ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
บุคคลทั้งสามยืนตระหง่านอยู่หน้าถ้ำแห่งสุดท้ายตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง ขณะยังมิทันตั้งตัวฉับพลันบังเกิดไอมารแผ่กระจายปกคลุมหนาแน่นไปทั่วบริเวณ
ตูม-----!
เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งโจมตีจ้าวซินผิงอย่างรุนแรงจนผนังถ้ำสั่นสะเทือนเศษหินร่วงกราวลงมาเกลื่อนพื้น ด้วยปฏิกิริยาตอบกลับอันว่องไวหญิงสาวจึงสามารถหลบหนีการโจมตีนั้นได้อย่างหวุดหวิด พอตั้งหลักได้ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ทว่าบริเวณภายในกลับเป็นโพรงหินเปิดโล่งแสงอาทิตย์สามารถส่องสว่างเข้ามาได้
“มนุษย์หน้าโง่ ช่างรนหาที่ หึ หึ หึ หึ-!” เจ้าสัตว์ประหลาดเปล่งเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
รูปลักษณ์ของมันดูคล้ายมนุษย์เพศชายแต่สูงใหญ่กว่าคนปกติถึงสามเท่า ใบหน้าดุดันผิวกายสีทองแดงทั่วทั้งตัว มีลำตัวและขาเช่นบุคคลทั่วไป ทว่ามือสองข้างของมันกลับเป็นก้ามขนาดใหญ่ ด้านหลังยังมีปลายหางชูชันขึ้นมาถึงสองหางดั่งตะขอคู่ยักษ์ แววตาแสนชั่วร้ายคู่นั้นมองนางราวกับเห็นเหยื่ออันโอชะ
จอมมารแมงป่องเพลิง!
มันคือ ‘จอมมาร’ ที่มีพลังเป็นรองจากพญามารในดินแดนแห่งใต้พิภพเพียงเท่านั้น กลืนกินสัตว์อสูร มนุษย์ ปีศาจและเทพเพื่อเพิ่มพูนพลังปราณ สามารถร่ายเวทย์มนต์และแปลงโฉมเพื่อล่อลวงจิตใจของผู้คนได้
สตรีชุดดำสะบัดคมกระบี่ในมือเข้าโจมตีอย่างดุดัน แม้นร่างกายของมันมีขนาดใหญ่โตมโหฬารแต่การเคลื่อนไหวกลับมิช้าเลย โดยเฉพาะส่วนหางที่สอดส่ายไปมาได้ราวกับมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเองอีกทั้งยังสามารถปล่อยลูกไฟพ่นพิษออกมาได้ตลอดเวลา
“นายหญิงพวกเรามาแล้ว!” องครักษ์ทั้งสองพุ่งตรงโจมตีส่วนหางต่างออกอาวุธอย่างเข้าขากัน
“ระวังพิษและลูกไฟด้วย!” จ้าวซินผิงร้องเตือนนักรบคู่ใจทั้งสองมิให้ประมาท
“ดี! ดาหน้าเข้ามาพร้อมกันเสียให้หมดจะได้จัดการทีเดียว!” จอมมารร้ายแสยะยิ้มมุมปาก จากนั้นกระหน่ำเดินหน้าเข้าโจมตีคนทั้งสามอย่างหนักหน่วง
ปฐพีเลื่อนลั่น-----!
ตูม-----!
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
หางข้างหนึ่งถูกทำลายด้วยค้อนจื่อฉุยฉื่อจนขาดกระเด็น พื้นถ้ำเกิดรอยแยกแตกร้าวจนจอมมารเสียการทรงตัว จ้าวซินผิงฉวยโอกาสฟันก้ามขาดไปข้างหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ชิงเสอกระโดดหมุนตัวลงมาตัดหางอีกข้าง
สกุณาถลาลม-----!
ฉัวะ-!
“ผลั่ก!”
แต่ทว่าหางแรกกลับงอกขึ้นมาใหม่ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นมันซัดหญิงงามกลางอากาศเข้าอย่างจังจนร่างบางปลิวกระแทกผนังถ้ำอย่างแรงจนสลบเหมือด
“เหมยกุ้ยจัดการมัน!”
จ้าวซินผิงใช้พลังปัญญาวิสุทธิ์เรียกผู้พิทักษ์ออกมา ร่างสาวงามโปร่งแสงเข้าควบคุมกระบี่โจมตีจอมมารร้ายในทันที นางรีบกระโดดเข้าไปยกร่างชิงเสอขึ้น ทว่ากลับหลีกเลี่ยงภัยร้ายไม่พ้น…..
