Your Wishlist

กำเนิดใหม่หัวใจดวงเดิม 改头换面 (ตอนที่ 7 วัดฟาไฉ่)

Author: 涵爱娟 ❀ หานอ้ายจวน

ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!

จำนวนตอน :

ตอนที่ 7 วัดฟาไฉ่

  • 16/05/2564

 

บุคคลทั้งสามยืนตระหง่านอยู่หน้าถ้ำแห่งสุดท้ายตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง ขณะยังมิทันตั้งตัวฉับพลันบังเกิดไอมารแผ่กระจายปกคลุมหนาแน่นไปทั่วบริเวณ

 

ตูม-----!

 

เปลวไฟสีแดงพวยพุ่งโจมตีจ้าวซินผิงอย่างรุนแรงจนผนังถ้ำสั่นสะเทือนเศษหินร่วงกราวลงมาเกลื่อนพื้น ด้วยปฏิกิริยาตอบกลับอันว่องไวหญิงสาวจึงสามารถหลบหนีการโจมตีนั้นได้อย่างหวุดหวิด พอตั้งหลักได้ก็ใช้วิชาตัวเบาพุ่งตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว

 

ทว่าบริเวณภายในกลับเป็นโพรงหินเปิดโล่งแสงอาทิตย์สามารถส่องสว่างเข้ามาได้

 

“มนุษย์หน้าโง่ ช่างรนหาที่ หึ หึ หึ หึ-!” เจ้าสัตว์ประหลาดเปล่งเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

 

รูปลักษณ์ของมันดูคล้ายมนุษย์เพศชายแต่สูงใหญ่กว่าคนปกติถึงสามเท่า ใบหน้าดุดันผิวกายสีทองแดงทั่วทั้งตัว มีลำตัวและขาเช่นบุคคลทั่วไป ทว่ามือสองข้างของมันกลับเป็นก้ามขนาดใหญ่ ด้านหลังยังมีปลายหางชูชันขึ้นมาถึงสองหางดั่งตะขอคู่ยักษ์ แววตาแสนชั่วร้ายคู่นั้นมองนางราวกับเห็นเหยื่ออันโอชะ

 

จอมมารแมงป่องเพลิง!

 

มันคือ ‘จอมมาร’ ที่มีพลังเป็นรองจากพญามารในดินแดนแห่งใต้พิภพเพียงเท่านั้น กลืนกินสัตว์อสูร มนุษย์ ปีศาจและเทพเพื่อเพิ่มพูนพลังปราณ สามารถร่ายเวทย์มนต์และแปลงโฉมเพื่อล่อลวงจิตใจของผู้คนได้

 

สตรีชุดดำสะบัดคมกระบี่ในมือเข้าโจมตีอย่างดุดัน แม้นร่างกายของมันมีขนาดใหญ่โตมโหฬารแต่การเคลื่อนไหวกลับมิช้าเลย โดยเฉพาะส่วนหางที่สอดส่ายไปมาได้ราวกับมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเองอีกทั้งยังสามารถปล่อยลูกไฟพ่นพิษออกมาได้ตลอดเวลา

 

“นายหญิงพวกเรามาแล้ว!” องครักษ์ทั้งสองพุ่งตรงโจมตีส่วนหางต่างออกอาวุธอย่างเข้าขากัน

 

“ระวังพิษและลูกไฟด้วย!” จ้าวซินผิงร้องเตือนนักรบคู่ใจทั้งสองมิให้ประมาท

 

“ดี! ดาหน้าเข้ามาพร้อมกันเสียให้หมดจะได้จัดการทีเดียว!” จอมมารร้ายแสยะยิ้มมุมปาก จากนั้นกระหน่ำเดินหน้าเข้าโจมตีคนทั้งสามอย่างหนักหน่วง

 

ปฐพีเลื่อนลั่น-----!

 

ตูม-----!

 

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

 

หางข้างหนึ่งถูกทำลายด้วยค้อนจื่อฉุยฉื่อจนขาดกระเด็น พื้นถ้ำเกิดรอยแยกแตกร้าวจนจอมมารเสียการทรงตัว จ้าวซินผิงฉวยโอกาสฟันก้ามขาดไปข้างหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ชิงเสอกระโดดหมุนตัวลงมาตัดหางอีกข้าง

 

สกุณาถลาลม-----!

 

ฉัวะ-!

 

“ผลั่ก!”

 

 

แต่ทว่าหางแรกกลับงอกขึ้นมาใหม่ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นมันซัดหญิงงามกลางอากาศเข้าอย่างจังจนร่างบางปลิวกระแทกผนังถ้ำอย่างแรงจนสลบเหมือด

 

“เหมยกุ้ยจัดการมัน!”

