หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
แล้ววัฐจักรการฝึก ก็เป็นไปในรูปแบบนี้ในทุกๆวัน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เช้าตรู่หลังทำธุระส่วนตัวและกินข้าวเช้าแบบง่ายๆแล้ว ก็ฝึกระเบียบแถว จากนั้นก็สวมน้ำหนักถ่วงแล้ววิ่งรอบสนามฝึก 50 รอบ ใครวิ่งได้ครบ 50 รอบก่อน ก็ได้พักรอกินข้าวเที่ยงก่อน
ทั้ง 2 ชุนนั้นเรื่องวิ่งให้ครบ 50 รอบนี้ เขาทำได้โดยไม่ยากเย็นนัก จึงมีเวลาพักก่อนกินข้าวเที่ยง
พวกเขาทั้ง 2 อาศัยช่วงเวลาพักสั้นๆนี้ดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณขั้นต่ำ เพื่อเป็นการเตรียมร่างการให้พร้อมก่อนการแบกหินในช่วงบ่าย
ถือได้ว่าทั้ง 2 ชุนได้เปรียบนักเรียนฝึกทหารนายอื่นๆอยู่มาก เพราะทั้ง 2 ชุน สามารถพื้นสภาพร่างกายได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นๆ
จากการที่เขาดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณได้โดยตรง ตามที่นักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณขึ้นไปทุกคนทำได้
ส่วนของขั้นผสานกายา พวกเขายังมิสามารถดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณได้โดยตรง เนื่องจากร่างกายของขั้นผสานกายายังไม่พร้อม พวกเขาจึงต้องดูดซับปราณจากอณูของอากาศตามแต่ศักยภาพเคล็ดดูดซับพลังปราณของแต่ละคน
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ของทั้ง 2 ชุน และนักเรียนฝึกทหารอีกหลายๆคน ที่เป็นผู้มีวรยุทธ์
มิได้ผิดกฏของกองพลทหาร ที่ห้ามมิให้นักเรียนฝึกทหารใช้พลังปราณในการฝึกและการทดสอบแต่อย่าใด
กองพลทหารมิได้ห้ามใช้ในการฟื้นฟูสภาพร่างกายและเลื่อนขั้นระดับพลังปราณ ทั้ง 2 ชุน และคนอื่นๆ ที่มีวรยุทธ์ อาศัยช่วงเวลาพักในการดูดซับพลังปราณ มิได้อยู่ในช่วงที่ฝึกหรือช่วงทดสอบ
หลิวชุน มิกล้าคิดว่าตัวเขานั้น เป็นผู้มีวรยุทธ์ ที่มีขั้นระดับพลังปราณ สูงที่สุดในกลุ่มนักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ทั้ง 1,000 นายเหล่านี้
เพราะทุกวงการย่อมมี เสือซุ่มมังกรซ่อน
ยกตัวอย่างง่ายๆใกล้ๆตัวเช่น หากมีบุตรของ ขุนศึก ขุนพล หรือแม่ทัพ ต้องการที่จะเป็นทหารตามรอยบิดา
พวกเขาเหล่านี้ที่เริ่มต้นฝึกวรยุทธ์ มาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ด้วยเคล็ดดูดซับพลังปราณที่ดี วิชายุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบิดาของพวกเขา ก็จะทำให้พวกเขาเลื่อนขั้นระดับพลังปราณได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
และที่สำคัญที่สุดพวกเขาจะได้รับทรัพยากรในการฝึกวรยุทธ์ที่แทบจะไม่จำกัด ตามแต่ตำแหน่งฐานะของบิดาของพวกเขา
ส่วนหลิวชุนนั้น ถึงแม้เขาจะเริ่มฝึกวรยุทธ์ในตอน 5 ขวบเช่นเดียวกัน
แต่ต้องมิลืมว่าหลิวชุน มาจากตระกูลเล็กๆ เขาฝึกวรยุทธ์อยู่ในสำนักยุทธ์หมัดทลายฟ้า ของอำเภออันจง ซึ่งเป็นอำเภอขนาดกลางทั่วๆไป