ฉึก-!
ตะขอยักษ์ส่วนหางได้แทงทะลุจากด้านหลังของหญิงสาวพร้อมหลั่งพิษร้ายอย่างรวดเร็ว
“นายหญิง!” ต้าหนิวรีบเข้ามาปัดป้องขับไล่ศัตรูออกไปอย่างโมโหโกรธาด้วยใบหน้าแดงก่ำเลือดลมทั้งร่างพลุ่งพล่าน
“รับ! รีบพานางออกไปเดี๋ยวนี้!” จ้าวซินผิงโยนร่างสาวงามส่งให้ชายหนุ่มทันที
“ไป!” นางตะโกนเสียงแข็งตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางละล้าละลัง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มสาวงามหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
เห็นทีคงต้องรีบจบการต่อสู้โดยเร็วเสียแล้ว ก่อนที่พิษจะกำเริบหนักมากไปกว่านี้ สตรีชุดดำคิดคำนวณผลลัพธ์ในใจ
“เหมยกุ้ย! เจ้าใช้ท่าบุหงาวารี ไล่ต้อนมันมาตรงกลาง ข้าจะร่ายเวทย์!” หญิงสาวสื่อสารผ่านปัญญาวิสุทธิ์ พลันบังเกิดม่านน้ำบางเบาสกัดกั้นเส้นทางให้อสูรร้ายตีวงแคบเข้ามา ละอองน้ำใสเย็นส่งกลิ่นหอมอบอวลอันประหลาดสามารถมอมเมาจิตใจจอมมารให้เคลิบเคลิ้ม มันเริ่มไร้สติแววตาเลื่อนลอย จังหวะการเคลื่อนไหวเริ่มพ่นพิษและปล่อยลูกไฟอย่างสะเปะสะปะ
จ้าวซินผิงรวบรวมพลังวัตรลอยตัวอยู่กลางอากาศ ท้องฟ้าพลันปั่นป่วนมืดครึ้มเส้นสายฟ้ากระจายแลบแปลบปลาบวูบวาบรายล้อมรอบตัว
เวทย์เวหา-----!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยงงง!
หญิงสาวซัดสายฟ้าอย่างว่องไวติดต่อกันไม่ยั้ง จนจอมมารเริ่มอ่อนแรงถอยร่นไม่เป็นท่า ครั้นได้จังหวะนางเรียกกระบี่กลับมาแล้วโจมตีอย่างรวดเร็ว
นวาระปราบมาร-----!
ฉับ-!
ศีรษะจอมมารแมงป่องเพลิงขาดกระเด็นตกลงมา นัยน์ตาของมันยังคงเบิกโพลงใบหน้าบิดเบี้ยว ร่างแสนอัปลักษณ์พลันสลายไป ปรากฏเป็นศัสตราวุธเทพขึ้นมาแทน
“ทวนจักรพรรดิ!”
จ้าวซินผิงรีบเก็บศัสตราวุธไว้ในวงแหวน ก่อนกระอักเลือดออกมาคำโต บริเวณบาดแผลมีโลหิตไหลทะลักออกมาจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม นางโยนยาเม็ดกลมสีเขียวใสเข้าปากหนึ่งเม็ดบาดแผลภายนอกสมานตัวหายเป็นปกติในชั่วพริบตา จากนั้นจึงดึงเข็มหยกขึ้นมาแล้วฝังลงไปตามจุดสำคัญในร่างกายเปลี่ยนท่านั่งเพื่อเข้าสมาธิโคจรพลังวัตรรักษาอาการบาดเจ็บ เมื่อพิษถูกขจัดจนสิ้น จึงใช้กำไลวิเศษพาตัวเองกลับ
ลงมายังเบื้องล่าง แต่การใช้ปัญญาวิสุทธิ์เรียกผู้พิทักษ์ออกมาทำให้หญิงสาวสิ้นเปลืองพลังมากถึงสองเท่าอีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ
“นายหญิง!” ชิงเสอรีบวิ่งเข้าไปประคองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสตรีชุดดำกระอักเลือดแล้วล้มลง
หลังจากลืมตาตื่นขึ้นหญิงสาวค่อย ๆ กวาดสายตามองโดยรอบและพบว่าตนเองนอนอยู่ในเรือนไม้ที่สร้างขึ้นอย่างหยาบจากต้นไป๋หลาง
“นายหญิงฟื้นแล้ว ท่านหลับไปเสียหลายวัน ข้าใจคอไม่ดีเลย” ชิงเสอเผลอหลับไปขณะนั่งเฝ้าผู้เป็นนายมาหลายคืน เมื่อสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวจึงได้ลืมตาตื่น
“ข้าหลับไปกี่วันรึ?”