 

จ้าวซินผิงใช้พลังปัญญาวิสุทธิ์เรียกผู้พิทักษ์ออกมา ร่างสาวงามโปร่งแสงเข้าควบคุมกระบี่โจมตีจอมมารร้ายในทันที นางรีบกระโดดเข้าไปยกร่างชิงเสอขึ้น ทว่ากลับหลีกเลี่ยงภัยร้ายไม่พ้น…..

 

ฉึก-!

 

ตะขอยักษ์ส่วนหางได้แทงทะลุจากด้านหลังของหญิงสาวพร้อมหลั่งพิษร้ายอย่างรวดเร็ว

 

“นายหญิง!” ต้าหนิวรีบเข้ามาปัดป้องขับไล่ศัตรูออกไปอย่างโมโหโกรธาด้วยใบหน้าแดงก่ำเลือดลมทั้งร่างพลุ่งพล่าน

 

“รับ! รีบพานางออกไปเดี๋ยวนี้!” จ้าวซินผิงโยนร่างสาวงามส่งให้ชายหนุ่มทันที

 

“ไป!” นางตะโกนเสียงแข็งตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางละล้าละลัง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มสาวงามหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว

 

เห็นทีคงต้องรีบจบการต่อสู้โดยเร็วเสียแล้ว ก่อนที่พิษจะกำเริบหนักมากไปกว่านี้ สตรีชุดดำคิดคำนวณผลลัพธ์ในใจ

 

“เหมยกุ้ย! เจ้าใช้ท่าบุหงาวารี ไล่ต้อนมันมาตรงกลาง ข้าจะร่ายเวทย์!” หญิงสาวสื่อสารผ่านปัญญาวิสุทธิ์ พลันบังเกิดม่านน้ำบางเบาสกัดกั้นเส้นทางให้อสูรร้ายตีวงแคบเข้ามา ละอองน้ำใสเย็นส่งกลิ่นหอมอบอวลอันประหลาดสามารถมอมเมาจิตใจจอมมารให้เคลิบเคลิ้ม มันเริ่มไร้สติแววตาเลื่อนลอย จังหวะการเคลื่อนไหวเริ่มพ่นพิษและปล่อยลูกไฟอย่างสะเปะสะปะ

 

จ้าวซินผิงรวบรวมพลังวัตรลอยตัวอยู่กลางอากาศ ท้องฟ้าพลันปั่นป่วนมืดครึ้มเส้นสายฟ้ากระจายแลบแปลบปลาบวูบวาบรายล้อมรอบตัว

 

เวทย์เวหา-----!

 

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยงงง!

 

หญิงสาวซัดสายฟ้าอย่างว่องไวติดต่อกันไม่ยั้ง จนจอมมารเริ่มอ่อนแรงถอยร่นไม่เป็นท่า ครั้นได้จังหวะนางเรียกกระบี่กลับมาแล้วโจมตีอย่างรวดเร็ว

 

นวาระปราบมาร-----!

 

ฉับ-!

 

ศีรษะจอมมารแมงป่องเพลิงขาดกระเด็นตกลงมา  นัยน์ตาของมันยังคงเบิกโพลงใบหน้าบิดเบี้ยว ร่างแสนอัปลักษณ์พลันสลายไป ปรากฏเป็นศัสตราวุธเทพขึ้นมาแทน

 

“ทวนจักรพรรดิ!”

 

จ้าวซินผิงรีบเก็บศัสตราวุธไว้ในวงแหวน ก่อนกระอักเลือดออกมาคำโต บริเวณบาดแผลมีโลหิตไหลทะลักออกมาจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม นางโยนยาเม็ดกลมสีเขียวใสเข้าปากหนึ่งเม็ดบาดแผลภายนอกสมานตัวหายเป็นปกติในชั่วพริบตา จากนั้นจึงดึงเข็มหยกขึ้นมาแล้วฝังลงไปตามจุดสำคัญในร่างกายเปลี่ยนท่านั่งเพื่อเข้าสมาธิโคจรพลังวัตรรักษาอาการบาดเจ็บ เมื่อพิษถูกขจัดจนสิ้น จึงใช้กำไลวิเศษพาตัวเองกลับ

ลงมายังเบื้องล่าง แต่การใช้ปัญญาวิสุทธิ์เรียกผู้พิทักษ์ออกมาทำให้หญิงสาวสิ้นเปลืองพลังมากถึงสองเท่าอีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจนแทบไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ

 

“นายหญิง!” ชิงเสอรีบวิ่งเข้าไปประคองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสตรีชุดดำกระอักเลือดแล้วล้มลง

 

 

หลังจากลืมตาตื่นขึ้นหญิงสาวค่อย ๆ กวาดสายตามองโดยรอบและพบว่าตนเองนอนอยู่ในเรือนไม้ที่สร้างขึ้นอย่างหยาบจากต้นไป๋หลาง

 

“นายหญิงฟื้นแล้ว ท่านหลับไปเสียหลายวัน ข้าใจคอไม่ดีเลย” ชิงเสอเผลอหลับไปขณะนั่งเฝ้าผู้เป็นนายมาหลายคืน เมื่อสัมผัสถึงความเคลื่อนไหวจึงได้ลืมตาตื่น 

 

“ข้าหลับไปกี่วันรึ?”

