Your Wishlist

เทพเซียนไร้ลักษณ์ (ตระกูลหลิว รุ่นที่ 3) (บทที่ 93 กลับไปป่าจันทราดำอีกครั้ง)

Author: geesan

หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน

จำนวนตอน :

บทที่ 93 กลับไปป่าจันทราดำอีกครั้ง

  • 20/02/2567

   หลังจากที่การทดสอบหลักรอบ 3 เดือนผ่านไปแล้ว

 

 

 

   การฝึกทหารก็เริ่มเข้มข้นขึ้น แต่ครูฝึกก็ยังมิให้บรรดานักเรียนฝึกทหารได้ฝึกการใช้อาวุธ เช่น ดาบ หอก โล่ ธนู ซึ่งเป็นอาวุธหลักที่ใช้ในกองพลทหารทุกๆกอง

 

 

 

   พอเข้าเดือนที่ 4 การฝึกก็ปรับเปลี่ยนไปบางส่วน

 

 

 

   ยังคงมีการฝึกระเบียบแถวเหมือนเดิม แต่มีการปรับเปลี่ยนรูปขบวนมากขึ้น

 

 

 

   น้ำหนักถ่วงที่ข้อมือและข้อเท้า ก็เปลี่ยนจากข้างละ 1 กีลา เป็นข้างละ 2 กีลา รวมเป็น 8 กีลา

 

   เปลี่ยนการวิ่งรอบสนามฝึกจากจำนวน 50 รอบ เป็นจำนวน 70 รอบ

 

 

 

   เปลี่ยนการแบกหินทรงลูกเต๋าขึ้นลงเขา จากหินหนัก 100 กีลา เป็นหินหนัก 120 กีลา

 

 

 

   ส่วนบทลงโทษยังคงเดิม

 

   สร้างความยากลำบากให้กับเหล่านักเรียนฝึกทหารมากยิ่งขึ้น เริ่มมีคนถูกลงโทษให้อดข้าวมากยิ่งขึ้น

 

 

 

 

 

   เมื่อถึงเดือนที่ 5 ทางครูฝึกและนักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ก็ได้รับคำสั่งมาจากท่านขุนพลอี้ว่า

 

 

 

   ให้นักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ทุกนาย ไปทำการก่อสร้างค่ายการค้าและท่าเรือถาวร ยังบริเวณท่าเรือชั่วคราวไร้ชื่อ ของป่าจันทราดำ

 

 

 

   การขอให้นักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ทั้ง 1,000 นาย ไปก่อสร้างค่ายการค้า และท่าเรือถาวร ยังป่าจันทราดำนี้

 

 

 

   ทางท่านเจ้าเมืองอันซุย สือคงอี้ ได้ประสานขอความร่วมมือมายังกองพลทหารแห่งเมืองอันซุย

 

   ให้นักเรียนฝึกทหาร ไปเป็นแรงงานในการก่อสร้าง และเป็นการฝึกร่างกายไปด้วยในตัว

 

 

 

   โดยค่ายการค้าและท่าเรือถาวรที่จะสร้างที่ป่าจันทราดำนี้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างเมืองอันซุย และเมืองจิวไห่

 

 

 

   เนื่องจากป่าจันทราดำ เป็นป่าที่อยู่ระหว่างรอยต่อเขตปกครองของทั้ง 2 เมือง

 

   ทางเมืองอันซุย และเมืองจิวให่ จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตลอดจนค่าเบี้ยเลี้ยงให้กับนักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ทั้ง 1,000 นายนี้

 

 

 

   เพราะว่ามิมีแรงงานก่อสร้างคนใด กล้าไปทำงานยังบริเวณป่าจันทราดำ เนื่องจากป่าจันทราดำมีสัตว์ป่าดุร้ายและสัตว์อสูรอยู่นับ 100,000 ตัว

 

 

 

   ทางท่านขุนพลอี้เห็นว่าเป็นการช่วยพัฒนาทั้งเมืองอันซุย และเมืองจิวไห่ จึงส่งกำลังพลให้ตามคำร้องขอของท่านเจ้าเมืองอันซุย

