่ยเถิด…ข้ามีเบาะแสสำคัญบางประการ ชิงเอ๋อร์ เจ้าจงไปเตรียมความพร้อมให้เพียงพอต่อการเดินทางทั่วทุกแคว้น” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างสบายอารมณ์ พลางยกจอกชาขึ้นมาจิบ วันนี้อากาศดีจึงยกโขยงมานั่งเล่นบนศาลาแปดทิศ
“เจ้าค่ะนายหญิง” สาวงามรับคำสั่ง
“ต้าหนิว พรุ่งนี้เจ้าจงนำศัสตราวุธธาตุในห้องโถงไปยังหุบเขาไท่ซานแจกจ่ายแก่เหล่าองครักษ์ บอกป๋ายสู่ส่งนักรบมาคุ้มกันจวนอย่างลับ ๆ จำนวนหนึ่ง ข้ามิต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เจ้ากลับมาเมื่อใดพวกเราจะเริ่มออกเดินทางกัน” ชายหนุ่มรับคำสั่งแล้วกระพริบกายจากไปอย่างรวดเร็ว
ในยุทธภพแบ่งการต่อสู้ออกเป็นสองสาย สายแรก ‘พลังยุทธ์’ มีห้าลำดับขั้น เริ่มต้นจาก นักรบ จอมยุทธ์ ยอดยุทธ์ ปรมาจารย์ยุทธ์ และราชันย์ยุทธ์
ส่วนอีกสาย คือ ‘พลังเวทย์’ มีห้าลำดับขั้นเช่นกัน เริ่มจาก นักเวทย์ จอมเวทย์ มหาเวทย์ ปรมาจารย์เวทย์ และราชันย์เวทย์
นอกจากนี้พลังยุทธ์ทั้งสองสายยังมีขีดพลังที่บ่งบอกถึงระดับวิวัฒนาการแยกย่อยอีกสามลำดับขั้น คือ พลังขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นสูง ซึ่งล้วนต้องใช้พลังปราณเป็นสิ่งขับเคลื่อน
บุคคลโดยทั่วไปมักมีพรสวรรค์เพียงด้านใดด้านหนึ่งหรือบางคนถึงขั้นไร้พรสวรรค์ไม่มีแม้เพียงสักด้าน ผู้ที่สามารถใช้พลังได้ทั้งสองสายจึงนับเป็นอัจฉริยะอย่างหาตัวจับได้ยากยิ่ง
แม้นผู้คนส่วนใหญ่ในใต้หล้ายอมรับเพียงผู้มีพลังพิเศษ และดูถูกผู้ไร้พลังวัตรเป็นเพียงขยะ ทว่าจวนสกุลหานกลับแตกต่างออกไป
‘หานหลี่จิน’ หัวหน้าตระกูลคืออัจฉริยะที่มีพลังยุทธ์และพลังเวทย์สูงส่ง ในขณะที่ภรรยาของเขานั้นกลับมิมีพลังใดเลย กระนั้นยังคงได้รับความรักการทะนุถนอมเป็นอย่างดี สามีให้เกียรติมิยอมมีอนุภรรยาเหมือนดั่งสกุลอื่น ทั้งคู่รักใคร่ปรองดองมีบุตรธิดารวมกันสี่คน
บุตรชายคนโต ‘หานหลี่เหลียง’ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งขุนพล เพราะใช้ชีวิตคร่ำหวอดอยู่ในสนามรบจนล่วงเลยวัยวิวาห์ไปหลายปี ฮ่องเต้แคว้นลู่จึงพระราชทาน ‘องค์หญิงเหม่ยชิง’ ตบแต่งเป็นพระชายา ทั้งคู่มีบุตรชายสองคน คือ คุณชายใหญ่หานลี่หยางและคุณชายสามหานลี่หย่ง
‘หานหลี่เจียง’ บุตรชายคนรอง ผู้มีพรสวรรค์ในการหลอมรวมศัสตราวุธ สมรสกับ ‘เสวี่ยซูหลิน’ บุตรสาวบัณฑิตตกยาก มีบุตรชายสองคน คือ คุณชายรองหานลี่เสียงและคุณชายสี่หานลี่เสียน
