ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
ชาตินี้นางคือหญิงงามผู้มีชะตาอาภัพ เกิดมาไร้ตัวตนเป็นเพียงเครื่องจักรสังหาร ครั้นได้รู้ชาติกำเนิดที่แท้จริง ครอบครัวกลับถูกเข่นฆ่าล้างตระกูล!!!
“ท่านหายไปไหนมาทั้งคืนเจ้าคะ ข้าเป็นห่วงแทบแย่!” ชิงเสอร้องตะโกนดีใจเมื่อเห็นจ้าวซินผิงเดินตุปัดตุเป๋โผล่มา
“พวกเจ้ายังมินอนกันอีกรึ?” จ้าวซินผิงส่งเสียงอ้อแอ้ทำตาปรือ เมื่อเห็นทุกคนนั่งล้อมรอบผิงไฟอยู่หน้ากระโจม
“รอนายหญิงอยู่ขอรับ” ต้าหนิวพูดพลางประคองหญิงสาวนั่งลงข้างกองไฟ
“ไม่ต้องรอข้า! โดยเฉพาะเจ้าหนูน้อยไปนอนได้แล้ว ประเดี๋ยวข้าจับตีก้นเสียนี่!” นางโวยวายทำท่าไล่มู่ปิงอวิ๋นไปนอน
“ท่านผู้อาวุโสออกเรือนรึยังขอรับ” แทนที่เด็กน้อยจะกลัวกลับถือโอกาสย้อนถามในสิ่งที่สงสัยด้วยแววตาไร้เดียงสา เท่าที่มู่ปิงอวิ๋นประเมินด้วยสายตาดูท่าทางคงแก่กว่ามารดาของเขาอยู่หลายปี แม้นสตรีผู้นี้จะมีนิสัยค่อนข้างประหลาดแต่ก็สัมผัสได้ว่านางเป็นคนดี
“นั่นสิ! เหตุใดปูนนี้แล้วจึงยังมิออกเรือน ข้าไม่งามรึอย่างไร?” นางหันไปบีบไหล่ต้าหนิวกัดฟันเค้นถาม
“นายหญิงงดงามมากขอรับ”
“อยู่ในดงบุรุษมาแต่เล็ก เหตุใดจึงมิเคยมีชายใดเกี้ยวพาราสีข้าเลยสักคน ทั้ง ๆ ที่ข้านั้นแข็งแกร่งฆ่าคนแต่ละครั้งแทบมิต้องกระพริบตา” นางไม่พูดเปล่าลุกขึ้นยืนโงนเงนออกท่าทางประกอบ
“เอ่อ…คงเพราะนายหญิงสูงส่งเกินไปขอรับ จึงมิมีใครกล้าบังอาจเอื้อม” ต้าหนิวอดกลอกตามองบนแบบเสียมิได้ เขาลุกขึ้นมาประคองหญิงสาวให้นั่งลงอีกครั้ง พลางลอบสบสายตากับชิงเสอแล้วพากันส่ายหน้า
ทุกครั้งที่เมามายลักษณะนิสัยของจ้าวซินผิงจะเปลี่ยนเป็นคนละคน จากเคยพูดน้อยสงวนท่าทีกลับกลายเป็นพูดพล่ามไม่หยุด และบางครั้งก็มีพฤติกรรมแปลกประหลาดเข้ามาร่วมด้วย นำพาให้คนรอบข้างต้องปวดเศียรเวียนเกล้า
“งั้นรึ? ดี! เช่นนั้นก็แล้วไป…ข้าเองก็มิมีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้เช่นกัน ข้ายังต้องช่วยหลานชายทวงบัลลังก์!” จ้าวซินผิงลุกขึ้นมายืนพล่ามใส่อารมณ์ออกท่าทางอีกรอบ
สิ้นเสียงนางกลับยืนหลับกลางอากาศทิ้งตัวลงมาเสียอย่างนั้น อาศัยความไวของชายหนุ่มจึงสามารถรับร่างไว้ได้ทัน เมื่อเห็นสายตาตกตะลึงของหนูน้อย ชิงเสอถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
จริงอยู่…แม้นนายหญิงของเขาจะมีรูปลักษณ์งดงามปานล่มเมือง แต่กลับขาดคุณสมบัติที่สตรีครองเรือนพึงมีเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งเขาเองก็ลืมไปเสียด้วยซ้ำว่านางเป็นหญิงสาว ทั้งความสามารถ ลักษณะนิสัย การพูดจา ความเด็ดขาด ล้วนองอาจสง่าผ่าเผยเสียยิ่งกว่าชายอกสามศอก หากเกิดเป็นบุรุษคงได้เป็นที่กล่าวขานหมายปองของสตรีทั้งแผ่นดิน ต้าหนิวได้แต่ทอดถอนใจออกมาอย่างแสนเสียดาย
