ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
เมืองหนานเซียง แคว้นลู่
จวนสกุลหาน มีอาณาเขตกว้างขวางโอบล้อมครอบคลุมหุบเขาถึงสามลูก ภูเขาสองลูกแรกตั้งตระหง่านเคียงคู่กัน นามว่า ‘อี๋ซาน’ และ ‘ปิ้งซาน’ ส่วนลูกสุดท้ายอยู่ลึกเข้าไปเป็นหุบเขาที่สูงที่สุดนามว่า ‘ติงซาน’ เมื่อมองภาพรวมจึงดูคล้ายกับรูปสามเหลี่ยม มีต้นไม้รกทึบหนาแน่นพืชพรรณหมู่มวลไม้ดอกนานาชนิดอุดมสมบูรณ์ โดยรอบพื้นที่มีการวางค่ายกลเพื่อป้องกันการลุกล้ำจากแขกผู้มิได้รับเชิญ และบริเวณหน้าจวนมีทะเลสาบขนาดใหญ่ทิวทัศน์งดงามร่มรื่นสายลมพัดโชยอ่อนตลอดทั้งวัน
เล่าลือกันว่าหุบเขาแห่งนี้เป็นชัยภูมิที่ได้รับการชี้แนะจากปราชญ์ผู้หยั่งรู้ เนื่องจากมีพลังแห่งฟ้าดินและกลิ่นอายเทพเซียนปกคลุมหนาแน่น จึงสามารถคุ้มภัยแก่คนในตระกูลให้แคล้วคลาดจากอันตราย
แม้นเป็นถึงจวนแม่ทัพแต่การตกแต่งกลับมิได้หรูหรา ข้าวของเครื่องใช้ล้วนมีลักษณะเรียบง่ายสร้างจากไม้พะยูงหอม ที่พอมีหน้ามีตาหน่อยคือเรือนต้อนรับและเรือนรับรองแขกอันโอ่โถง
จ้าวซินผิงเคยมายังจวนแห่งนี้หลายคราแต่มิเคยมีโอกาสสำรวจพื้นที่โดยรอบ หากได้อยู่นานหน่อยคงจะดีไม่น้อย นางอยากพิสูจน์ว่าชัยภูมิของตระกูลหานนั้นเต็มไปด้วยพลังเซียนสมดังคำร่ำลือจริงหรือไม่
ผู้คนในตระกูลหานล้วนมีนิสัยเปิดเผยโอบอ้อมอารีย์มิใคร่ยึดติดกับยศฐาบรรดาศักดิ์จึงทำให้หญิงสาวรู้สึกสบายใจเมื่อยามมาเยือน แม้นว่าฮูหยินเฒ่าของตระกูลจะให้ความเอ็นดูแก่นางเป็นพิเศษแต่หญิงสาวมินึกใคร่ไว้วางใจผู้ใดโดยง่ายจึงยังคงรักษาระยะห่างอย่างมีมารยาท
“ข้าน้อยขอคารวะท่านแม่ทัพหาน หานฮูหยิน และท่านอาจารย์เจ้าค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด ผิงเอ๋อร์ แท้จริงแล้วพวกเราล้วนเป็นญาติใกล้ชิดที่เหลืออยู่ของเจ้า จงเรียกข้าว่าน้าเขยเถิดเพราะอาเฟิงคือฝาแฝดผู้น้องของมารดาเจ้าที่ถูกพาตัวมายังแคว้นลู่ตั้งแต่วัยแบเบาะ” ประมุขตระกูลกล่าวอย่างรวบรัดด้วยน้ำเสียงทรงพลังเปี่ยมเมตตา แม้นเขาจะพอรู้ถึงต้นสายปลายเหตุแต่ยังอดสะเทือนใจมิได้ ชะตากรรมของผู้คนในตระกูลนี้ช่างน่าเวทนายิ่งนัก
สตรีชุดดำเบิกตาโตกระพริบตาถี่ ๆ อย่างตกตะลึงก่อนกลอกตาไปมามองดูสีหน้าทุกคนโดยทั่ว เมื่อเหลือบมองอาจารย์เพื่อขอคำยืนยัน ชายชรากลับพยักหน้าแทนคำตอบ
ที่แท้! นอกจากหลานในไส้ทั้งสอง นางยังมีเครือญาติอื่นอีก แล้วเหตุใดอาจารย์จึงมิเคยบอกนาง เหตุใดนางจึงต้องถูกตัดขาดจากตระกูล แม้แต่ญาติห่าง ๆ ที่เคยไปมาหาสู่กันบ้างก็กลับมิเคยแสดงตัวว่ามีความผูกพันกันทางสายเลือด พลันบังเกิดคำถามมากมายขึ้นในหัว นางเฝ้าแต่นึกทบทวนถามตัวเองวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