 

“สลบไปเจ็ดวันเจ็ดคืนเจ้าค่ะ” แม้นสีหน้าของชิงเสอจะดูอิดโรยไม่แพ้คนเจ็บที่นอนอยู่บนเตียงแต่ก็ยังคงยิ้มออก นางดีใจที่นายหญิงปลอดภัย

 

“เหตุใดด้านนอกจึงมีผู้คนพลุกพล่านนัก” จ้าวซินผิงเอ่ยถามอย่างแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงดังอึกทึกครึกโครม

 

 “ท่านยังจำหลวงจีนไม้แกะสลักในถ้ำได้หรือไม่เจ้าคะ พวกเขาคือมนุษย์ที่ต้องคำสาป เมื่อจอมมารแมงป่องเพลิงต้องการเพิ่มพูนพลังปราณก็จะคลายมนต์สะกดแล้วจับหลวงจีนกินเป็นอาหาร”

 

“ท่านเจ้าอาวาสมาขอพบ นายหญิงสะดวกรึไม่ขอรับ?” ต้าหนิวเคาะประตูส่งเสียงถามจากหน้าห้อง

 

“เชิญเจ้าค่ะ!” ชิงเสอเปิดประตูเชื้อเชิญหลังจากให้ยืนรออยู่เพียงชั่วครู่

 

หลวงจีนเฒ่าผู้เปี่ยมเมตตาจิตก้าวเข้ามาด้วยทีท่าน่าเลื่อมใสพร้อมกับศิษย์อีกสองคน เขาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ชายหนุ่มยกมาให้ ชิงเสอรีบรินน้ำชา

 

“จ้าวซินผิงขอคารวะท่านผู้อาวุโส” เสียงของนางยังคงแหบแห้งเพราะร่างกายอ่อนแอ

 

“มิต้องเกรงใจ อาตมามีนามว่า หย่งเต๋อ พวกเราขอขอบคุณสีกาและผู้ติดตามที่ช่วยปัดเป่าเภทภัยใหญ่หลวงในครั้งนี้”

 

“เป็นเพียงความบังเอิญเจ้าค่ะ”

 

“นี่มิใช่เรื่องบังเอิญมันคือลิขิตสวรรค์!”

 

“ลิขิตสวรรค์?” จ้าวซินผิงทวนคำอย่างนึกแปลกใจ

 

 

“แม้นสีกาจะสามารถถอนพิษได้สำเร็จ ทว่านับแต่นี้เป็นต้นไปทุกครั้งที่ใช้วรยุทธ์ลมปราณของเจ้าจะติดขัดเพราะพิษนั้นได้ทำลายเส้นชีพจรบางส่วน เดิมทีพลังวัตรก็มิได้สมบูรณ์ร่างนี้ของเจ้าใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว” ผู้ทรงศีลกล่าวด้วยทีท่าสบาย ๆ ราวกับทุกสรรพสิ่งบนโลกล้วนเป็นเรื่องธรรมดา

 

ใช่แล้ว…ทุกครั้งที่โคจรลมปราณนางมักรู้สึกเสมอว่าพลังส่วนหนึ่งได้ขาดหายไป แม้นเวลาจะผ่านมานานหลายปีก็ยังมิอาจทะลวงขั้นได้ หากไม่เพราะพรสวรรค์อันล้ำเลิศและความมานะพากเพียรคงไม่มีวันได้ก้าวมาจนถึงจุดนี้

 

“ข้ายังคงเหลือเวลาอีกนานเท่าใด?”

 

“ไม่เกินครึ่งปี”

 

“มีวิธีอื่นแก้ไขรึไม่?”

 

“ลิขิตฟ้าไม่อาจฝืนชะตา…อมิตาพุทธ!” เมื่อกล่าวจบหลวงจีนเฒ่าก็เดินพนมมือนับลูกประคำจากไป

 

“นายหญิง…ท่าน!” เมื่อแขกผู้มาเยือนเดินออกจากห้องไปชิงเสอก็ร้องไห้โฮ หากไม่เพราะช่วยนางคงมิต้องลงเอยเช่นนี้ หญิงงามได้แต่กล่าวโทษตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

“จะร้องไห้ไปไยยังมีเวลาตั้งครึ่งปี พวกเจ้าจงเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”

 

“ขอรับ” ต้าหนิวน้ำตาคลอเขาพยายามเงยหน้ากระพริบตาถี่ ๆ เพื่อมิให้น้ำตาไหลออกมา

 

“ด้านนอกเป็นเช่นไรบ้าง?”