“ข้าพบเบาะแสแล้ว ดินแดนแห่งนั้นจะปรากฏขึ้นในคืนจันทร์เต็มดวง” จ้าวซินผิงยิ้มกริ่มเปิดประเด็นบนโต๊ะอาหารอย่างอารมณ์ดี
“ลึกลับเช่นนี้เองเล่า…พยายามสืบเสาะเท่าไหร่จึงมิเคยได้ความ นายหญิงได้ร่องรอยมาจากที่ใดหรือขอรับ?” ชายหนุ่มถามด้วยความแปลกใจ
“ตาเฒ่าหลิวสหายข้า เขาเคยพลัดหลงไปที่นั่นเช่นกัน”
“ที่แท้เบาะแสก็อยู่เพียงปลายจมูก” ชิงเสอกล่าวอย่างร่าเริงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“อีกสองวันพวกเราจะออกเดินทาง พวกเจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม”
“เจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
ครั้นดาวเหนือปรากฏ บุคคลทั้งสามก็เริ่มออกเดินทางตามเส้นทางแห่งดวงดาว จวบจนสองสามราตรีถัดมาจึงได้พบดวงจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่กลางนภา ยิ่งดึกสงัดยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังวัตรอันรุนแรงแผ่กระจายครอบคลุมเป็นบริเวณกว้างพุ่งมาจากทางทิศเหนือ
“เราคงใกล้ถึงจุดหมายแล้วนะเจ้าคะ” แม้แต่สตรีผู้บอบบางที่สุดในกลุ่มยังสัมผัสได้
“ข้ารู้สึกได้ถึงกระแสพลังวัตรที่ไม่ธรรมดา” ชายหนุ่มมีสีหน้าท่าทางตื่นเต้น
“เป็นเช่นนั้น!” สตรีชุดดำตอบเสียงขรึม
เพียงชั่วระยะเวลาอึดใจ ช่วงยามจื่อทั้งสามได้พบม่านพลังสีทองส่องสว่างเปล่งประกายเหนือผืนทรายกว้างจึงพากันเดินเข้าไปในม่านสนามพลัง กลับให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในอีกมิติหนึ่ง และพอก้าวพ้นออกมา ตรงหน้าของพวกเขาพลันปรากฏภาพทะเลสาบขนาดใหญ่มีรูปลักษณ์ดั่งจันทร์เสี้ยวรายล้อมด้วยต้นไป๋หลาง พื้นที่ราบระหว่างหุบเขาบังเกิดเสียงหวีดหวิวเป็นระลอกชวนวังเวงใจยิ่งนัก
ถัดจากทะเลสาบเข้าไปมองเห็นเป็นเงาหน้าผาราง ๆ ทันใดนั้นวงแหวนเฮยต้งก็เกิดประกายลำแสงประหลาดทอดยาวลงไปใต้ผืนน้ำเหมือนต้องการนำทางไปยังที่ใดสักแห่ง ทำให้จ้าวซินผิงพลันนึกถึงนิทานของหลิวเย่
“พวกเจ้ารั้งรอข้าอยู่บริเวณนี้ ข้าจะลงไปสำรวจใต้น้ำดูสักครา” เมื่อกล่าวจบจ้าวซินผิงปลดสัมภาระและถอดชุดคลุมออกวางกองทิ้งไว้ กระโจนลงไปในทะเลสาบทันที ทั้งสองได้แต่มองตามอ้าปากค้าง นางเป็นเช่นนี้เสมอคิดเร็วทำเร็วมิเคยกังวลต่อสิ่งใด
เบื้องบนว่าเหน็บหนาวแล้ว แต่ภายใต้กระแสน้ำยามค่ำคืนกลับเย็นเยียบยิ่งกว่า หญิงสาวรู้สึกเหมือนถูกคมมีดบางกรีดทั่วทั้งตัวแผลแล้วแผลเล่าบาดลึกเข้าไปจนถึงกระดูก หากมิใช่เพราะมีร่างกายอันทรหดอดทนต่อความยากลำบากและจิตใจที่มุ่งมั่นแข็งแกร่งประดุจหินผา เห็นทีคืนนี้นางอาจสิ้นชีพกลายเป็นภูติพรายเฝ้าท้องทะเล
