หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
วันนี้ชุน 2 เมื่อได้พัก เขาจึงเดินทางไปยังร้านขายหินพลังปราณ เขาซื้อหินพลังปราณมาอีก 100 ก้อน ในราคาก้อนละ 40 เหรียญทองแดง อันเป็นราคาสวัสดิการของกองพลทหาร
ชุน 2 ตั้งใจจะทำการเดินเคล็ดวิชากลืนเมฆาเพื่อดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณขั้นต่ำ เพื่อพื้นฟูสภาพร่างกายจากการวิ่งอันแสนทรมานเมื่อวานนี้
ชุน 2 เดินเคล็ดดูดซับพลังปราณ อยู่ในห้องที่ 88 อย่างเงียบๆ ส่วนเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆก็พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เพราะทุกคนสภาพร่างกายก็ทรุดโทรมเป็นที่สุด
เวลาผ่านไปอีกครึ่งวัน ชุน 2 ก็ดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณขั้นต่ำหมดไป 2 ก้อน ร่างกายของเขาก็พื้นสภาพมาได้อย่างสมบูรณ์
หลี่มู่ และโม่ไป๋ ซึ่งเป็นนักยุทธ์ขั้นผสานกายาขั้นกลางทั้งคู่ ก็เข้ามาคุยกับหลิวชุน
"หลิวชุน ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณหรือ เจ้ารู้สึกอย่างไรที่มีร่างที่หายากแบบนี้" หลี่มู่กล่าวถาม
"ฮ่าๆๆ.. ข้าเกิดมาก็เป็นเช่นนี้ ข้าเลยมิได้รู้สึกอะไร" แล้วชุน 2 ก็เล่าเรื่องที่เขาและชุน 1 สลับกันใช้ร่างกันคนละวันให้ทั้ง 2 คนฟัง
"แล้วที่เจ้าสามารถดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณได้โดยตรง นี่แสดงว่าเจ้าเป็นนักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณแล้วใช่หรือไม่"
"เจ้านี่ช่างมีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ที่สูงส่งจริงๆ พวกข้าทั้ง 2 คนอยู่แค่ขั้นผสานกายาขั้นกลาง เลยยังมิสามารถดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณโดยตรงได้" โม่ไป๋กล่าวเสริม
"ข้าเพิ่งบรรลุเป็นขั้นผสานลมปราณขั้นต้น ระดับที่ 1 ข้ายังคงต้องฝึกอีกมาก" ชุน 2 โกหกออกไป เขาไม่อยากให้เพื่อนร่วมห้องรู้ว่าเขาอยู่ในขั้นผสานลมปราณขั้นกลาง ระดับที่ 5 แล้ว
"ถ้าจะเทียบเป็นยศทางทหารเขาก็เป็น นายกอง ได้แล้ว"
แล้วพวกเขาก็พากันคุยสัพเพเหระ กันอีกหลายคำ แล้วจึงแยกย้ายกันไป
ชุน 2 นั้นเขาออกไปฝึกยุทธ์ที่ลานฝึก ทั้งเพลงกระบี่ปลายนภา ท่าเท้าเหยียบสายลม เพลงหมัดทลายฟ้า เพลงเตะ 8 ทิศ และการใช้โล่เกราะปลายแขน
ซึ่งการใช้โล่เกราะปลายแขนนี้ หลิวชุนก็มิรู้ว่าควรจะเรียกว่าเป็นวิชายุทธ์เพลงโล่ได้หรือไม่ เพราะมันเป็นเพียงเคล็ดกลวิธีต่างๆในการใช้โล่เกราะปลายแขนป้องกันตัวเอง เพียงเท่านั้น
อนึ่งวิชายุทธ์ เเท้จริงแล้วเป็นเพียงกระบวนท่า หากจะให้แต่ละกระบวนท่าทรงพลังยิ่งขึ้น มีอานุภาพในการทำลายล้างมากยิ่งขั้น
นักยุทธ์ผู้นั้นก็ต้องเลื่อนระดับพลังปราณในร่างให้สูงยิ่งๆขึ้นไป
กระบวนท่าวิชายุทธ์เดียวกัน แต่ถูกใช้โดยนักยุทธ์ที่ต่างระดับกัน ก็ย่อมให้ผลลัพย์ที่ต่างกัน
ยกตัวอย่างเช่น วิชาเพลงกระบี่ปลายนภา กระบวนท่า 3 พิฆาต ที่หลิวชุนร่ำเรียนมาจากท่านอาจารย์จ้าว
