หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
หลังจากสรุปเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซูฮั่นหยวนก็ฉีกบทออกเป็นชิ้น ๆ ไม่มีทางที่เธอจะกลายมาเป็นแค่ตัวละครเสริม! เธอไม่เคยเป็นคนขี้ขลาด! เพื่อจัดการกับคนใจร้ายเหล่านี้ เธอจะปล่อยให้พวกเขาทำตามใจไม่ได้! มีสามคำสำหรับขยะพวกนี้คือ ‘ไปตายซะ!’
“ได้ค่ะ”
หนิ่วหงเซี่ยเดินตรงเข้าไปในป่าละเมาะ เธอรู้สึกจริง ๆ ว่าเธอปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างยุติธรรมแล้ว ไม่คาดคิดว่าหลินชิงอี้จะกล้าหาญและไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงขนาดนี้
ในอดีต หลินชิงอี้ก็นินทาเธอลับหลังเหมือนกัน เธอเองก็รู้เรื่องนี้ แต่มันก็เพียงสองสามประโยค หัวหน้าคนไหนบ้างที่ไม่เคยโดนบ่นบ้าง?
แต่คราวนี้เธอทนไม่ได้จริง ๆ เพราะมันบาดลึกถึงบาดแผลในใจ มันเกินไปแล้ว!
“สนุกกับการด่าฉันมากไหม? ตอนนี้รู้สึกดีหรือยัง?” เสียงใสของหนิ่วหงเซี่ยดังเป็นพิเศษในป่า
หลินชิงอี้ที่กำลังด่าหัวหน้าตัวเองอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความกลัวและรีบหันกลับไปมอง เธอเห็นเพียงเงามืดยืนอยู่ตรงนั้น
เงามืดนั้นไม่ใช่ใครนอกจากหัวหน้าของเธอเอง
“ห-หัวหน้าหนิ่ว?” หลินชิงอี้พูดติดอ่าง
“อย่าเรียกฉันว่าหัวหน้าเลย ฉันไม่ใช่หัวหน้าของเธอ ฉันเป็นแค่หญิงชรา เป็นแม่ม่ายที่มีพิษที่รู้จักแต่กดขี่เธอและปฏิบัติต่อเธออย่างไม่ยุติธรรม” หนิ่วหงเซี่ยโกรธมากจนเสียงสั่น
“หัวหน้าหนิ่ว ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ—ให้ฉันอธิบายก่อน!” หลินชิงอี้พยายามคิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ แต่ใครจะไปคิดว่าคนโชคร้ายจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนจากการพูดพล่อย ๆ แบบนี้
ปกติแล้วไม่มีใครมาที่ป่าละเมาะนี้ แต่วันนี้กลับบังเอิญเจอหัวหน้าแผนกของตัวเองซะงั้น
หนิ่วหงเซี่ยเป็นคนซื่อตรงและเข้มแข็ง แม้กระทั่งตนเข้มแข็งอย่างเธอก็ยังอดกลั้นไม่ได้เมื่อถูกด่าแบบนี้
คำด่าที่ถูกโยนใส่เปรียบเหมือนบาดแผลลึก เธอต้องอดทนกับความทุกข์ทรมานมากมายกว่าจะผ่านพ้นมันมาได้
ทุกก้าวเต็มไปด้วยความลำบาก เลือด และน้ำตา
"ดี ฉันจะให้โอกาสเธออธิบาย ว่าฉันเป็นแม่ม่ายที่มีพิษยังไง ชีวิตส่วนตัวของฉันมันไปขัดขวางอะไรเธอนักหนา? อธิบายมาสิ ถ้าเธออธิบายไม่ได้ วันนี้ฉันไม่ไปไหน แล้วเธอก็จะไม่ต้องไปไหนด้วย!"
เมื่อเจียงกัวเห็นความโกรธของหนิ่วหงเซี่ย เขารีบดึงหลินชิงอี้ออกไปด้านข้างและพูดเสียงเบา ๆ ว่า “พอเถอะ อย่าดื้อดึงอีกเลย ไม่อย่างนั้น... มันจะเกินเยียวยา”
“ฉัน...” แน่นอนว่าหลินชิงอี้ไม่สามารถอธิบายได้ เธอร้อนรนจนเหงื่อออกเต็มหน้าผาก ในที่สุดเธอก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “หัวหน้า โปรดให้อภัยฉันด้วยค่ะ! ฉันใจร้อนไปหน่อย...”
“ด่าหัวหน้าเพราะอารมณ์ชั่ววูบ? ถ้าฉันใจร้อนบ้าง ฉันสามารถสาปแช่งบรรพบุรุษทั้งหมดของเธอได้ไหมล่ะ? ฉันสามารถถอดถุงเท้าเหม็นของตัวเองออกมาแล้วยัดมันใส่ไปในปากของเธอได้ไหมล่ะ?” หนิ่วหงเซี่ยไม่ค่อยพูดอะไรที่รุนแรง แต่ว่าวันนี้เธอกลับพูดมันออกมา
หลินชิงอี้ ”……….”
ฉันจบเห่จริง ๆ แล้ว คราวนี้ฉันจะทำยังไงดี
แม่ม่ายที่มีพิษคนนี้จะทำให้ชีวิตของเธอลำบากในอนาคตหรือเปล่า
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว น้ำตาของเธอไหลไม่หยุด
“ร้องไห้ทำไม เธอเป็นคนที่โดนรังแกหรือไง เธอด่าคนอื่นแล้วทำเหมือนตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำได้ยังไง” หนิ่วหงเซี่ยไม่สนใจมารยาทของการเป็นหัวหน้าอีกต่อไปและพูดกับลูกน้องของตนอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันไม่สามารถเป็นหัวหน้าเธอได้อีกแล้ว พรุ่งนี้ไปหาคนที่เธอถูกใจและให้คนนั้นเป็นหัวหน้าของเธอแทนแล้วกัน”
พูดจบหนิ่วหงเซี่ยก็หันหลังและเดินจากไป
เมื่อซูฮั่นหยวนได้ยินเสียงฝีเท้า เธอก็รีบวิ่งไปยังอีกฝั่งของป่าเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่าแอบฟัง
หลังจากที่หนิ่วหงเซี่ยจากไป เสียงสะอื้นก็ยังคงดังอยู่
“ผมบอกแล้วไม่ให้พูด แต่เธอก็ยังทำ ดูสิว่าเธอทำอะไรลงไป แล้วเธอยังจะทำเสียงดังอีก สร้างปัญหาให้ตัวเองแท้ๆ!” เจียงกัวอดไม่ได้ที่จะตำหนิ
พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันตอนที่ด่าหนิ่วหงเซี่ย ไม่แน่ว่าเขาจะโดนหางเลขไปด้วยหรือไม่