“มินึกเลย…คราวเคราะห์จะมาเยือนตระกูลของพี่ใหญ่เร็วเช่นนี้ บุตรทั้งสองของถิงเอ๋อร์ยังเล็กนัก ไหน! พาพวกเด็ก ๆ มาให้ข้าดูหน้าที” สตรีอาวุโสกวักมือเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเจือสะอื้น ดวงตาแดงก่ำบวมช้ำสะท้อนชัดว่าได้ผ่านความเสียใจมาอย่างแสนสาหัส
เมื่อเห็นสีหน้ามึนงงของหญิงสาวตรงหน้า ฮูหยินเฒ่าก็อดหยิบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตามิได้ ด้วยเหตุคับขันทำให้ตัวนางเองต้องถูกส่งตัวมายังแคว้นลู่ตั้งแต่แรกเกิดโดยมีญาติคนสนิทเป็นผู้เลี้ยงดู เคยได้พบครอบครัวครั้งแรกและครั้งเดียวเมื่อวัยปักปิ่น ภาพคนในครอบครัวร่ำไห้สวมกอดกันทุกถ้อยคำที่ได้พูดคุยยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างยังส่งข่าวสารติดต่อกันอยู่เสมอ ทว่าไม่คิดเลย…กลับยังมีหลานสาวผู้นี้ที่มีชะตาอาภัพเสียยิ่งกว่านาง
“จ้าวอี้หรง ขอคารวะท่านยายเล็ก ท่านตา และท่านอาจารย์จางขอรับ” หนูน้อยประสานมือคำนับกิริยานอบน้อม ใบหน้าหล่อเหลานั้นเซื่องซึมดวงตาเศร้าสร้อยจับจ้องอยู่บนพื้น
“ลุกขึ้นเถิดหลานชาย แม้นข้าแทนที่บิดามารดาเจ้ามิได้ แต่ตระกูลเราย่อมดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี” หานฮูหยินเดินเข้าไปจับไหล่ประคองเด็กน้อยให้ลุกขึ้นยืน ทำให้หนูน้อยรู้สึกซาบซึ้งใจจนต้องก้มหัวคำนับอีกครา ถึงมิเคยพานพบแต่กลับพึ่งพาได้ในยามอับจน
แม้นสตรีตรงหน้าจะละม้ายคล้ายคลึงท่านยาย ทว่ากลับมีรูปโฉมสมบูรณ์ใบหน้าอิ่มเอิบดูยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เป็นนิจ ในขณะที่ท่านยายของเขาเป็นสตรีบอบบางผู้น่าเกรงขาม ซึ่งท่านน้าซินผิงมีบุคลิกที่เหมือนกันกับท่านยายในจุดนี้
“เดินทางมาหลายวันพวกเจ้าคงเหน็ดเหนื่อย พากันไปพักผ่อนเสียก่อนเถิด พ่อบ้านฉู่! จงนำลูกหลานข้าไปยังเรือนรับรองและดูแลรับใช้อย่าให้ขาดตกบกพร่อง!” น้ำเสียงบุรุษเฒ่าเต็มไปด้วยความหนักแน่นเฉียบขาดสมกับเป็นผู้นำแห่งกองทัพ
สิ้นเสียงพลันปรากฏร่างชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนหน้าตาใจดี เดินเข้ามาคำนับแล้วผายมือนำทางพวกเขาออกไป
คนทั้งกลุ่มเคลื่อนตัวตามพ่อบ้านไปอย่างเงียบเชียบ ทุกคนเพลิดเพลินกับการชื่นชมบรรยากาศในจวนอันสุดแสนร่มรื่นเต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งธรรมชาติ สองฟากฝั่งทางเดินล้วนเต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับส่งกลิ่นประชันหอมฟุ้ง ทำให้รู้สึกหายใจโล่งปอดสมองผ่อนคลาย
