หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
เมื่อทหารทั้ง 2 กองพัน และเรือรบอีก 5 ลำของกองพลทหารแห่งเมืองอันซุย ได้รับทราบคำสั่ง ที่จะให้เข้าโจมตีหุบเขาเถื่อนพร้อมกันทั้ง 4 ทิศ ในเวลาอีก 1 ยามข้างหน้าแล้ว
ชุน 1 ก็สั่งการให้เรือรบจำนวน 3 ลำ เข้าทำการไล่ล่า โจมตียึดเรือสินค้าติดปืนใหญ่ของพวกหุบเขาเถื่อนทั้ง 3 ลำ ที่คอยคุ้มกันหุบเขาเถื่อนด้านท่าเรือทิศเหนืออยู่
--จำไว้ให้ดี ข้าต้องการยึดเรือสินค้าทั้ง 3 ลำนั้น มิใช่จมเรือ-- ชุน 1 สั่งกำชับไปอีกที
--รับทราบขอรับ ท่านว่าที่นักกลยุทธ์-- ขุนศึกที่บังคับการเรือรบทั้ง 3 ลำ ตอบกลับมา
แล้วการไล่ล่าเพื่อยึดเรือสินค้าก็เริ่มต้นขึ้น
เรือรบ 2 ลำ จากปีกซ้ายและปีกขวาของเรือธงที่ชุน 1 ใช้เป็นศูนย์บัญชาการแห่งที่ 2 ก็เดินหน้าเต็มตัว เพื่อเข้าจู่โจมเรือสินค้า
เป็นการยุทธนาวีแบบ 1 ต่อ 1 คือเรือรบ 1 ลำ ต่อเรือสินค้า 1 ลำ ก็เริ่มต้นขึ้น
ส่วนเรือสินค้าอีก 1 ลำมิได้ขยับไปไหน ชุน 1 วิเคราะห์ว่า เรือสินค้าลำนั้น ต้องบรรทุกทรัพย์สินเงินทองของพวกหุบเขาเถื่อนเอาไว้เป็นแน่
เพราะระวางเรือจมลงไปในน้ำมากกว่าเรือสินค้าที่เหลืออีก 2 ลำมาก
หากกองพลทหารเเห่งเมืองอันซุย มาถึงยังหุบเขาเถื่อนแห่งนี้ช้าไปอีกสัก 2 ถึง 3 ยาม เรือที่บรรทุกทรัพย์สมบัติของพวกหุบเขาเถื่อน คงหนีหายไปได้แล้ว
ในด้านของปืนใหญ่พลังปราณประจำเรือนั้น ชุน 1 คาดว่าพลานุภาพและพิสัยระยะการยิงคงไม่ต่างกันมากนัก แต่ที่ทางเรือรบจะได้เปรียบเรือสินค้าก็คือความเร็ว
รูปทรงของเรือรบและเรือสินค้านั้นแตกต่างกัน เรือรบมีความเพรียวกว่าเรือสินค้า จึงทำให้แหวกคลื่นน้ำได้ดีกว่าเรือสินค้ามาก
ตลอดจนเครื่องกลไกในการขับเคลื่อนเรือรบก็มีประสิทธิภาพที่สูง อันเป็นเอกสิทธิ์พิเศษของกองทัพแห่งอาณาจักรต้าเหมิง ซึ่งเครื่องกลไกขับเคลื่อนเรือรบนี้ เป็นความลับและห้ามมิให้ผู้ใดลอกเลียนแบบ
เรือรบทั้ง 2 ลำ มุ่งหน้าเข้าหาเรือสินค้าติดปืนใหญ่ โดยที่เรือสินค้าเคลื่อนตัวเพื่อหันกราบข้างของเรือ เข้าหาเรือรบ
เพราะกราบข้างของเรือสินค้านั้น มีปืนใหญ่อยู่ข้างละ 3 กระบอก ที่พร้อมจะใช้ยิงเรือรบที่มุ่งหน้าเข้ามาหา
เรือรบและเรือสินค้า เมื่อเข้าสู่ระยะพิสัยการยิงแล้ว เรือรบจึงได้เปิดฉากยิงปืนใหญ่พลังปราณ จากหัวเรือทั้ง 2 กระบอก เข้าใส่เรือสินค้าก่อน
ลูกปืนใหญ่จากเรือรบทั้ง 2 นัดพลาดเป้า เนื่องจากเป็นการยิงชุดแรก และการยิงปืนใหญ่จากด้านหัวเรือขณะหัวเรือกำลังแหวกคลื่นน้ำนั้น ไร้ความเสถียรเป็นอย่างมาก
เพราะหัวเรือต้องแหวกคลื่นน้ำในทะเลสาป ที่มีคลื่นใหญ่บ้างเล็กบ้างทำให้ส่วนหัวเรือโยนตัวอยู่ตลอดเวลา ต่างกันกับการยิงปืนใหญ่จากกราบข้างลำเรือ ซึ่งถึงจะมีการโยนตัวของเรือ แต่ก็หวังผลการยิงได้แม่นยำกว่า
แล้วปืนใหญ่พลังปราณของเรือสินค้าทั้ง 3 กระบอก จากกราบเรือด้านขวา ก็ยิงโจมตีมายังเรือรบ
ผลก็คือเรือรบไม่ได้รับอันตรายใดๆ เนื่องจากเรือรบเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว และหันหัวเรือเข้าหาเรือสินค้า จึงเป็นเป้าที่เล็ก เล็งยิงได้ยาก
เรือรบและเรือสินค้าต่างพากันเคลื่อนตัวเพื่อหาตำแหน่งโจมตีที่ได้เปรียบที่สุด ในการยุทธนาวีนี้