“สลบไปเจ็ดวันเจ็ดคืนเจ้าค่ะ” แม้นสีหน้าของชิงเสอจะดูอิดโรยไม่แพ้คนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงแต่ก็ยังคงยิ้มออก นางดีใจที่นายหญิงปลอดภัย
“เหตุใดด้านนอกจึงมีผู้คนพลุกพล่านนัก” จ้าวซินผิงเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงดังอึกทึกครึกโครม
“ท่านยังจำหลวงจีนไม้แกะสลักในถ้ำได้หรือไม่เจ้าคะ พวกเขาคือมนุษย์ที่ต้องคำสาป เมื่อจอมมารแมงป่องเพลิงต้องการเพิ่มพูนพลังปราณก็จะคลายมนต์สะกดแล้วจับหลวงจีนกินเป็นอาหาร”
“ท่านเจ้าอาวาสมาขอพบ นายหญิงสะดวกรึไม่ขอรับ?” ต้าหนิวเคาะประตูส่งเสียงถามจากหน้าห้อง
“เชิญเจ้าค่ะ!” ชิงเสอเปิดประตูเชื้อเชิญหลังจากให้ยืนรออยู่เพียงชั่วครู่
หลวงจีนเฒ่าผู้เปี่ยมเมตตาจิตก้าวเข้ามาด้วยทีท่าน่าเลื่อมใสพร้อมกับศิษย์อีกสองคน เขาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ชายหนุ่มยกมาให้ ชิงเสอรีบรินน้ำชา
“จ้าวซินผิงขอคารวะท่านผู้อาวุโส” เสียงของนางยังคงแหบแห้งเพราะร่างกายอ่อนแอ
“มิต้องเกรงใจ อาตมามีนามว่า หย่งเต๋อ พวกเราขอขอบคุณสีกาและผู้ติดตามที่ช่วยปัดเป่าเภทภัยใหญ่หลวงในครั้งนี้”
“เป็นเพียงความบังเอิญเจ้าค่ะ”
“นี่มิใช่เรื่องบังเอิญมันคือลิขิตสวรรค์!”
“ลิขิตสวรรค์?” จ้าวซินผิงทวนคำอย่างนึกแปลกใจ
“แม้นสีกาจะสามารถถอนพิษได้สำเร็จ ทว่านับแต่นี้เป็นต้นไปทุกครั้งที่ใช้วรยุทธ์ลมปราณของเจ้าจะติดขัดเพราะพิษนั้นได้ทำลายเส้นชีพจรบางส่วน เดิมทีพลังวัตรก็มิได้สมบูรณ์ร่างนี้ของเจ้าใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว” ผู้ทรงศีลกล่าวด้วยทีท่าสบาย ๆ ราวกับทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนเป็นเรื่องธรรมดา
ใช่แล้ว…ทุกครั้งที่โคจรลมปราณนางมักรู้สึกเสมอว่าพลังส่วนหนึ่งได้ขาดหายไป แม้นเวลาจะผ่านมานานหลายปีก็ยังมิอาจทะลวงขั้นได้ หากไม่เพราะพรสวรรค์อันล้ำเลิศและความมานะพากเพียรคงไม่มีวันได้ก้าวมาจนถึงจุดนี้
“ข้ายังคงเหลือเวลาอีกนานเท่าใด?”
“ไม่เกินครึ่งปี”
“มีวิธีอื่นแก้ไขรึไม่?”
