หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลังจากที่ชุน 2 ใช้เสือดาวทมิฬตัวโตเป็นคู่ซ้อมในด้านความเร็วเสร็จแล้ว เขาได้เดินทางกลับมายังบริเวณเพิงพักบนต้นไม้ของเขาพร้อมกับนายพราน
"ท่านลุงนายพรานเรื่องทักษะการใช้ชีวิตในป่าท่านก็สอนให้กับชุน 1 เถิด เพราะถึงอย่างไรข้าก็รับรู้อยู่ด้วย"
"ส่วนหากวันไหนที่ข้าเป็นผู้ใช้ร่าง ท่านก็ตามหาสัตว์ร้ายให้กับข้าเพื่อข้าจะได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ขอรับ "
"รับทราบขอรับนายน้อยหลิว" นายพรานกล่าวตอบ
"แล้วท่านว่าพวกเราจะเจอสัตว์ร้ายชนิดใดในป่าแห่งนี้บ้าง"
"ถ้าเป็นประเภทสัตว์ร้าย ป่าแถวนี้มีหมีศิลาสีเทา อยู่หลายตัวขอรับ ส่วนมากพวกมันชอบอยู่ในถ้ำบนภูเขา"
"ถ้าจะหาตัวพวกมัน เราควรย้ายจุดพักค้างแรมไปบริเวณริมเขาที่ติดกับแหล่งน้ำขอรับ"
"ดีเลย งั้นพรุ่งนี้ค่อยย้ายจุดพักค้างแรมไปยังริมเขา"
"ทำไมไม่ย้ายวันนี้" ชุน 1 สื่อจิตมาถึงชุน 2
"ก็ข้าขี้เกียจขนของ ให้เจ้าขนไปพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ฮ่าๆๆ.."
ชุน 1 อับจนปัญญาที่จะกล่าวสิ่งใดกับชุน 2 อีก
แล้วชุน 2 ก็ทำการเดินเคล็ดกลืนเมฆา เพื่อดูดซับพลังปราณในอณูของอากาศ
เนื่องจากหินพลังปราณที่พวกเขานำติดตัวมานั้นเหลืออยู่ไม่มากแล้ว
พวกเขาจึงใช้เคล็ดกลืนเมฆา เพื่อดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณในเวลากลางคืน และใช้เคล็ดกลืนเมฆาดูดซับพลังปราณจากอณูของอากาศในเวลากลางวัน
อัตราการดูดซับพลังปราณของพวกเขานั้นอยู่ที่ หินพลังปราณระดับต่ำ 2 ก้อนต่อคืน
หมายความว่า ใน 1 เดือนพวกเขาจะใช้หินพลังปราณระดับต่ำ 60 ก้อน
และยิ่งถ้าระดับพลังปราณในร่างของพวกเขาสูงขึ้น พวกเขาก็ต้องใช้หินพลังปราณในปริมาณที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ดังนั้นหินพลังปราณระดับต่ำ 100 ก้อนที่พวกเขาซื้อมาจากร้านค้าในราคา 50 เหรียญเงิน จึงถือว่ามิได้มากมายอันใด
แล้วพวกเขา ยังต้องแบ่งหินพลังปราณบางส่วนไปใช้กับหน้าไม้ เพื่อขับเคลื่อนกลไกพลังปราณ ในการขึ้นลำลูกศร
ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องกลไกต่างๆที่จำเป็น เช่นเครื่องกลไกสื่อสารระยะใกล้ เพื่อที่จะติดต่อกับทางเหมืองของตระกูลหลิวได้ตลอดเวลา
เย็นวันนั้นหลิวชุน ก็ได้ออกไปดักซุ่มยิงกวางป่ากับนายพราน เพื่อนำมาเป็นอาหาร โดยนายพรานสอนให้หลิวชุน ยิงลูกศรหน้าไม้ไปยังจุดตายของกวางป่า อันเป็นการเรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิตในป่าที่ชุน 1 ชื่นชอบ
เช้าวันต่อมา ซึ่งเป็นเช้าวันที่ 3 ที่หลิวชุนเข้ามาฝึกฝนในป่าแห่งนี้
ชุน 1 หลังจากฝึกวิชายุทธ์ครบเวลา 2 ยามแล้ว เขากับนายพรานก็พากัน เก็บข้าวของแล้วเดินทางไปยังจุดที่คาดว่าจะมีหมีศิลาสีเทาอาศัยอยู่ทันที
"นายน้อยหลิว ท่านสังเกตุกิ่งไม้ใบไม้ตรงฝั่งขวามือสิขอรับ"
"มีอะไรหรือขอรับ ลุงนายพราน" ชุน 1 กล่าวถาม
"ใบของต้นหญ้าลู่ไปยังทิศทางเดียวกันเฉพาะบริเวณเล็กๆนี้ ส่วนเลยไปอีกหน่อยก็มีต้นไม้เตี้ยๆที่กิ่งของมันลู่ไป แสดงว่ามีสัตว์ป่าเดินผ่านตรงนี้ไปขอรับ"
