ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
ดวงอาทิตย์ลอยคล้อยต่ำแสงสีส้มอมแดงฉาบทาทั่วทั้งแผ่นฟ้า บังเกิดเงาสามสายในชุดคลุมพื้นเมืองทอดยาวไปตามผืนทรายอันเวิ้งว้างกว้างสุดลูกหูลูกตา
“อ๊ะ! ตรงโน้นมีโขดหินใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ” ชิงเสอรีบชี้มือนำอย่างดีใจ นานเกือบครึ่งเดือนแล้วที่ต่างคนต่างเดินวนเวียนอยู่ในทะเลทรายแสนร้อนระอุ นอกจากท้องฟ้า ดวงตะวัน ดวงจันทร์ ดวงดาว และเม็ดทราย พวกเขาแทบไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตอื่นใด
คนทั้งสามพากันซ่อนตัวจากแสงแดดอันแผดเผาในตอนกลางวัน และออกเดินทางเมื่อยามราตรีท่ามกลางบรรยากาศแสนหนาวเหน็บลมเย็นโชยพัดตลอดเวลา แค่เพียงไม่นานรอยเท้าสามคู่บนผืนทรายต่างถูกสายลมชะไป เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า…..
“พวกเราพักกันก่อนเถิดขอรับ ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว” ต้าหนิวเอ่ยอย่างรอบคอบ หญิงสาวพยักหน้าแทนคำตอบ
“แถวนี้ปรากฏพืชทะเลทรายมากผิดปกติ ตามก้อนหินพบร่องรอยผลึกเกลือแห้ง ชิงเอ๋อร์ เจ้าใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปดูบนโขดหินทีว่าแถวนี้มีร่องรอยสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีกหรือไม่”
สตรีชุดดำมาเยือนดินแดนแห่งนี้เป็นครั้งที่สอง คราแรกอาจารย์พามาทิ้งไว้เมื่อตอนนางมีอายุเพียงเจ็ดขวบพร้อมเสบียงกรังจำนวนหนึ่งแล้วให้หาหนทางกลับสำนักเอง ครั้นอาหารเริ่มหมด กิ้งก่า งู หนู แมงป่อง ล้วนต้องลิ้มลองไม่เว้นแม้กระทั่งน้ำอันเหนียวข้นของต้นเซียนเหรินจ่างที่นางต้องดื่มเพื่อประทังชีวิต
เด็กน้อยในอดีตพยายามปรับตัวทุกวิถีทางเพื่อความอยู่รอด นางเรียนรู้ที่จะใช้กิ่งไม้หาอาหาร พยุงตัวเวลาผจญพายุใหญ่ กักเก็บน้ำยามฝนพรำ กว่าครึ่งปีที่อดทนต่อความยากลำบากมิคิดเลยในวันฟ้าโปร่งแดดจ้าคันฉ่องบานเล็ก ๆ กลับสะท้อนแสงส่งสัญญาณระยะไกลจึงรอดพ้นความตายมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ เมื่อกองคาราวานคณะหนึ่งผ่านทางมาพบเข้า
จากประสบการณ์ในครั้งนั้น ทำให้นางจดจำได้ขึ้นใจว่าคนเราขาดอากาศได้เพียงสามเฟิน ขาดน้ำไม่เกินสามวัน และขาดอาหารได้เพียงสามอาทิตย์เท่านั้น
“มีหมู่บ้านอยู่จริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะ ห่างจากนี่ไปไม่น่าจะเกินสองลี้ คงใช้เวลาเดินทางสักประมาณหนึ่งก้านธูป” สาวงามส่งเสียงตื่นเต้นหัวเราะเสียงใส
‘แคว้นเซี่ย’ แบ่งดินแดนออกเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ดินแดนแห่งแรกอุดมไปด้วยทุ่งหญ้าพืชพรรณธัญญาหาร ประชาชนในแถบนี้ดำรงชีพด้วยการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และทำการค้า เนื่องจากอยู่ติดแม่น้ำที่คั่นกลางระหว่างแคว้นเซี่ยและแคว้นหยวน แตกต่างจากดินแดนแถบตะวันตกที่มีทะเลทรายอันแห้งแล้ง เต็มไปด้วยหุบเขา โขดหิน สัตว์ร้าย ลมพายุ และซ่องโจรชุกชุม