หากท่านแม่มิสิ้นก็คงมีใบหน้าคล้ายคลึงสตรีอาวุโสผู้นี้ การที่ท่านน้าต้องระเห็จมาอยู่ต่างแดน ต้องเปลี่ยนมาใช้แซ่ตามสามีเพื่อเร้นกาย ชีวิตคงได้รับความลำบากมิใช่น้อย ต้องเข้มแข็งเพียงใดจึงจะสามารถก้าวผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้
สตรีสองรุ่นที่มีชะตากรรมเดียวกัน นับเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายมิอาจรู้ได้ ท่านน้าคงรู้สถานะที่แท้จริงของนางมานานแล้วจึงมอบความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นพิเศษ
บัดนี้…ความจริงบางอย่างปรากฏชัดขึ้น ทว่าคำถามในใจที่สะสมมานานหลายสิบปีคงไม่สามารถคลี่คลายได้ทั้งหมดภายในวันเดียว แต่นางก็ยังหวังว่าจะได้รับความกระจ่างในเร็ววัน
“นายหญิงเจ้าคะ ท่านอาจารย์จางฝากสิ่งของเหล่านี้ไว้ให้ก่อนออกเดินทางเมื่อยามฟ้าสางเจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยรูปร่างบอบบางส่งเสียงหวานเจื้อยแจ้วขณะเดินก้าวข้ามธรณีประตู สองมือเล็ก ๆ หอบกล่องไม้ขนาดใหญ่เกินตัวบดบังใบหน้าเล็กจ้อยเสียมิด เวลาเดินจึงต้องคอยตะแคงหน้าชะโงกดูทางเป็นระยะ
บัดนี้เหม่ยจีมีอายุครบสิบห้าปีพึ่งผ่านพิธีปักปิ่นไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน เดิมทีนางเกิดจากอนุของคหบดีผู้มั่งคั่งในแคว้น ทว่าห้าปีก่อนนางกับมารดากลับถูกฮูหยินเอกของบิดาลวงมาฆ่าทิ้งบริเวณชายป่านอกเมืองแทบเอาชีวิตไม่รอด เคราะห์ดีที่ดวงยังไม่ถึงฆาตจ้าวซินผิงไปพบขณะยังมีลมหายใจรวยรินและช่วยฝังเข็มยื้อชีวิตจนพ้นจากเงื้อมมือของพญามัจจุราช ภายใต้รังที่พลิกคว่ำไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ [1] เมื่อรักษาตัวจนหายดีแล้วนางกลับมิยอมลาจากไป ขออยู่ติดตามหญิงสาวเพื่อตั้งใจศึกษาหาความรู้บ่มเพาะให้ตนเองแข็งแกร่งมิถูกผู้ใดรังแกโดยง่าย
ชิงเสอ จุ้นโกว่ ต้าหนิว และพวกบ่าวไพร่ต่างทยอยขนสิ่งของตามหลังเข้ามามากมายจนล้นโถงล้ำออกไปยังนอกชาน
หากอาจารย์นำมาด้วยตนเองคงไม่วุ่นวายเยี่ยงนี้ เขามักทำตัวลึกลับไร้ร่องรอยราวภูติผีปีศาจ แม้แต่ท่านแม่ทัพหานยังต้องเกรงใจมิกล้าล่วงเกิน จ้าวซินผิงรู้แค่เพียงเขาเป็นบุคคลสำคัญที่ตระกูลเยว่ของท่านแม่ให้ความเคารพ แต่เหตุใดอาจารย์จางจึงพาตัวนางไปเลี้ยงดูก็มิอาจทราบเหตุผลได้
“ทั้งหมดนี้คือทรัพย์สมบัติที่ตระกูลจ้าวทิ้งไว้ ท่านอาจารย์ให้นายหญิงรับช่วงดูแลต่อขอรับ” จุ้นโก่วรายงานตามคำสั่งพลางปาดเหงื่อ กว่าจะขนสิ่งของเหล่านี้มาได้จนหมดใช้แรงงานคนไปไม่น้อย