เมื่อหลิวชุนที่อยู่ในขั้นผสานลมปราณขั้นกลาง ใช้กระบวนท่า 3 พิฆาต แล้วนำมาเปรียบเทียบกับท่านอาจารย์จ้าวที่อยู่ในขั้นปราณปฐพีขั้นกลาง เป็นผู้ใช้กระบวนท่าเดียวกันนี้
พลังอานุภาพการทำลายล้างของเพลงกระบี่ปลายนภา กระบวนท่า 3 พิฆาต ที่ท่านอาจารย์จ้าวเป็นผู้ใช้ ย่อมทรงอานุภาพกว่าหลิวชุนไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
แล้วยิ่งขั้นในการฝึกยุทธ์สูงขึ้นเท่าไร การเลื่อนระดับก็เลื่อนขึ้นได้ยากเท่านั้น และจะต้องใช้หินพลังปราณในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ยังดีที่กิจการบ่อนการพนันทั้ง 3 บ่อนสร้างกำไรให้หลิวชุนและตระกูลหลิวได้มากพอ จนมิเดือดร้อนอะไรในช่วงเวลานี้
เช้าตรู่วันต่อมา ชุน 1 และนักเรียนฝึกทหารรุ่นใหม่ทุกคน ก็ถูกครูฝึกปลุกขึ้นจากที่นอนอีกครั้ง
เมื่อทุกคนมารวมตัวจัดแถวกันที่สนามฝึกแล้ว ทางครูฝึกก็ทำการฝึกระเบียบแถวเป็นเวลา 1 ยาม
จากนั้นสั่งให้นักเรียนฝึกทหารใส่ที่ถ่วงน้ำหนักไว้ที่ข้อมือและข้อเท้าเหมือนเดิม แล้วให้วิ่งรอบสนามฝึกเป็นจำนวน 50 รอบให้เสร็จก่อนเวลากินข้าวเที่ยง
ซึ่งคราวนี้เหล่านักเรียนฝึกทหารสามารถทำได้ เพราะจำนวน 50 รอบนี้ ร่างกายของพวกเขามิได้รับภาระอันหนักหนาเกินไป เหมือนวันแรกที่ต้องวิ่งถึง 100 รอบ
หลังจากพักกินข้าวเที่ยงแล้ว การฝึกและถือว่าเป็นการลงโทษ จากการที่ไม่มีใครสามารถวิ่งได้ครบ 100 รอบไปในตัวก็เริ่มต้นขึ้น
"พวกเจ้าทุกคน จงเเบกหินทรงลูกเต๋านั้น ขึ้นไปบนยอดเขา แล้วแบกกลับลงมา หากใครวางหินลง หรือทำหินหล่นลงพื้น จะถูกลงโทษโดยมิให้กินข้าวเย็น"
"ครานี้ห้ามพวกเจ้าช่วยเหลือกันเป็นอันขาด การฝึกนี้ไม่กำหนดระยะเวลา หากเจ้าแบกหินขึ้นไปบนเขาและแบกหินลงมาช้า เจ้าก็ได้กินข้าวช้าไปด้วย"
อันที่จริงการลงโทษผู้ที่แบกหินไม่ผ่านด้วยการให้อดอาหารนี้ก็เป็นกลยุทธ์การฝึกของบรรดาครูฝึก เพราะในสนามรบ เสบียงอาหารอาจมีให้ไม่ครบทั้ง 3 มื้อ เป็นการฝึกให้เคยชินกับความหิวโหยในเบื้องต้น
หินทรงลูกเต๋าขอบมนนั้น มีน้ำหนักก้อนละ 100 กีลา ถึงหลิวชุน จะยกน้ำหนักได้ถึง 250 กีลา แต่ก็เป็นการยกขึ้นเหนือศีรษะ แล้ววางลง มิใช่เเบกเดินขึ้นเขาไปตลอดทางเช่นนี้
( 1 กีลา = 1 กิโลกรัม )
"เอาละ.. เริ่มแบกหินได้" ครูฝึกสั่งด้วยเสียงอันดัง
การแบกหินเดินขึ้นเขา แล้วแบกกลับมานี้ คนที่ตัวโตกว่าย่อมได้เปรียบ ส่วนหลิวชุน ตอนนี้เขาสูง 178 เซตา รูปร่างสมส่วนชายชาตรี มิได้สูงใหญ่เป็นพิเศษ แบบเฉินเป่า หรือหลี่มู่
( 1 เซตา = 1 เซนติเมตร )
"ชุน 1 เจ้าว่าครูฝึกพวกนี้ เป็นพวกเก็บกดหรือไม่ ถึงคิดวิธีฝึกแต่ละอย่างเหมือนจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง"
ชุน 1 เงียบ มิได้ตอบอะไรออกมา
ชุน 1 ยังคงตั้งหน้าตั้งตาเเบกหินขึ้นเขาอย่างตั้งอกตั้งใจต่อไป
ชุน 1 ทำได้สำเร็จ เขาแบกหินขึ้นไปถึงบนยอดเขาแล้วแบกกลับลงมาได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาไปนานมาก
ชุน 1 ในคืนนั้นกว่าจะได้กินข้าว ก็เป็นเวลายาม 23 แล้ว
( ยาม 23 = 23:00 น. หรือ 5 ทุ่ม )