เพียงชั่วอึดใจเดียวทุกคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านบริเวณเชิงเขา ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนอาศัยอยู่ในกระโจม บางครอบครัวสร้างบ้านจากการนำหินก้อนใหญ่มาร้อยเรียงต่อกันทำให้สามารถคุ้มกันความหนาวเหน็บได้ดียิ่งขึ้นและหากแหงนหน้ามองขึ้นไปตามแนวของหุบเขาจะพบว่าภูเขาลูกนี้เต็มไปด้วยโขดหินรูปลักษณ์สีสันแปลกตา
ครั้นได้ยินเสียงร้องตะโกนโหวกเหวก บุคคลทั้งสามจึงแหวกแทรกฝูงชนเข้าไปดู เห็นหนูน้อยตัวจ้อยผู้หนึ่งกำลังยืนประจันหน้ากับบุรุษตัวโต
“เห็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเยี่ยงนี้ข้ารู้สึกทนไม่ได้เป็นต้องมีอารมณ์ทุกครา” ชิงเสอย่นจมูกเอ่ยปากสีหน้าท่าทางฮึดฮัด
“จัดการเลยไหมขอรับนายหญิง” ต้าหนิวกำหมัดขันอาสาด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านไม่แพ้กัน
“ช้าก่อน! ดูทีท่าไปก่อน เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา” หญิงสาวส่งเสียงปรามยืนกอดอกรอดูเหตุการณ์มุมปากยกยิ้มอย่างรอชมเรื่องสนุก
“ตัวเล็กขนาดนั้นสู้ได้แน่หรือเจ้าคะ” สาวงามมิวายแย้งเสียงอ่อนอย่างนึกห่วง
“ข้าเห็นแววตาเพชฌฆาตอยู่ในดวงตาคู่นั้น” นางมั่นใจเต็มเปี่ยมเพราะสามารถสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาอย่างบางเบา
แม้ว่าเด็กน้อยผู้นี้จะมีร่างกายผ่ายผอมไปสักหน่อย แต่ทว่าท่อนบนเปลือยเปล่ากลับเผยให้เห็นมัดกล้ามอันแข็งแกร่ง ดวงตาคมกริบสีเขียวอำพันคู่นั้นฉายแววเร้นลับ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบาง ผิวสีเข้มคล้ามแดด รูปร่างโครงหน้าล้วนงดงามสลักเสลาดุจดั่งปวงเทพเสกสรรค์
“ถุ้ย! เจ้าหนูไปเอาความกล้ามาจากที่ใดเห็นข้าแล้วไม่ยอมโขกหัวร้องขอชีวิต ยังกล้าริอ่านมาท้าทายข้า” ชายหน้าเสี้ยมถ่มน้ำลายทำท่าดูแคลนส่งเสียงดังข่มขู่
เด็กน้อยไม่โต้ตอบแต่ตั้งท่ากำหมัดหลวม ๆ วาดเท้าทั้งสองยืนมั่นคง ครั้นคนตรงหน้าพ่นลมหายใจรุนแรงลงมือเข้าต่อยตี เขาพลิกหลบกระโดดตัวลอยทิ้งศอกแทงยอดอกอย่างว่องไว โดยใช้จังหวะก้าวเท้าอันหนักหน่วงรวดเร็วส่งพลังให้ศอกกลับมีพลานุภาพ แม้นท่วงท่าต่อสู้เรียบง่าย แต่วิธีการเคลื่อนตัวที่พลิ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาตินั้นกลับสามารถระเบิดพลังรุนแรงออกมาได้จากทุกทิศทาง
ครั้นฝ่ายตรงข้ามเริ่มโงนเงนเด็กชายพุ่งตัวกระโจนใส่ใช้ศอกขวางัดเข้าที่ปลายคางซ้ำ คู่ต่อสู้ถึงกับนอนวัดพื้นเรียกเสียงเฮดั่งสนั่น