"แล้วลุงนายพรานบอกได้ไหมว่ามันเป็นสัตว์ป่าชนิดใด"
"ยังมิได้ขอรับต้องเห็นรอยเท้าหรือมูลของมันเสียก่อน จึงจะระบุชนิดได้ขอรับ"
"พื้นดินตรงนี้แข็งเกินไปแถมหญ้ายังขึ้นอย่างหนาแน่น ต้องตามรอยมันไปอีกสักระยะ จนถึงพื้นที่ๆดินอ่อนนุ่ม พอให้เรามองเห็นรอยเท้าขอรับ"
"เอาสิเราตามไปดูกันเถิด ข้าก็อยากเรียนรู้การเเกะรอยสัตว์ป่าจากท่านลุงนายพรานขอรับ"
ดังนั้นเขาทั้ง 2 คน 1 นายพรานและ 1 นักเรียนพรานฝึกหัด ก็พากันเเกะรอยสัตว์ป่าตัวนั้นไป
ระหว่างทางนายพรานก็สอนทักษะการดำรงค์ชีพในป่าอีกหลายอย่างให้กับชุน 1
ซึ่งชุน 1 ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก คอยซักถามนายพรานหลายต่อหลายคำถาม
จนกระทั่งพวกเขาพบมูลของสัตว์ชนิดหนึ่ง บนทางที่พวกเขาเกะรอยตามมา มันยังคงสดใหม่อยู่
นายพรานจึงบอกกับชุน 1 ว่า "มันคือมูลของแมวป่าขนแดง สัตว์ป่าชนิดนี้ขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็มีความว่องไวสูง"
"ที่ไม่พบเจอรอยเท้าของมันก็เพราะว่าสัตว์ป่าประเภทเเมวหรือเสือ ถ้าขนาดตัวไม่โตมาก จะหารอยเท้าของพวกมันเเทบไม่เจอ"
"เพราะพวกมันจะซ่อนกรงเล็บไว้ในอุ้งเท้าเวลาเดิน แล้วอุ้งเท้าของมันมีความอ่อนนุ่มมาก เดินบนดินปรกติแทบไม่ปรากฏรอยเท้าให้เห็นเลยขอรับ"
เมื่อรู้แล้วว่าเป็นสัตว์ชนิดใด ชุน 1 ก็มิได้ตามไปไล่ล่าไปสังหารมัน เพราะเขาต้องการศึกษาเรียนรู้ทักษะพรานเพียงเท่านั้น และเนื้อกวางป่าที่ล่ามาได้เมื่อวาน ก็ยังเหลืออยู่อีกมากโข
ช่วงบ่ายแก่ๆ เมื่อชุน 1 และนายพราน ก็มาถึงทำเลที่นายพรานสำรวจแล้วว่าเป็นทางผ่านที่หมีศิลาสีเทาจะต้องลงมากินน้ำ
ทั้ง 2 คน พรานแท้กับพรานฝึกหัด ก็พากันทำเพิงพักบนต้นไม้กันคนละเพิง ในบริเวณที่ไม่ไกลจากทางที่หมีสีเทาจะเดินผ่านมากนัก
โดยนายพรานได้ให้ตั้งเพิงบนต้นไม้อยู่ใต้ทิศทางลม เพื่อกันหมีศิลาสีเทาได้กลิ่น และรู้ตัวว่ามีผู้บุกรุกอาณาเขตของมัน
หลังจากนั้น ชุน 2 ก็ใช้ชีวิตอยู่บนเพิงพักบนต้นไม้ โดยมิได้ลงมาจากเพิงเลยตลอดคืนจนถึงเช้า เพื่อความปลอดภัยจากหมีศิลาสีเทา
ถึงเขาจะมีลูกศรหัวระเบิดพลังปราณอยู่อีก 2 ลูก แต่เขาก็อยากใช้ลูกศรหัวระเบิดนี้สังหารขั้นผสานลมปราณ มากกว่าเอามาสังหารหมีศิลาสีเทา
"เจ้าอ่อนชุน 1 เจ้าว่าหมีศิลาสีเทา มันจะเเข็งเเกร่งมากหรือไม่ ข้าอยากจะประลองกับมันใจจะขาดอยู่แล้ว"
"ลุงนายพรานก็บอกว่าพวกมันมีพลังกาย ที่พอๆกับนักยุทธ์ ขั้นผสานลมปราณ แต่จะขั้นผสานลมปราณเป็นขั้นต้น ขั้นกลาง หรือขั้นสูงก็แล้วแต่อายุของหมีศิลาสีเทาแต่ละตัว"
"เจ้าบ้าชุน 1 พรุ่งนี้ถ้าเจอหมีศิลาสีเทาก็ระวังตัวให้ดีละ ข้ามิอยากเจ็บตัวไปพร้อมกันกับเจ้า"
"เหอะ.. สบายมาก สู้ได้ก็สู้ สู้มิได้ก็หนี ข้ามิกลัวอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ.." ชุน 2 หัวเราะและคาดหวังอย่างอารมณ์ดี
แล้วชุน 1 ก็เดินเคล็ดกลืนเมฆา เพื่อดูดซับพลังปราณจากหินพลังปราณระดับต่ำไป 2 ก้อน
และนอนหลับไปบนเพิงพักพร้อมกับทักษะใหม่ๆ ในการยังชีพในป่าที่เรียนรู้มาวันนี้