หญิงสาวแหวกว่ายตามลำแสงนำทางจากวงแหวนไปเรื่อย ๆ แสงจันทร์ส่องสว่างและพื้นน้ำกระจ่างใสทำให้พอมองเห็นบรรยากาศภายใต้ผิวน้ำ เมื่อถึงปลายทางนางออกแรงดึงทึ้งสาหร่ายทะเลตรงหน้าแยกออกเป็นทาง สองมือกลับไขว่คว้าเปะปะได้กล่องขนาดย่อมมาใบหนึ่ง จ้าวซินผิงรีบเก็บไว้ในวงแหวนแล้วถีบตัวขึ้นสู่เหนือผิวน้ำอย่างรวดเร็ว เมื่อร่างกายโผล่พ้นน้ำก็หายใจเอาอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ก่อนตั้งสติว่ายเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว
“นายหญิงรีบห่มผ้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ชิงเสอนำผ้าห่มผืนหนามาคลุมกายให้ในทันที นางยืนรออย่างกระวนกระวายใจอยู่นานแล้ว
ทั้งสองเดินหายลับเข้าไปในดงไป๋หลาง พบต้าหนิวกำลังก่อไฟกองใหญ่ ด้านบนเปลวไฟมีกาน้ำแขวนอยู่
“ดื่มชาก่อนขอรับนายหญิง” ชายหนุ่มรีบเทชาอุ่นจากกาส่งให้ เมื่อคนทั้งสองหย่อนตัวนั่งลงผิงไฟ
“มิใช่ศัสตราวุธเทพที่ข้าต้องการตามหา” นางบอกกล่าวเพียงสั้น ๆ
“หรืออาจอยู่บนนั้น” สิ้นเสียงชิงเสอ คนทั้งสองหันไปตามทิศทางที่นางชี้นิ้วจับจ้องบริเวณหน้าผาพร้อมกัน ต่างคนต่างเหม่อความคิดล่องลอยไปไกล
“คืนนี้พักเอาแรงกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยเริ่มสำรวจกัน ต้าหนิว เจ้าอยู่เวรคนแรก”
“ขอรับนายหญิง”
ทุกคนต่างแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตนเอง แม้บรรยากาศยามค่ำคืนจะเหน็บหนาวแต่ใจทุกคนกลับรู้สึกยินดี วันนี้พวกเขาได้บรรลุเป้าหมายไปอีกขั้น!
แสงแดดอ่อนยามเช้าทอประกายสาดส่อง ปรากฏภาพหน้าผาสูงชัน บริเวณด้านล่างมีวัดร้างตรงเชิงเขาอยู่ในสภาพทรุดโทรมผุพังตามกาลเวลา ครั้นแหงนหน้ามองย้อนขึ้นไปจึงเห็นปากถ้ำยื่นออกมาสามแห่ง
บุรุษสตรีสามร่างแต่งกายรัดกุมทะมัดทะแมงตระเตรียมอุปกรณ์พร้อมสรรพ
“ถ้ำอยู่ห่างกันมากคงต้องใช้เวลาพอสมควรเลยนะเจ้าค่ะ” สาวงามเอ่ยขึ้นหลังจากประเมินด้วยสายตา
“เริ่มจากถ้ำใดก่อนดีขอรับ”
“ตำแหน่งใกล้สุดก่อนแล้วกัน” สิ้นคำสตรีชุดดำโผนตัวปีนป่ายขึ้นไปตามโขดหินอย่างแคล่วคล่องว่องไว
ใช้เวลาไม่เกินสี่เค่อก็ถึงจุดหมาย นางผูกเชือกตรึงไว้กับโขดหินอย่างแน่นหนาแล้วจึงโยนปลายเชือกอีกด้านลงไปให้องครักษ์ปีนตามกันขึ้นมา
บรรยากาศภายในถ้ำค่อนข้างอับชื้นมีเส้นทางคับแคบ หลังจากเดินเข้าไปชั่วหนึ่งก้านธูปจึงพบลานกว้าง เมื่อจุดคบเพลิงขับไล่ความมืดกลับปรากฏหลวงจีนไม้แกะสลักขนาดเท่าคนจริงเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก
“แปลก! ข้าสัมผัสได้ถึงพลังวัตรอันบางเบา แต่กลับไม่พบสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่เลยนะเจ้าคะ” ชิงเสอเอ่ยขึ้นหลังจากช่วยกันสำรวจจนทั่วบริเวณ
“ฝีมือผู้ใดกัน?” ชายหนุ่มครุ่นคิด…ด้วยเส้นทางที่ค่อนข้างยากลำบากจึงไม่น่านำสิ่งของเหล่านี้เข้ามาในถ้ำได้โดยง่าย