“นึกว่าวันนี้ข้าคงต้องโชคร้ายเสียแล้ว กลุ่มโจรแมงป่องแดงออกปล้นคราใด หากมิมีผู้คนบาดเจ็บก็ต้องสูญเสียเลือดเนื้อ” ชาวบ้านคนหนึ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ใช่ ๆ มิคิดว่าเจ้าหนูน้อยนี่ถึงกับกินดีหมีหัวใจเสือ [1] กล้าต่อกรพวกมันได้ เห็นทีครานี้พวกเราคงรอดแล้ว” ชาวบ้านอีกคนร่วมผสมโรงด้วยความดีใจ
“มวยแปดปรมัตถ์!” ต้าหนิวครางออกมาอย่างแทบไม่เชื่อสายตาหลังจากยืนนึกตรึกตรองอยู่ครู่ใหญ่เพราะเป็นเชิงมวยพิสดารหาดูได้ยากยิ่ง ตัวเขาเองเคยเห็นเพียงครั้งเดียวเมื่อครั้งเยาว์วัยในงานประลองยุทธแคว้นบ้านเกิด จอมยุทธ์ในวันนั้นใช้กระบวนท่าได้งดงามทรงพลังจัดการคู่ต่อสู้เสียอยู่หมัดจนได้รับชัยชนะ มวยชนิดนี้ต้องฝึกฝนเคี่ยวกรำอย่างน้อยสามปี กว่าจะใช้ท่วงท่าได้คล่องแคล่ว ดั่งคำกล่าวขมสิ้นหวานตาม [2] จึงทำให้มวยแปดไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากนัก
“หากเจ้าเด็กนี่โตกว่านี้เห็นทีคู่ต่อสู้คงคางเหลือง” ชายหนุ่มรำพึงรำพันออกมาเบา ๆ
“ข้าชนะแล้ว หนึ่งศิลาเงินของข้าเล่า!” หนูน้อยเดินไปยืนจังก้าต่อหน้าบุรุษร่างใหญ่พร้อมกับยื่นมือออกไปทวงรางวัล
ชายผู้นี้มีดวงตาปูดโปนแววตากลิ้งกลอก ท่าทาง ล่อกแล่ก ผมเผ้ายุ่งเหยิง นามว่า ‘โจวซุ่น’ เป็นหัวหน้าคนหนึ่งของกลุ่มโจร
เดิมทีพวกเขาเพียงตั้งใจมาปล้นเอาทรัพย์สิน แต่กลับถูกเด็กน้อยท้าทายเดิมพัน เพราะเห็นเป็นเรื่องบันเทิงจึงรับคำท้าแถมยังสำทับเงินรางวัลเพิ่ม มิคิดเลยเจ้าเด็กเหลือขอผู้นี้ที่แท้กลับซุกซ่อนฝีมือเอาไว้
“ใครเล่าจะคิดจริงจังกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเช่นเจ้า ข้าเพียงเห็นเป็นเรื่องสนุกจึงหยอกเย้าเล่นเพียงเท่านั้น” ชายหยาบคายยักไหล่กล่าวด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์หันไปพยักพเยิดกับลูกสมุนหัวเราะขบขันกันเสียงดัง
“คิดโกงกันรึ?” เด็กชายไม่พอใจต่อว่าเสียงดังด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ข้าจะใจดีละเว้นการปล้นครั้งนี้ไว้สักครั้ง พวกเจ้าควรซาบซึ้งในความเมตตาของข้า ไปพวกเรากลับ!” หัวหน้าโจรตีขลุมแล้วหันหลังกลับไปสั่งการลูกสมุนด้วยการโบกมือส่งสัญญาณ
“เฮอะ! โจรกระจอกเช่นเจ้าช่างหน้าหนานัก! โกงแม้กระทั่งเด็กน้อยไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยรึไร?” รอยยิ้มเหี้ยมผุดขึ้นที่มุมปากเผยให้เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ จ้าวซินผิงจ่อปลายกระบี่เข้าที่ลำคอ ทำเอาหัวหน้าโจรสะดุ้งโหยงตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วอย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้พ้น แม้นสตรีตรงหน้าจะมีรูปโฉมงดงามสะท้านฟ้า ทว่ารังสีอำมหิตอันเข้มข้นกลับทำให้รู้สึกสยดสยองชวนขนลุกขนพองเสียมากกว่า