บุตรีคนโต ‘หานหลี่ฮวา’ แม่ศรีเรือนผู้เชี่ยวชาญในงานสตรีทั้งปวง โดยเฉพาะเรื่องเย็บปักถักร้อยซึ่งสามารถปักลวดลายออกมาได้อย่างงดงาม ทุกเส้นด้ายทุกฝีเข็มเมื่อปรากฏบนผืนผ้าดูราวกับมีชีวิต นางสมรสกับ ‘หลีเจียเจิง’ ชายสามัญผู้ไร้พลังพิเศษ ทว่าพรสวรรค์ทางการค้าของเขากลับล้ำเลิศยิ่ง ใช้เวลาเพียงสามปีก็สามารถขยับขยายร้านรวงออกไปหลายสาขาครอบคลุมสินค้าถึงสี่ชนิด เสื้อผ้า เครื่องประดับ ศัสตราวุธ และโอสถ
หากนับเป็นพ่อค้าใหญ่แห่งแคว้นย่อมมิได้กล่าวเกินจริง ปัจจุบันทั้งคู่มีบุตรีด้วยกันหนึ่งคน คือ คุณหนูห้าหานลี่เจี๋ย
‘หานหลี่หลัน’ บุตรสาวคนเล็ก ผู้ไร้ซึ่งพลังปราณแต่เชี่ยวชาญในการรักษา สมรสกับ ‘เว่ยหลุนซี’ ผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ด้านการปรุงยา ทั้งคู่เปิดโรงหมอรักษาผู้ยากไร้ มีบุตรชายหญิงฝาแฝด คือ คุณหนูหกหานลี่เซียนและคุณชายเจ็ดหานลี่เซียว
ชายใดปรารถนาสตรีสกุลหานไว้เคียงคู่ ล้วนต้องแต่งเข้าตระกูลเปลี่ยนมาใช้แซ่หาน ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ สามัญชน หรือคนยากไร้ บิดามารดาย่อมมิกีดกันขอเพียงบุตรสาวพึงพอใจแต่จะออกเรือนได้ก็ต่อเมื่อมีอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์เท่านั้น ดังนั้นในรุ่นลูกทั้งเขยและสะใภ้จึงพร้อมใจเปลี่ยนมาใช้แซ่หานกันหมดยกเว้นองค์หญิงเหม่ยชิงที่ยังคงอิสริยยศองค์หญิงเอาไว้
สำหรับตระกูลหานแล้ว บุตรีคือสิ่งล้ำค่าที่สวรรค์ประทาน เปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของทุกคนในสกุล
การตั้งชื่อบุคคลในครอบครัว รุ่นลูกจะยึดตัวอักษร ‘หลี่’ ที่แปลว่า ‘ต้นพลัม’ ตามอย่างแม่ทัพหาน ส่วนในรุ่นหลาน จะใช้ตัวอักษร ‘ลี่’ ตามสตรีอาวุโสของตระกูลแต่ต่างความหมายกัน โดยอักษรลี่ในเด็กผู้ชายจะแปลว่า ‘เฉียบขาด’ สำหรับเด็กผู้หญิงใช้อักษรลี่ที่แปลว่า ‘งดงาม’ เพื่อแสดงถึงความรักความสามัคคีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสกุล
ปีนี้บุตรชายคนโตขององค์หญิงเหม่ยชิงเข้ารับการศึกษาที่สำนักเซียนซูเป็นครั้งแรก จึงทำให้พระองค์รู้สึกเงียบเหงาเพราะเหลือเพียงบุตรชายคนเล็กเท่านั้น ครั้นได้พบกับจ้าวม่านหนีและจ้าวอี้หรงก็รู้สึกถูกชะตาจึงขันอาสาขอรับเด็กทั้งคู่ไปดูแล แม้ชาติกำเนิดสูงส่งแต่องค์หญิงกลับมิมีนิสัยเจ้ายศเจ้าอย่างทำให้หญิงสาวรู้สึกไว้วางใจ
นอกจากนี้นางยังให้หลานทั้งสองเปลี่ยนไปใช้แซ่หานเป็นการชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยจนกว่าจะเติบใหญ่