 

 

 

   ท่านขุนพลอี้ ย่อมรู้อยู่แล้วว่า ท่านว่าที่นักกลยุทธ์ทางการทหาร หลิวชุน

 

   ก็อยู่ในกลุ่มนักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ กลุ่มนี้ด้วย จึงทำให้ท่านขุนพลอี้คลายความกังวลในเรื่องความปลอดภัยของนักเรียนฝึกทหารทั้ง 1,000 นายนี้ไปได้มาก

 

 

 

 

 

   แล้วนักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ทั้ง 1,000 นายก็พากันขึ้นเรือลำเรียงพล 5 ลำ ไปยังท่าเรือชั่วคราวไร้ชื่อ ของป่าจันทราดำ

 

 

 

  หลิวชุนนั้นย่อมคุ้นเคยกับบริเวณท่าเรือไร้ชื่อแห่งนี้ดี เพราะเมื่อเกือบ 8 ปีก่อน ที่เขาเดินทางมากับเรือแม่น้ำสวรรค์ เขาได้รับภารกิจจากท่านอาจารย์จ้าว ให้เข้าไปฝึกวรยุทธ์ โดยการล่าสัตว์ป่าดุร้ายยังชายป่าบริเวณนี้

 

 

 

   เมื่อเดินทางมาถึงยังบริเวณท่าเรือไร้ชื่อ พวกเขาทั้ง 1,000 นาย ก็พากันตั้งกระโจมสำหรับเป็นที่พัก ตลอดจนสร้างรั้วชั่วคราว เพื่อป้องกันสัตว์ป่าดุร้าย ตลอดจนถึงสัตว์อสูร ที่อาจจะบุกเข้ามาล่าพวกเขาไปกินเป็นอาหาร

 

 

 

   ครั้งนี้มีครูฝึกระดับ นายกองมาด้วย 10 นาย และหัวหน้าครูฝึกระดับ ขุนศึกมาด้วยอีก 2 นาย

 

 

 

   โดยครูฝึกระดับนายกอง 1 นาย จะดูแลนักเรียนฝึกทหารจำนวน 100 นาย

 

   และหัวหน้าครูฝึกระดับขุนศึก 1 นายจะดูแลนักเรียนทหารจำนวน 500 นาย คือแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 500 นาย

 

 

 

   โดยบรรดาครูฝึกทุกนาย ได้รับคำสั่งลับเป็นลายลักษณ์อักษร มาจากท่านขุนพลอี้ มีใจความว่า

 

 

 

   หากเกิดเหตุร้ายใดๆ ที่ทางสำนักมือปราบมิสามารถควบคุมได้อีกต่อไปแล้ว

 

 

 

   ให้บรรดาครูฝึกและนักเรียนฝึกทหารทุกนาย จงรับฟังคำสั่งบัญชาการรบ จากท่านว่าที่นักกลยุทธ์ทางการทหารหลิวชุน

 

 

 

   คำสั่งของท่านว่าที่นักกลยุทธ์ทางการทหารหลิวชุน ถือเป็นคำสั่งเด็ดขาดทางการทหาร ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษประหาร ตามกฏของกองทัพแห่งมณฑลภาคเหนือ

 

 

 

   นั่นคือหากมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น หลิวชุน ก็จะเปลี่ยนจากนักเรียนฝึกทหาร ไปเป็นผู้บัญชาการรบในทันที

 

 

 

   โดยที่หลิวชุน มิได้รู้อิโหน่อิเหน่อันใด กับคำสั่งลับทางการทหารของท่านขุนพลอี้ ในเรื่องนี้เลย

 

 

 

 

 

 

 

   อนึ่ง กองกำลังคุ้มกันและลาดตระเวณ เพื่อรักษาความปลอดภัย ทั้งหมดเป็นกำลังพลของสำนักมือปราบจากเมืองอันซุย และเมืองจิวไห่ จำนวนรวมกัน 300 นาย

 

 

 