“ได้ ๆ จ่ายแล้ว…ข้ายอมจ่ายแล้ว แค่เพียงหยอกเย้าเจ้าหนูนี่เล่นเท่านั้นมิได้คิดคดโกงดอก ท่านจอมยุทธ์หญิงโปรดวางกระบี่ลงก่อนเถิด คมอาวุธล้วนไร้ตา” ชายตาโปนรีบพลิกลิ้นทันควันใบหน้าของเขาซีดเผือดกลืนน้ำลายเหนียวลงคออย่างยากเย็นเหงื่อกาฬเริ่มผุดซึมขึ้นตามใบหน้าและไรผม ประหนึ่งดังกำลังเจรจาต่อรองร้องขอชีวิตต่อพญามัจจุราช
“หากคราวหน้าพวกเจ้ากล้ามารุกรานที่นี่อีก ข้าจะไปถล่มซ่องโจรแมงป่องแดงเสียให้สิ้น หากไม่เชื่อก็ลองดู!” นางสาดรังสีอำมหิตใส่พร้อมยิ้มสำทับอย่างเย็นยะเยือก หัวหน้าโจรถึงกับตกตะลึงขนหัวลุกขึ้นมาอีกรอบ
ครั้นหญิงสาวปล่อยเป็นอิสระ หัวหน้าโจรรีบตาลีตาเหลือกโยนเงินรางวัลให้แก่หนูน้อยแล้วถอยทัพกลับอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านดีอกดีใจพากันส่งเสียงโห่ร้องดังลั่น
“ข้าน้อย หุยซา เป็นหัวหน้าของหมู่บ้านหุยแห่งนี้ ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ทั้งสาม พวกท่านคงผ่านทางมาใช่หรือไม่ ? หากมิรังเกียจคืนนี้ขอเชิญไปพักที่บ้านของข้าเถิด” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินมาหยุดตรงหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
สตรีชุดดำพยักหน้าตอบรับคำเชิญ
“ทุกคน! คืนนี้พวกเราจะจัดงานเลี้ยงฉลองเพื่อต้อนรับและขอบคุณเหล่าท่านจอมยุทธ์” คำพูดของหุยซาพาให้บรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาอีกหน
“ขอบคุณทุกท่านที่ยื่นมือเข้าช่วยเหลือขอรับ” เด็กน้อยคำนับด้วยท่าทีอ่อนน้อม
“เจ้ามีความเป็นมาเช่นไร ? เหตุใดจึงรู้จักเพลงมวยปรมัตถ์?” ต้าหนิวซักไซ้
“ผู้น้อย มู่ปิงอวิ๋น อายุห้าขวบ พักอยู่กับมารดาและน้องสาว ลูกน้องคนสนิทของบิดาเป็นผู้ฝึกสอนเพลงมวยชุดนี้แก่ข้า บัดนี้มารดาของข้าสุขภาพอ่อนแอมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ข้าจึงพยายามรวบรวมเงินเพื่อรักษามารดาขอรับ” หนูน้อยตอบได้อย่างไม่ตกหล่น
“พวกเราไปดูนางกันเถิด เจ้าจงนำทาง…..” จ้าวซินผิงตัดบทรวบรัดแล้วลุกขึ้นยืน
เด็กชายพาทุกคนมายังกระโจมเก่าซอมซ่อ ที่ด้านในมีรูอยู่รอบทิศทางทำให้มิอาจหลบเลี่ยงจากอากาศหนาวเย็นในทุกค่ำคืนได้ บนเตียงมีสตรีหน้าตาซีดเซียวนางหนึ่งส่งเสียงไออยู่ตลอดเวลา แม้ท่าทางอมโรคอิดโรยทว่าใบหน้ารูปไข่ดวงตาโตหวานซึ้งกลับเปล่งประกายความงามออกมาไม่น้อย บริเวณใกล้เคียงมีหนูน้อยดวงหน้างดงามราวกับพิมพ์เดียวกันนั่งอยู่ด้วยไม่ห่าง
เมื่อเห็นสตรีชุดดำเดินพ้นประตูเข้ามา หญิงนางนั้นรีบลุกขึ้นคารวะ “ข้าน้อยแซ่มู่ มีนามว่า ปิงอวี้ นี่คือบุตรสาวของข้านามว่า ปิงเหยา ขอคารวะท่านผู้มีพระคุณเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินอย่าได้ลำบาก วันนี้นายหญิงตั้งใจมาตรวจดูอาการเจ็บป่วยของท่านเจ้าค่ะ” ชิงเสอรีบเดินเข้ามาประคอง