“หยกชิ้นนี้มารดาเจ้ามอบไว้ก่อนสิ้นลมหายใจ ข้าแบ่งครึ่งให้พวกเจ้าเก็บไว้ดูต่างหน้า ส่วนถุงเฉียนคุนสองใบนี้เป็นสมบัติตระกูล จงรู้จักรักษาและใช้ประโยชน์จากมัน” จ้าวซินผิงมอบหยกขาวเนื้อละเอียดมันวาวมองดูแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวลเหมือนปุยเมฆและถุงเฉียนคุนซึ่งด้านบนปักชื่อเด็กทั้งสองไว้อย่างสวยงามให้แก่หลานชาย
‘ถุงเฉียนคุน’ ถุงผ้าปักลายสามารถกักเก็บสิ่งของได้อย่างไม่จำกัด เรียกใช้โดยการสื่อจิตถึงไม่มีวันสูญหายและไม่ต้องพกพา เว้นเสียแต่เจ้าของหมดลมหายใจถุงเฉียนคุนจึงจะปรากฏ
“ครั้งนี้ท่านป้าจะเดินทางไปนานหรือขอรับ” เด็กชายตัวน้อยถามเสียงเศร้า แม้นมิมีความผูกพันแต่หญิงสาวเป็นญาติใกล้ชิดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่เพราะมีนางเขาจึงรู้สึกอุ่นใจคลายความคิดถึงมารดาไปได้บ้าง
“เจ้าต้องเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพื่อชิงบัลลังก์กลับคืน จุ้นโก่วและเหม่ยจีจะช่วยกันดูแลพวกเจ้า ทั้งสองคือองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ภักดีที่ข้าไว้วางใจ” นางสั่งความพลางลูบศีรษะหลานชายอย่างอาลัย
หากไม่รีบออกตามหาศัสตราวุธเทพ อีกไม่กี่ปีตัวนางย่อมต้องแก่เฒ่า ความสำเร็จคงต้องยืดเยื้อออกไปอีก มิสู้ลงมือทำเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทำในขณะที่ร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่ การเตรียมพร้อมทุกอย่างสำหรับอนาคตของหลานเป็นการแสดงออกถึงความรักในรูปแบบของนาง
“ขอรับข้าจะปฏิบัติตาม” เด็กชายรับปากอย่างว่าง่าย หญิงสาวจูงมือหลานชายพาขึ้นเตียงเพื่อเข้านอนเคียงข้างเด็กหญิงตัวน้อย
“เด็กดีนอนเสียเถิด…พรุ่งนี้ข้าต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่” จ้าวซินผิงห่มผ้าให้หลานทั้งสองอย่างอ่อนโยน
ช่วงนี้นางให้เด็กทั้งสองมานอนค้างด้วยกันที่เรือนจู๋จื่อเพื่อใช้เวลาร่วมกัน ม่านหนีตัวน้อยกินอิ่มนอนหลับไปนานแล้ว ยามหลับตาพริ้มช่างน่ารักดุจดั่งเทพธิดาตัวน้อย มิน่าเล่าองค์หญิงเหม่ยชิงถึงได้โปรดปรานยิ่งนัก นางรู้สึกเอ็นดูสาวน้อยจนอดเขี่ยขนตายาวงอนเบา ๆ มิได้
ข้ามิใช่คนสามัญ…..
ข้ามิเคยใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดา…..
ชีวิตของข้ามีแต่ต้องร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย…..