ใบหน้างามดวงตายาวเรียวแบบรุ่ยเฟิ่งเหยียนค่อย ๆ กวาดสายตาสำรวจทรัพย์สินตรงหน้าอย่างพินิจพิจารณา ทั้งตำราแพทย์ ตำราปรุงยาสมุนไพร ตำราหลอมโลหะผลิตศัสตราวุธ คัมภีร์พิชัยสงคราม บทเพลง กวี ภาพวาด สิ่งของล้ำค่าช่างมากมายดั่งเตรียมการไว้ล่วงหน้ามานานแล้ว
“ช่วยกันแยกตำราเหล่านี้ไปคัดลอกที… ขออย่างละห้าชุด เผื่อใช้ในกาลข้างหน้า ความรู้ศาสตร์ใดหากพวกเจ้าสนใจอนุญาตให้คัดลอกเป็นสมบัติส่วนตัว แต่ห้ามเผยแพร่สู่บุคคลภายนอกเด็ดขาด!” หญิงสาวชี้นิ้วไปยังกองหนังสือพร้อมกำชับเสียงเข้ม
“เจ้าค่ะนายหญิง”
“ขอรับนายหญิง”
องครักษ์เหล่านี้อยู่ด้วยกันมานานจนรู้จักนิสัยใจคอถ่องแท้ นอกจากความเก่งกล้าสามารถแล้ว ความซื่อสัตย์ภักดีก็มิเป็นรองผู้ใด นางจึงยินดีแบ่งปันความรู้เพราะมิอยากให้ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไร้ผู้สืบทอด
“กล่องยาวใบนี้คงเป็นศัสตราวุธนะขอรับข้าพลิกดูจนทั่วแล้ว นอกจากตราสัญลักษณ์จันทรา ก็ไม่พบสลักเปิดกล่องเลยขอรับ” ต้าหนิวเอ่ยขึ้นหลังจากจับกล่องพลิกคว่ำพลิกหงายอยู่นานสองนาน
สิ้นคำ…ทุกคนต่างเดินเข้ามารุมล้อมกล่องไม้แปลกประหลาดสีดำใบใหญ่ซึ่งไร้สลักเปิด มันไร้ลวดลายจนดูคล้ายกับเป็นเพียงกล่องธรรมดาใบหนึ่ง แม้เหล่าองครักษ์จะพยายามสลับสับเปลี่ยนคิดหาวิธีอยู่นาน ทว่าสุดท้ายยังมิอาจหาวิธีเปิดกล่องใบนี้ได้
“ช่างเถิด…บัดนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่า ไว้พวกเจ้าค่อยหาเวลามาสำรวจใหม่ในภายหลัง ยามนี้ข้าต้องการตามหาศัสตราวุธเทพ หลังจากออกเดินทางแล้ว การดูแลหลานทั้งสองคงต้องฝากฝังให้พวกเจ้าช่วยกันดูแล” จ้าวซินผิงตัดบทเอ่ยเรื่องสำคัญพร้อมมอบหมายหน้าที่แก่เหม่ยจีและจุ้นโก่ว
“เจ้าค่ะนายหญิง”
“ขอรับนายหญิง”
องครักษ์ทั้งสองน้อมรับคำสั่ง
“โดยเฉพาะความรู้ทางการแพทย์มิอาจให้ขาดช่วงได้ ตระกูลข้าล้วนเป็นหมอมายาวนานยิ่ง การเดินทางครานี้ข้าเองบอกไม่ได้ว่าจะไปนานเพียงใด…..” นางเน้นย้ำเมื่อกล่าวจบความจึงยกมือโบกไล่ทุกคนออกไป แล้วนั่งนิ่ง ๆ อย่างใช้ความคิดสายตาเหม่อลอยมองออกไปนอกหน้าต่างดุจดั่งอยู่ในภวังค์
เมื่อกองตำราถูกยกออกไปจนหมดสิ้น หญิงสาวไล่เปิดหีบทีละใบสำรวจทรัพย์สินภายในอย่างช้า ๆ ล้วนเป็นสมบัติเก่าล้ำค่าหายาก เพชรนิลจินดา แก้วแหวนเงินทอง ตั๋วแลกเงิน โฉนดที่ดิน สมุนไพรภูติชั้นสูง หินธาตุ อุปกรณ์หลอมโลหะ อุปกรณ์ปรุงยา กล่องศัสตราวุธหลากชนิด
ในดินแดนแห่งนี้ ศัสตราวุธถูกแบ่งพลังออกเป็นห้าลำดับขั้น