“อย่าแตะต้องรูปสลักเหล่านี้! ไปถ้ำแห่งอื่นกันเถิด” จ้าวซินผิงออกปากห้ามเสียงดังตามสัญชาตญาณ เมื่อเห็นต้าหนิวกำลังจะยื่นมือออกไปสัมผัส ก่อนเดินนำตัวปลิวออกไปยังนอกถ้ำ
โพรงหินแห่งที่สองแตกต่างจากถ้ำแรก มีแสงสว่างรอดเข้ามาประปรายอากาศถ่ายเทไม่อับทึบ บริเวณผนังพบภาพเขียนสีสะท้อนถึงความเชื่อเกี่ยวกับเทพเซียน ปีศาจ ความดี ความชั่ว และกฎแห่งกรรม
“เห็นกันอยู่ว่ามีประตูตรงนี้แต่กลับเปิดไม่ออกขอรับ ข้าลองผลักดูแล้วคาดว่าคงมีกลไกซ่อนอยู่” ต้าหนิวคาดคะเน
ทุกคนพยายามค้นหากลไกลับเพื่อเปิดประตู หลังจากยืนพิจารณาภาพวาดบนผนังอยู่พักใหญ่ จ้าวซินผิงได้ลองวางมือลงบนภาพวาดประตูสวรรค์
“ครืน-----!” ประตูค่อย ๆ ขยับเลื่อนเปิดออก
“พวกเจ้ารีบเข้าไปหาอะไรมาขัดประตูไว้ ระวังตัวกันด้วย!” หญิงสาวรีบตะโกนบอก
สองร่างผลุบหายเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว สักพักชายหนุ่มโผล่มาพร้อมกับกระถางธูปใบใหญ่เขาวางมันลงเพื่อใช้ขัดประตูไว้ “ด้านในปลอดภัยขอรับนายหญิง”
“ดวงตะวันใกล้ลับขอบฟ้าเห็นทีคืนนี้พวกเราคงต้องนอนเอาแรงกันที่นี่ ข้าจะเตรียมอาหาร พวกท่านเชิญพักผ่อนกันก่อน” ชิงเสอกล่าวขึ้นพลางเดินวนจุดไฟรอบห้อง
ภายในห้องลับเต็มไปด้วยตำรา คัมภีร์ บันทึก พระธรรมคำสอน ภาพวาดและวัตถุโบราณ ต้าหนิวนั่งจ่อมอยู่กับกองคัมภีร์ยุทธ์เขาอ่านพลางออกท่าทางประกอบอย่างหลงใหลคลั่งไคล้
จ้าวซินผิงเลือกนั่งบริเวณปากถ้ำนางเหม่อมองดูดวงอาทิตย์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวพ้นจากเส้นขอบฟ้าราวกับตกอยู่ในภวังค์ เมื่อนึกขึ้นได้จึงหยิบกล่องที่เก็บจากท้องทะเลขึ้นมาทำความสะอาด ครั้นเปิดดูภายในจึงพบของวิเศษสามชิ้นและคัมภีร์โบราณอีกสองเล่ม ด้วยพลังอันลึกลับจึงทำให้สิ่งของทุกชิ้นภายในกล่องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
นางเพียงกวาดตามองย่อมรู้ได้ในทันทีว่าเป็นสิ่งใด หนังสือตระกูลมีบันทึกเรื่องราวเอาไว้
‘กำไลหยกพิสุทธิ์’ สำแดงอิทธิฤทธิ์ล่องหนหายตัว ‘เข็มหยกพิสุทธิ์’ ขจัดพิษทุกชนิด ‘ยาหยกพิสุทธิ์’ รักษาแผลภายนอกดุจดั่งไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
สิ่งวิเศษทั้งสามล้วนสร้างจากหินหยกพิสุทธิ์ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากการหลอมรวมตามธรรมชาติ ณ รอยต่อดินแดนแห่งพิภพทั้งแปด
ส่วนคัมภีร์ลับอีกสองเล่มเป็นคัมภีร์หัตถ์เทวะและคัมภีร์โอสถเทพมาร
นอกจากโลกมนุษย์แล้ว ยังมีพิภพในดินแดนลับแลที่เรียกขานกันในนาม ‘สี่มหาสมุทรแปดดินแดน’ ได้แก่ ทะเลตงไห่ ทะเลซีไห่ ทะเลหนานไห่ ทะเลเป๋ยไห่ และดินแดนสวรรค์ ดินแดนวิหค ดินแดนมาร ดินแดนคุนหลุน ดินแดนบาดาล ดินแดนบุปผา ดินแดนชิงชิว และดินแดนเซียน