โดยเรือสินค้าพยายามเคลื่อนตัวโฉบออกเพื่อรักษาระยะห่างกับเรือรบ แล้วใช้ปืนใหญ่ทั้ง 3 กระบอกจากกราบข้างของเรือ ยิงโจมตีเข้าใส่เรือรบ
ส่วนเรือรบก็พยายาม มุ่งหน้าเข้าหาเรือสินค้า โดยการเดินเรือแบบซิกแซก เพื่อหลบลูกกระสุนปืนใหญ่จากเรือสินค้า และทำการยิงปืนใหญ่จากหัวเรือทั้ง 2 กระบอกโจมตีเรือสินค้า
เรือทั้ง 4 ลำใช้ยุทธวิธีนี้อยู่สักช่วงเวลาหนึ่ง
เรือรบทั้ง 2 ลำ จึงเปลี่ยนแผนการจู่โจม เมื่อเคลื่อนเรือด้วยความเร็วเข้ามาในระยะหวังผลของปืนใหญ่พลังปราณแล้ว
เรือรบทั้ง 2 ลำ ทำการหันหัวเรือ เพื่อเอากราบข้างของเรือ ซึ่งมีปืนใหญ่อยู่ข้างละ 5 กระบอก เข้าประจันกับกราบข้างของเรือสินค้า โดยที่หันหัวเรือไปในทิศทางเดียวกัน
เรียกว่าเรือสินค้าไปทางไหน เรือรบก็วิ่งขนานตามไปด้วยไม่ยอมให้หนีหายไป
--ปืนใหญ่กราบข้างลำเรือ 2 กระบอก ให้เล็งยิงไปที่ท้ายเรือสินค้า ทำลายห้องกลไกขับเคลื่อนเรือ แต่อย่ายิงให้โดน คลังเก็บหินพลังปราณที่ใช้ขับเคลื่อนเรือ จนทำให้เกิดการระเบิด--
--ส่วนปืนใหญ่อีก 3 กระบอก ให้เล็งยิงไปยังปืนใหญ่พลังปราณของพวกมัน--
--จำเอาไว้ คำสั่งคือยึดเรือสินค้า มิใช่จมมันลง-- ขุนศึกผู้บังคับการเรือรบ สั่งการทหารบนเรือผ่านเครื่องกลไกสื่อสารประจำเรือ
คำสั่งเหมือนจะง่ายแต่ก็ปฏิบัติตามได้ยาก ถึงแม้ว่าทหารบนเรือรบจะฝึกยิงปืนใหญ่ในสถานการณ์จำลองแบบต่างๆมาเป็นประจำ
แต่กับการรบจริงนั้น แรงกดดันก็ต่างกันมาก เพราะเรือของศัตรูก็คอยยิงปืนใหญ่โจมตีเข้าใส่เรือรบอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
แล้วเมื่อเวลาผ่านไปอีกครึ่งยาม เรือสินค้าติดปืนใหญ่ก็สิ้นฤทธิ์
เครื่องกลไกขับเคลื่อนเรือสินค้าทั้ง 2 ลำและปืนใหญ่กราบเรือก็ถูกทำลายลง จึงกลายเป็นเป้านิ่ง ให้ทหารบนเรือรบ ทำการเข้ายึดเรือสินค้าได้โดยง่าย พร้อมทั้งจับเชลยที่ยังรอดตายไว้ได้หมดทั้ง 2 ลำ
ส่วนเรือสินค้าอีก 1 ลำที่เหลือ ยิ่งเข้าทำการยึดได้ง่ายกว่า 2 ลำแรกมาก เพราะน้ำหนักของเรือ ทำให้ไม่สามารถต่อกรกับเรือธงที่หลิวชุน ใช้เป็นศูนย์บัญชาการแห่งที่ 2 อยู่ได้เลย
ชุน 1 เมื่อได้รับการรายงานในการยึดเรือสินค้าทั้ง 3 ลำมาได้แล้ว ก็สั่งให้เรือรบทั้ง 2 ลำที่ทำการไล่ล่าเรือสินค้า
ทำการสลับตำแหน่งและหน้าที่ กับเรือเรือรบอีก 2 ลำ ที่ทำหน้าที่คอยคุ้มกันกองเรืออยู่ด้านท้ายขบวน
การรบครังนี้ เรือรบทุกลำต้องได้ยิงปืนใหญ่พลังปราณในสถานการณ์ การรบที่แท้จริง อันเป็นการฝึกไปด้วยในตัว
ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งยามแล้ว ที่กองพลทหารแห่งเมืองอันซุย จะทำการเข้าโจมตีจากทั้ง 4 ทิศพร้อมๆกัน
ชุน 1 จึงสั่งการให้ เรือธงและเรือรบอีก 2 ลำที่มาใหม่ เคลื่อนตัวเดินหน้าเข้าสู่ท่าเรือของหุบเขาเถื่อนทางด้านทิศเหนือในทันที
"ข้าจะได้รบแล้วใช่ไหม" ชุน 2 สื่อจิตถามชุน 1
"เจ้าจะได้รบก็ต่อเมื่อ พวกหุบเขาเถื่อนแตกพ่ายมายังท่าเรือ แต่หากท่านขุนพลอี้ กำจัดศัตรูทั้งหมดได้ก่อน เจ้าก็จะมิได้รบ" ชุน 1 ตอบกลับไป
"เฮ้อ.. แล้วศัตรูมันจะเหลือมาถึงท่าเรือเหรอ กำลังพลรบต่างกันซะขนาดนั้น"
"น่าเบื่อ.. น่าเบื่อ.. น่าเบื่อ.." ชุน 2 บ่นออกมาไม่หยุด