การที่หลิวชุน ก้าวหน้ามาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะเขาได้พบเจอกับท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง ผู้เปลี่ยนชะตาชีวิตของเขา ตอนที่เขาอายุ 10 ปีเข้าไปแล้ว
ท่านอาจารย์จ้าวได้ตรวจสอบพบว่าหลิวชุน มีกายายุทธ์ธาตุลม เช่นเดียวกันกับกายายุทธ์ของท่านอาจารย์จ้าว
แต่หลิวชุน กลับไปฝึกเคล็ดดูดซับพลังปราณธาตุดิน ของสำนักหมัดทลายฟ้า ทำให้ขั้นพลังปราณยกระดับได้ช้า
ท่านอาจารย์จ้าว จึงได้ถ่ายทอดเคล็ดดูดซับพลังปราณ กลืนเมฆา อันเป็นเคล็ดดูดซับพลังปราณธาตุลมที่มีประสิทธิภาพในระดับสูง ซึ่งเหมาะสมกับกายายุทธ์ธาตุลมของหลิวชุนให้
หมายความว่า หลิวชุน ได้รับการฝึกวรยุทธ์อย่างถูกต้องจริงๆจังๆ ก็เมื่อเขาอายุ 10 ปีขึ้นไปแล้ว หลังจากที่เขาได้เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์จ้าวฟูหยาง
ดังนั้นบรรดาบุตรหลานของผู้มีอำนาจหรือแม้กระทั้งบุตรหลานของผู้ร่ำรวยทั้งหลาย อาจจะมีหลายๆคน ที่มีขั้นพลังปราณที่สูงกว่าหลิวชุนไปแล้วก็เป็นได้
การฝึกระเบียบแถว การวิ่งรอบสนามฝึก 50 รอบ การแบกหินขึ้นและลงเขา
การฝึกก็ดำเนินการมาซ้ำๆอย่างนี้ทุกวันจนครบ 3 เดือน
เมื่อครบ 3 เดือน การทดสอบพลังร่างกายก็ได้เริ่มต้นขึ้น ตามกฏของกองพลทหาร
วันนี้บรรดาครูฝึกได้นำเอาเครื่องทดสอบพลังร่างกายมา 3 เครื่อง 3 ชนิด
นั้นคือ 1. เครื่องทดสอบพลังแขน 2. เครื่องทดสอบพลังขา 3. เครื่องทดสอบการยกน้ำหนัก
"เอาละ.. พวกเจ้าทำการฝึกทหารมาได้ครบ 3 เดือนแล้ว"
"อย่างที่พวกเจ้ารู้ ในทุกๆ 3 เดือนทางกองพลทหารจะมีการทดสอบหลัก อันเป็นการพลังของร่างกายตลอดจนความทนทานต่ออาการเหนื่อยล้าของพวกเจ้า"
"หากผู้ใดทดสอบแล้วไม่ผ่านค่าเฉลี่ยที่ทางกองพลทหารกำหนดไว้ ผู้นั้นจะได้รับโอกาศทดสอบซ่อมอีกครั้ง ในอีกหนึ่งเดือนครึ่งข้างหน้า"
"และถ้าหากไม่ผ่านการทดสอบซ่อมในอีกหนึ่งเดือนครึ่งข้างหน้า อีกครั้งเป็นครั้งที่ 2"
"ผู้นั้นจะถูกปลดไปเป็นพลสนับสนุน มิสามารถเข้ารับการฝึกทหาร เพื่อบรรจุเป็นพลทหารได้อีกต่อไป"
อนึ่งพลสนับสนุน ก็คือบุคคลที่ไม่ผ่านการทดสอบหลัก และการทดสอบซ่อม ของในแต่ละรอบการทดสอบที่จะจัดให้มี 3 เดือนครั้ง
การที่กองพลทหารไม่ไล่ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบในแต่ละรอบการทดสอบ 3 เดือน ออกจากค่ายทหาร ให้กลับไปเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วๆไปนั้น
ก็เพราะว่า นักเรียนฝึกทหารเหล่านี้ ผ่านการคัดเลือกคัดกรองมาอย่างดีแล้ว ตอนที่มาสมัครเข้าฝึกทหาร
บางกองพลทหาร ต้องคัดเลือกคัดกรองมาจากผู้สมัครฝึกทหารนับ 10,000 คน
ถึงจะได้นักเรียนฝึกทหารจำนวน 1,000 คนนี้มา
สำหรับพลสนับสนุนนั้น ยกตัวอย่างเช่นพลเสบียง พลครัว พลพยาบาล พลขนส่ง พลซ่อมบำรุงอาคารสถานที่ พลประสานงานด้านเอกสาร และทุกหน่วยงานที่ทำหน้าที่สนับสนุนกองกำลังหลักในการรบ