 

“ช่วงที่ท่านสลบไป ข้าตามผู้คนในหมู่บ้านกับผู้เฒ่าหลิวมาช่วยกันซ่อมแซมวัดขอรับ”

 

 

“ช้าเกินไป! เจ้าสองคนรีบไปจดบันทึกสิ่งที่จำเป็น โดยขอคำชี้แนะจากหลิวเย่ หุยซาและท่านเจ้าอาวาส ตอนนี้ข้ายังรู้สึกอ่อนเพลียอยากนอนพักผ่อนพวกเจ้ารีบออกไปจัดการกันเถิด…..”

 

“เจ้าค่ะ”

 

“ขอรับ”

 

 

“จดบันทึกมาครบแล้วขอรับ เครื่องใช้ เครื่องเขียน สิ่งของที่ต้องใช้ในการซ่อมแซมวัด อาหาร และแรงงาน” ทั้งสองโผล่มาพร้อมกับสำรับมื้อเย็นหลังจากหายหน้ากันไปครึ่งค่อนวัน ชิงเสอเดินมาประคองพาจ้าวซินผิงไปนั่งที่โต๊ะ

 

“ดี! ข้ามีภารกิจสำคัญมอบหมายให้เจ้าไปทำ จงพา   ปิงอวี้กลับไปรักษาตัวที่ตระกูลหาน แล้วนำแรงงานกลับมาเพิ่ม สร้างแหล่งกักเก็บน้ำและหอพระคัมภีร์ จัดการให้แล้วเสร็จภายในสามวัน”

 

“สามวัน! จะเป็นไปได้เยี่ยงไร แค่เดินทางก็ใช้เวลาแรมเดือนแล้วนะขอรับ” ต้าหนิวทำหน้าเหมือนโดนบังคับดื่มยาขมหม้อใหญ่

 

“เคยได้ยินชื่อกำไลหยกพิสุทธิ์หรือไม่?”

 

“ขอรับ ของวิเศษในตำนานใช้เคลื่อนย้ายกำลังพลและสิ่งของในพริบตา” ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นจ้าวซินผิงหยิบมันออกมาเขาแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

 

“เจ้าจงนำมันไปใช้งาน นี่เป็นเงินจำนวนสิบศิลามณีและจดหมายถึงท่านน้า จ่ายค่าแรงทุกคนวันละหนึ่งศิลาทอง ส่วนชิงเอ๋อร์ ดูแลความเป็นอยู่ทางนี้ให้ทุกคนได้กินอิ่มอย่าให้ขาดตกบกพร่อง” นางยื่นจดหมาย เงิน และกำไลส่งให้แก่ชายหนุ่มเมื่อกล่าวจบ

 

“เจ้าค่ะ”

 

“ขอรับ” 

 

ทั้งสองแยกย้ายไปทำหน้าที่ในทันที…..

 

เพียงเดือนเดียวทุกอย่างพลันสำเร็จเสร็จสิ้น ป้าย ‘วัดฟาไฉ่’ ถูกติดตั้งขึ้น ท่ามกลางความยินดีของทุกคน

 

 

“หากเจ้ากลับไปแล้วพวกเราจะได้พบกันอีกหรือไม่?” หลิวเย่ถามขึ้นในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองกำลังร่ำสุรา

 

“เหตุใดมิคิดเปิดหูเปิดตาไปเที่ยวชมแคว้นลู่บ้างเล่า?”

 

“ข้ายังมีเรื่องต้องสะสาง”

 

“เจ้าหลอมศัสตราวุธให้ข้าได้อีกรึไม่?”

 

“เจ้าจะสร้างกองทัพหรือไร จึงสั่งสมศัสตราวุธมากมายถึงเพียงนี้” หลิวเย่หรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงหยั่งเชิง

 

“ใช่! ข้าต้องการสร้างกองทัพ เจ้าสร้างเสร็จเมื่อใดนำมันไปส่งมอบให้ข้าที่ตระกูลหาน ในถุงนี้มีเงินและวัตถุดิบที่จำเป็น ทุกอย่างล้วนให้เจ้าเป็นผู้ออกแบบ” กล่าวพลางโยนถุงเฉียนคุนให้แก่ผู้เฒ่าหลิว บัดนี้เวลาของนางเริ่มเดินนับถอยหลังจึงต้องการเตรียมความพร้อมให้มากที่สุด ไม่ว่าต้องใช้เงินทองสักเท่าใดจ้าวซินผิงก็พร้อมจ่ายไม่อั้น

 

“ตกลง! ข้าจะช่วยเจ้าสร้างกองทัพ-!”

 

 

 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป