หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หยุดเถอะ ตอนนี้บ่นไปจะได้อะไรขึ้นมา ทำไมตอนนั้นเธอไม่ห้ามฉันล่ะ!” หลินชิงอี้โทษเจียงกัว
เจียงกัวได้แต่เงียบ
ซูฮั่นหยวนพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน เธอยิ้มและเดินจากไปอย่างสบายใจ
ขอโทษนะหลินชิงอี้ ใครใช้ให้เธอทำเรื่องแย่ ๆ ก่อนล่ะ ฉันก็แค่ทำให้เธอได้ลิ้มรสการถูกโยนลงไปในหลุมที่คนอื่นขุดไว้เท่านั้นเอง!
เธอเดาว่าจู้หลินคงกลับไปที่หอพักแล้ว ดังนั้นเธอจึงมุ่งหน้ากลับไปที่หอ
ระหว่างทาง เธอเห็นหนิ่วหงเซี่ยอีกครั้งจากระยะไกล หล่อนกำลังคุยกับผู้นำอีกคนหนึ่ง ซูฮั่นหยวนได้ยินไม่ชัด จึงขยับเข้าไปใกล้ขึ้น
เมื่อขยับเข้าใกล้ เสียงสนทนาก็เริ่มชัดเจนขึ้น
“หลินชิงอี้ไม่ใช่คนดีสักนิด อายุก็ยังน้อยทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ฉันบอกให้นะ จะเก็บคนแบบนี้ไว้ไม่ได้ นี่หล่อนยังอยากได้รับเลือกเป็นพนักงานดีเด่นปีนี้อีกหรือ คุณธรรมขั้นพื้นฐานของหล่อนยังไม่ผ่านเกณฑ์เลยด้วยซ้ำ ฉันคิดว่าคุณควรให้โอกาสคนอื่นแทนหล่อนนะ”
หนิ่วหงเซี่ยไม่พูดอะไร ซึ่งเท่ากับว่าเธอยอมรับคำพูดนั้นโดยปริยาย
หลังจากที่ทั้งสองค่อย ๆ เดินจากไป ซูฮั่นหยวนก็เดินต่อไปที่หอพัก ขณะเดิน เธอก็ฮัมเพลงในใจไปด้วย เธอไม่ได้เป็นคนใจร้ายอะไร แต่เมื่อถูกแทงข้างหลัง จะให้เธอยกโทษให้ง่าย ๆ ก็คงไม่ได้
เธอมีหลักการว่า ‘อย่าล่วงเกินฉัน แล้วฉันจะไม่ล่วงเกินเธอ ถ้าเธอดีกับฉัน ฉันจะดีกับเธอ’
ซูฮั่นหยวนอยากจะแบ่งปันสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับจู้หลิน แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เธอก็เห็นความวุ่นวายเต็มห้อง เพื่อนของเธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะเรียน และหนังสือเรียนก็เกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น
“เกิดอะไรขึ้น” เธอถาม “เจอปัญหาอะไรหรือ”
เธอรู้ว่าจู้หลินกำลังตั้งใจเรียนหนังสือในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา และเตรียมตัวสำหรับการสอบเข้าปีหน้าอย่างจริงจัง
“อย่าพูดถึงมันเลย! ฉันจะตายเพราะความเครียดอยู่แล้ว!” จู้หลินพูดเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ “นี่มันยากเกินไปแล้ว ปีหน้าฉันจะสอบได้หรือเปล่า”
“ข้อไหนยากหรือ” ซูฮั่นหยวนเดินเข้ามาและก้มลงเก็บสมุดแบบฝึกหัดจากพื้น “ภาษาอังกฤษ?”
“อืม” จู้หลินตอบด้วยน้ำเสียงเศร้า “ฮั่นหยวน แค่ภาษาจีนยังไม่ดีอีกหรือ? ทำไมต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วย! ฉันได้ยินมาว่าวิชาอังกฤษจะถูกบรรจุในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้าด้วย!”
นี่คือช่วงฤดูหนาวปี 1982 ตั้งแต่ปี 1983 เป็นต้นไป วิชาภาษาอังกฤษจะถูกบรรจุอย่างเป็นทางการในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
สำหรับคนอย่างพวกเธอที่ไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาก่อน การเห็นตัวอักษรเหล่านี้เหมือนเห็นภาษาต่างด่าวที่ไม่เข้าใจเลยสักนิด
ยิ่งไปกว่านั้น สังคมในปัจจุบันขาดแคลนทรัพยากรทางการศึกษา ทั้งครูและสื่อการสอน
มหาวิทยาลัยเองยังเป็นแบบนี้ แล้วนับประสาอะไรกับคนที่ต้องเรียนด้วยตนเองเพื่อเตรียมตัวสอบ
“ไม่ต้องห่วง” ซูฮั่นหยวนยิ้ม “มันไม่ได้ยากขนาดนั้น ฟังมากขึ้น ดูมากขึ้น และอ่านมากขึ้น! ถ้าฝึกมาก ๆ ก็จะดีขึ้นเอง!”
“พูดง่าย แต่ฉันไม่รู้อะไรเลย แล้วจะไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไง” จู้หลินตั้งใจแน่วแน่ว่าจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้ในครั้งนี้ เพื่อน ๆ ของเธอก็เริ่มตั้งใจเรียนกันมากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง
ในสังคม แนวโน้มการศึกษาหาความรู้เพื่อให้ได้ใบปริญญากำลังเฟื่องฟู เธอเห็นด้วยกับการมองอนาคตของซูฮั่นหยวน ในอนาคต ความกระหายใคร่รู้ของผู้คนจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงควรรีบเรียนให้ได้ปริญญาโดยเร็ว
“ใจเย็น ๆ กังวลไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
“เธอไม่กังวลเลยหรือ” จู้หลินมองซูฮั่นหยวนอย่างประหลาดใจ
“ก็ไม่ค่อยนะ”
“ทำไมล่ะ ภาษาอังกฤษมันยากมากเลยนะ ฉันไม่เคยใช้มาก่อนเลย... เธอไม่กลัวบ้างหรือ อย่าบอกนะ...ว่าเธอรู้ภาษาอังกฤษ”