แต่พลทหารซึ่งเป็นกำลังรบ กับพลสนับสนุน ก็จะได้รับเบี้ยหวัดรายเดือนที่ต่างกันมาก
เช่นพลทหารได้รับเบี้ยหวัดอยู่ที่ 80 เหรียญเงินต่อเดือน
พลสนับสนุน จะได้รับเบี้ยหวัดเพียง 20 เหรียญเงินต่อเดือนเท่านั้น
แต่หากเมื่อเทียบกับกรรมกรท่าเรือ ที่มีรายได้ประมาณ 8 - 10 เหรียญเงินต่อเดือนแล้ว
พลสนับสนุนก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ามาก เพราะในค่ายกองพลทหารแห่งนี้ทุกอย่างเป็นสวัสดิการ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย อาหาร ชุดเครื่องแบบ และในค่ายทหารสินค้าทุกชนิดยังได้รับการยกเว้นภาษี ทำให้สินค้าภายในค่ายทหารมีราคาที่ถูกกว่าร้านค้าภายนอก
ดังนั้นการที่เป็นพลสนับสนุนก็มิได้ย่ำแย่นักสำหรับคนที่ฐานะทางบ้านไม่ดีหลายๆคน
เงิน 20 เหรียญเงิน นั่นคือแทบจะมิได้ใช้เลย เป็นเงินเก็บได้อย่างจริงๆจังๆ
แล้วการทดสอบหลักในรอบ 3 เดือนก็เริ่มต้นขึ้น
ก่อนมาสมัครฝึกทหาร หลิวชุนได้ไปใช้เครื่องทดสอบพละกำลังทางร่างกายของสำนักยุทธ์หมัดทลายฟ้า
ปรากฏว่าในตอนนั้น หลิวชุน
มีพลังแขนอยู่ที่ 100 กีลา
มีพลังขาอยู่ที่ 200 กีลา
และสามารถยกน้ำหนักได้ที่ 250 กีลา
( 1 กีลา = 1 กิโลกรัม )
จากการฝึกทางร่างกายมา 3 เดือน หลิวชุนคิดว่าพลังกายของเขาต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
เกณฑ์เฉลี่ยของกองพลทหารที่กำหนดไว้ในการทดสอบหลักในรอบ 3 เดือนนี้ก็คือ
พลังแขน 80 กีลา
พลังขา 160 กีลา
ยกน้ำหนัก 200 กีลา
ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยทั่วไป ที่นักเรียนฝึกทหารทุกคนควรที่จะสามารถทำได้
เพราะเป็นการทดสอบหลักครั้งแรก เกณฑ์ค่าเฉลี่ยจึงไม่สูงนัก แต่เกณฑ์ค่าเฉลี่ยนี้จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆในการทดสอบหลักแต่ละครั้ง
ผลการทดสอบของหลิวชุน ออกมาว่า
พลังแขน 120 กีลา
พลังขา 240 กีลา
ยกน้ำหนักได้ 280 กีลา
ซึ่งหลิวชุนก็พอใจกับผลลัพย์นี้มาก จากการฝึกแค่ 3 เดือนร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นเป็นอย่างดี
ส่วนการทดสอบความทนทานต่อความเหนื่อยล้าของร่างกาย
ครูฝึกก็ให้พวกนักเรียนฝึกทหาร ทำการสวมน้ำหนักถ่วงจุดละ 1 กีลาไว้เหมือนเดิม แล้วทำการวิ่งรอบสนามฝึก 50 รอบ โดยครั้งนี้มีการกำหนดเวลาให้ต้องวิ่งให้ครบ 50 รอบก่อนเวลา 1 ยาม
( 1 ยาม = 1 ชั่วโมง )
และให้นักเรียนฝึกทหารแบกหินหนัก 100 กีลา ขึ้นเขาแล้วแบกลงมาภายในเวลา 4 ยาม
ผลปรากฏว่าในการทดสอบหลักครั้งแรกนี้ นักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ทั้ง 1,000 นาย ผ่านการทดสอบหลักรอบ 3 เดือนนี้ไปได้ทุกคน
ซึ่งก็เป็นเรื่องปรกติเพราะบรรดาครูฝึกยังมิต้องการให้มีนักเรียนฝึกทหารผู้ใดถูกปลดไปเป็นพลสนับสนุนเร็วเกินไป