‘ศัสตราวุธ’ อาวุธธรรมดาทั่วไปที่ถูกออกแบบสร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ไร้ซึ่งพลังปราณ รูปแบบ คุณภาพและความคงทนขึ้นอยู่กับวัตถุดิบและความสามารถของผู้สร้างสรรค์
‘ศัสตราวุธภูติ’ ได้จากการล่าอสูรภูติ สัตว์อสูรบางตัวเมื่อสิ้นใจ พลังปราณที่คงเหลือไว้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธอันแข็งแกร่ง
‘ศัสตราวุธธาตุ’ มาจากการหลอมรวมระหว่างศัสตราวุธภูติและหินธาตุ โดยใช้พลังปราณขั้นสูงจากยอดฝีมือ รูปลักษณ์ต่างกันตามพรสวรรค์ของผู้สร้าง
‘ศัสตราวุธปราชญ์’ ได้จากสัตว์อสูรปีศาจ สามารถหลอมรวมเข้าได้เพียงหินธาตุทอง แร่รัตนชาติ และผลึกรัตนดาราเท่านั้น ความสามารถในการเรียกใช้ธาตุขึ้นอยู่กับระดับพลังวัตร หากผู้ใช้งานเป็นระดับปรมาจารย์เวทย์จะสามารถเรียกใช้พลังดิน น้ำ ลม ไฟ ได้ดั่งใจปรารถนา
‘ศัสตราวุธเทพ’ ถือเป็นอาวุธล้ำเลิศที่สุดในปฐพี จากคำบอกเล่าเชื่อกันว่าถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลแต่รายละเอียดอื่นยังเป็นปริศนา
ศัสตราวุธดีย่อมมีชัย คำกล่าวนี้มิได้เกินจริงแต่ประการใด ในความสามารถและโอกาสที่เท่าเทียมกันสิ่งตัดสินชี้ขาดความเป็นความตายล้วนเป็นอาวุธคู่กาย
เดิมทีจ้าวซินผิงใช้เพียงศัสตราวุธธรรมดาสามัญ แม้นมีพรสวรรค์ในเชิงการต่อสู้หลากหลายรูปแบบ แต่ยังมิเคยมีสักครั้งที่ได้พบอาวุธคู่ใจ ยิ่งมาอยู่ในมือคนเช่นนางอายุการใช้งานก็ยิ่งสั้นนัก
สตรีชุดดำเลือกหยิบกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมา ตัวเรือนสีชาดคมกระบี่ทั้งสองด้านสีเงินยวงเปล่งประกาย ประดับประดาด้วยลวดลายเถากุหลาบพันเลื้อยขึ้นไปจนสุดด้ามจับ ดอกงามสีแดงสดขนาดใหญ่ชูช่อประชันกันสามสี่ดอกเสมือนกำลังยื้อแย่งเบ่งบานอยู่บนลำต้น นางตั้งชื่อให้มันว่า ‘หงเหมยกุ้ย’
จากนั้นจึงทยอยเก็บทรัพย์สินส่วนใหญ่ไว้ใน ‘วงแหวนเฮยต้ง’ ของวิเศษล้ำค่าที่ติดตัวนางมาตั้งแต่จำความได้ อาจารย์จางเคยเล่าว่ามันถูกสร้างขึ้นจากผลึกหินสีดำที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้ายามเกิดเหตุการณ์จันทรุปราคา รูปลักษณ์วงแหวนแวววาวพลังปราณสูงส่ง สามารถเก็บสิ่งของได้ทุกชนิดแบบไม่มีวันเต็มเปรียบประดุจหลุมดำในจักรวาล
เมื่อเก็บสิ่งของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะยังคงปรากฏศัสตราวุธจำนวนหนึ่ง
---------------
ภายใต้รังที่พลิกคว่ำไม่มีไข่ที่สมบูรณ์ [1] : เมื่อบ้านหรือครอบครัวถูกทำลายลงไปแล้ว คนในครอบครัวจะไม่สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้อีก