นางให้ลุกขึ้นแล้วพานั่งลงบนเตียง มู่ปิงอวิ๋นรีบยกเก้าอี้ให้จ้าวซินผิงนั่งลงจับชีพจรของมารดา
“เจ้าตรากตรำมานานทำให้หยางชี่พร่อง จึงเกิดอาการปวดตามข้อ งอและเหยียดแขนขาได้ลำบากนัก พวกเจ้าออกไปก่อนข้าจะฝังเข็ม” ครั้นทุกคนออกไปแล้ว หญิงสาวเริ่มลงมือฝังเข็มไล่ลมเย็น ระบายความชื้น ขับความร้อน กระตุ้นการไหลเวียนของชี่และโลหิต
“ขอบคุณท่านมาก ข้ารู้สึกว่าเลือดลมในร่างกายไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ที่ปวดหัวมานานพลันรู้สึกปลอดโปร่ง” มู่ปิงอวี้ยิ้มแววตาเป็นประกาย
“เทียบยานี้ช่วยบำรุงไต เสริมม้าม เพิ่มการไหลเวียนโลหิต ขจัดเสมหะ ร่างกายของเจ้าอ่อนแอไม่เหมาะพำนักในดินแดนแห่งนี้ อากาศที่ร้อนจัดหนาวจัดทำให้เจ้ามีอาการเรื้อรังมิหายขาด”
“เดิมทีข้าเคยอาศัยอยู่ในแคว้นฝู เกิดพลัดหลงกับสามีขณะถูกไล่ล่าจนรอนแรมมาถึงที่นี่”
“งั้นข้าจะออกหน้าตามหาสามีให้เจ้าเอง รอเสร็จธุระเสียก่อนพวกเจ้าค่อยติดตามข้ากลับไปพักรักษาตัวเถิด…..” ชีวิตที่ถูกไล่ล่านั้นช่างน่าเวทนาเกินไป อีกทั้งดูแล้วพวกนางมิใช่คนเลวร้าย หญิงสาวจึงยื่นมือให้ความช่วยเหลือ
“ข้าต้องขอรบกวนท่านแล้ว” มู่ปิงอวี้ทำท่าจะคำนับอีกรอบดวงตาโตมีหยาดน้ำตาคลอ จ้าวซินผิงรีบจับแขนปรามไว้ก่อน
“มิเป็นไรเรียกข้าว่าพี่สาวเถิด”
“เจ้าค่ะท่านพี่ซินผิง เช่นนั้นท่านเรียกข้า ปิงอวี้ ดีหรือไม่?”
“ได้…ตกลงตามนั้น!” จากนั้นหญิงสาวจึงหันหน้าไปสั่งงานองครักษ์คู่ใจพร้อมกับส่งเทียบยาใส่มือ
“ชิงเอ๋อร์ เจ้าไปต้มโอสถตามนี้ รูรอบกระโจมจงซ่อมแซมให้เรียบร้อยเสีย”
กว่างานเลี้ยงจะเลิกราก็เกือบรุ่งสาง จ้าวซินผิงจึงตื่นเสียบ่ายคล้อย
“ไม่นอนต่ออีกสักหน่อยล่ะเจ้าคะ” ชิงเสอเอ่ยปากขณะยกอ่างล้างหน้าเดินเข้ามา นางรีบวางอ่างน้ำแล้วหมุนตัวหยิบถ้วยยาบนโต๊ะ จ้าวซินผิงส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ยาสร่างเมาเจ้าค่ะ” หญิงสาวรับยาจากมือองครักษ์คู่ใจขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด แล้วลุกจากเตียงไปล้างหน้า
“ต้าหนิวเล่า?” นางเอ่ยถามขณะสองมือกำลังใช้ผ้าซับหยดน้ำบนใบหน้าเบา ๆ
“แลกเปลี่ยนวิทยายุทธอยู่กับอวิ๋นเอ๋อร์ท่าทางคุยกันถูกคอทีเดียวเจ้าค่ะ” สาวน้อยเล่าอย่างร่าเริงพร้อมกับจัดสำรับอาหาร
“ข้าจะออกไปสำรวจหมู่บ้านเสียหน่อย เจ้าดูแลปิงอวี้เถิด” หญิงสาวกล่าวขณะนั่งลงเตรียมกินมื้อเช้า
“เจ้าค่ะ”
---------------
กินดีหมีหัวใจเสือ [1] : มีความกล้ามากกว่าปกติ
ขมสิ้นหวานตาม [2] : ต้องเผชิญความยากลำบากเสียก่อน จึงจะมีความสำเร็จตามมา