“ลิขิตฟ้าไม่อาจฝืนชะตา…อมิตาพุทธ!” เมื่อกล่าวจบหลวงจีนเฒ่าก็เดินพนมมือนับลูกประคำจากไป
“นายหญิง…ท่าน!” เมื่อแขกผู้มาเยือนเดินออกจากห้องไปชิงเสอก็ร้องไห้โฮ หากไม่เพราะช่วยนางคงมิต้องลงเอยเช่นนี้ หญิงงามได้แต่กล่าวโทษตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“จะร้องไห้ไปไยยังมีเวลาตั้งครึ่งปี พวกเจ้าจงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
“ขอรับ” ต้าหนิวน้ำตาคลอเขาพยายามเงยหน้ากระพริบตาถี่ ๆ เพื่อมิให้น้ำตาไหลออกมา
“ด้านนอกเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ช่วงที่ท่านสลบไป ข้าตามผู้คนในหมู่บ้านกับผู้เฒ่าหลิวมาช่วยกันซ่อมแซมวัดขอรับ”
“ช้าเกินไป! เจ้าสองคนรีบไปจดบันทึกสิ่งที่จำเป็น โดยขอคำชี้แนะจากหลิวเย่ หุยซาและท่านเจ้าอาวาส ตอนนี้ข้ายังรู้สึกอ่อนเพลียอยากนอนพักผ่อนพวกเจ้ารีบออกไปจัดการกันเถิด…..”
“เจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
“จดบันทึกมาครบแล้วขอรับ เครื่องใช้ เครื่องเขียน สิ่งของที่ต้องใช้ในการซ่อมแซมวัด อาหาร และแรงงาน” ทั้งสองโผล่มาพร้อมกับสำรับมื้อเย็นหลังจากหายหน้ากันไปครึ่งค่อนวัน ชิงเสอเดินมาประคองพาจ้าวซินผิงไปนั่งที่โต๊ะ
“ดี! ข้ามีภารกิจสำคัญมอบหมายให้เจ้าไปทำ จงพา ปิงอวี้กลับไปรักษาตัวที่ตระกูลหาน แล้วนำแรงงานกลับมาเพิ่ม สร้างแหล่งกักเก็บน้ำและหอพระคัมภีร์ จัดการให้แล้วเสร็จภายในสามวัน”
“สามวัน! จะเป็นไปได้เยี่ยงไร แค่เดินทางก็ใช้เวลาแรมเดือนแล้วนะขอรับ” ต้าหนิวทำหน้าเหมือนโดนบังคับดื่มยาขมหม้อใหญ่
“เคยได้ยินชื่อกำไลหยกพิสุทธิ์หรือไม่?”
“ขอรับ ของวิเศษในตำนานใช้เคลื่อนย้ายกำลังพลและสิ่งของในพริบตา” ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นจ้าวซินผิงหยิบมันออกมาเขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
“เจ้าจงนำมันไปใช้งาน นี่เป็นเงินจำนวนสิบศิลามณีและจดหมายถึงท่านน้า จ่ายค่าแรงทุกคนวันละหนึ่งศิลาทอง ส่วนชิงเอ๋อร์ ดูแลความเป็นอยู่ทางนี้ให้ทุกคนได้กินอิ่มอย่าให้ขาดตกบกพร่อง” นางยื่นจดหมาย เงิน และกำไลส่งให้แก่ชายหนุ่มเมื่อกล่าวจบ
“เจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
ทั้งสองแยกย้ายไปทำหน้าที่ในทันที…..
เพียงเดือนเดียวทุกอย่างพลันสำเร็จเสร็จสิ้น ป้าย ‘วัดฟาไฉ่’ ถูกติดตั้งขึ้น ท่ามกลางความยินดีของทุกคน
“หากเจ้ากลับไปแล้วพวกเราจะได้พบกันอีกหรือไม่?” หลิวเย่ถามขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองกำลังร่ำสุรา
“เหตุใดมิคิดเปิดหูเปิดตาไปเที่ยวชมแคว้นลู่บ้างเล่า?”
“ข้ายังมีเรื่องต้องสะสาง”
“เจ้าหลอมศัสตราวุธให้ข้าได้อีกรึไม่?”
“เจ้าจะสร้างกองทัพหรือไร จึงสั่งสมศัสตราวุธมากมายถึงเพียงนี้” หลิวเย่หรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง
“ใช่! ข้าต้องการสร้างกองทัพ เจ้าสร้างเสร็จเมื่อใดนำมันไปส่งมอบให้ข้าที่ตระกูลหาน ในถุงนี้มีเงินและวัตถุดิบที่จำเป็น ทุกอย่างล้วนให้เจ้าเป็นผู้ออกแบบ” กล่าวพลางโยนถุงเฉียนคุนให้แก่ผู้เฒ่าหลิว บัดนี้เวลาของนางเริ่มเดินนับถอยหลังจึงต้องการเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด ไม่ว่าต้องใช้เงินทองสักเท่าใดจ้าวซินผิงก็พร้อมจ่ายไม่อั้น
“ตกลง! ข้าจะช่วยเจ้าสร้างกองทัพ-!”