   ค่ายการค้าที่จะทำการก่อสร้างนี้ อยู่ลึกเข้าไปในป่าจันทราดำ ประมาณ 1 กีลาเมตา เพื่อป้องกันน้ำท่วม หากน้ำล้นตลิ่งขึ้นมา

 

   ( 1 กีลาเมตา = 1 กิโลเมตร )

 

 

 

 

 

   ค่ายการค้าที่จะสร้างนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ต่อทั้ง 2 เมืองมาก

 

   เพราะซากสัตว์ป่าดุร้าย และซากสัตว์อสูร แร่ธาตุพิเศษ ตลอดจนสมุนไพรต่างๆในป่าจันทราดำ นั้นมีมูลค่ามหาศาล

 

 

 

   ทรัพยากรเหล่านี้สามารถที่จะนำไปทำเป็นยารักษาโรค เป็นอาวุธ เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เป็นเครื่องนุ่งห่ม เป็นชุดเกราะ เป็นอวัยวะเทียม

 

 

 

   ตลอดจนเป็นทรัพยากรในการเพิ่มพลังปราณ ให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ได้ในแทบจะทุกระดับขั้นพลังปราณ

 

 

 

   ที่หลิวชุน ยังมิเคยได้ใช้ทรัพยากรเหล่านี้ ก็เพราะตระกูลหลิวของเขายังมิได้ร่ำรวยพอ

 

   เขาจึงต้องอาศัยหินพลังปราณขั้นต่ำ เพื่อเพิ่มระดับพลังปราณ แต่ก็ถือว่าดีกว่าผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วๆไปมากแล้ว

 

 

 

   ดังนั้นค่ายการค้าในป่าจันทราดำ ที่มีโกดังแช่เย็นขนาดใหญ่ เพื่อเก็บรักษาซากสัตว์ป่า สัตว์อสูร ตลอดจนสมุนไพร จึงมีความสำคัญมาก

 

   หากไม่มีค่ายการค้าในป่า ทรัพยากรที่ได้มาจากป่าจันทราดำ ก็จะเน่าเสียได้โดยง่าย

 

 

 

   ในอดีต กว่าที่บรรดานายพราน นักล่าสัตว์อสูร นักเก็บสมุนไพร จะลำเลียงทรัพยากรออกจากป่าจันทราดำ แล้วนำมาลงเรือเพื่อนำทรัพยากรไปขายให้พ่อค้า ยังทั้ง 2 เมือง ที่อยู่ห่างไกลออกไป ทรัพยากรเหล่านี้ก็เน่าเสียไปเป็นอันมากแล้ว

 

 

 

   ดังนั้นสำนักการค้าของทั้ง 2 เมืองจึงต้องการที่จะสร้างค่ายการค้าในป่าจันทราดำขึ้น ที่บริเวณท่าเรือไร้ชื่อนี้

 

   เพื่อให้บรรดาพ่อค้าเข้ามาเปิดร้านรับซื้อทรัพยากรจากนายพราน นักล่าสัตว์อสูร และนักเก็บสมุนไพร ได้โดยตรงจากป่าแห่งนี้

 

 

 

   พร้อมทั้งให้มีการเก็บรักษาทรัพยากร ตลอดจนการลำเลียงขนส่งที่ดี ซึ่งบรรดาพ่อค้าจะมีความชำนาญในเรื่องพวกนี้โดยเฉพาะอยู่แล้ว นั่นจึงจะทำให้ทรัพยากรจากป่าจันทราดำเสียหายน้อยที่สุด

 

 

 

 

 

   วันนี้หลังจากที่ตั้งกระโจม และล้อมรั้วเสร็จ เหล่านักเรียนฝึกทหารทั้ง 1,000 นาย ก็ได้รับคำสั่งจากครูฝึก ห้ามมิให้ส่งเสียงดัง และห้ามมิให้ออกไปจากบริเวณรั้วที่ล้อมเอาไว้ พวกเขาจึงพากันพักผ่อนกันอยู่อย่างเงียบๆ

 

 

 

 

 

   ชุน 2 ที่วันนี้เป็นผู้ใช้ร่างก็สื่อจิตคุยกับชุน 1 ว่า

 

   "เจ้าอ่อนชุน 1 คราวที่แล้วที่เรามายังป่าแห่งนี้ เราเกือบเสียแขนข้างซ้าย ไปให้ไอ้เจ้าอสูรแมงมุมพฤกษาอัมพาต"

 

   "คราวนี้คงไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกนะ"

 

 

 

   "คงไม่หรอก คราวนี้เรามากันเยอะ โดยธรรมชาติแล้ว พวกสัตว์ป่าดุร้ายจะไม่เข้าใกล้มนุษย์ที่มีจำนวนมากๆ"

 

 

 

   "ส่วนพวกสัตว์อสูร ถ้ามันฉลาดพอ มันก็คงจะหลบเลี่ยงไปเช่นกัน" ชุน 1 กล่าวตอบ

 

 

 

   ชุน 1 ศึกษาทักษะการเป็นพรานป่า กับบรรดานายพราน ที่ตระกูลหลิวจ้างมาล่าสัตว์ป่า เพื่อนำมาเป็นอาหารให้คนงานในเหมืองแร่เหล็กสีชาด ของตระกูลมาตั้งแต่ตอนอายุประมาณ 15 ปี จนตอนนี้ ทั้ง 2 ชุนอายุจะเข้า 18 ปีแล้ว

 

 

 

   ถึงเเม้ชุน 1 จะมิได้ไปใช้ชีวิตในป่าบริเวณเหมืองของตระกูลตลอดเวลา แต่เขาก็ไปบ่อยๆ ทำให้เขาได้รับการถ่ายทอดทักษะการเป็นนายพรานมาไม่มากก็น้อย

 

 

 

   เช้าวันต่อมา ขุนนางนายช่างก่อสร้างของกรมโยธาจากทั้ง 2 เมือง ก็มาพบปะพูดคุยรายละเอียดในการก่อสร้างกับบรรดาครูฝึกและนักเรียนฝึกทหารทั้ง 1,000 นาย

 

 

 

   "ทุกท่านขอรับ แผนงานก่อสร้างหลักๆมี 3 ขั้นตอน" ขุนนางฝ่ายโยธากล่าว

 

 

 

   "ขั้นแรกจะต้องทำการก่อสร้างท่าเรือถาวรแทนที่ท่าเรือชั่วคราวเสียก่อน เพื่อให้เรือบรรทุกขนส่งวัสดุก่อสร้าง เข้าเทียบท่าได้สะดวก ตลอดจนมีลานไว้เก็บกองวัสดุก่อสร้างขอรับ"

 

 

 

   "ขั้นที่ 2 จะต้องทำถนนจากท่าเรือถาวรไปยังจุดที่จะสร้างค่ายการค้า เพื่อให้สะดวกในการขนย้ายวัสดุก่อสร้างไปยังจุดสร้างค่ายการค้าขอรับ"

 

 

 

   "ขั้นตอนสุดท้ายคือสร้างค่ายการค้า ซึ่งจะเริ่มสร้างจากกำแพงหินก่อน เมื่อกำแพงหินทั้ง 4 ทิศสร้างเสร็จแล้ว คนที่ทำงานสร้างอาคารภายในนั้นก็จะปลอดภัยจากพวกสัตว์ป่าดุร้ายและพวกสัตว์อสูรขอรับ"

 

 

 

 

 

   "สำหรับพวกท่านนักเรียนฝึกทหารทุกนาย หน้าที่หลักของพวกท่านคือ สร้างท่าเรือ สร้างถนน และขนย้ายวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะขนหินลงจากเรือบรรทุกวัสดุก่อสร้าง ไปสร้างกำแพงค่ายการค้าขอรับ"

 

 

 

 

 

   นักเรียนฝึกทหารทั้ง 1,000 นายบ่นอุบ 

 

 

 

   "เฮ้อ.. ขนหินอีกแล้วหรือ"

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

   

 

 

 

 

 

 

 

 

 

  

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป