หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
ท่านอาจารย์จ้าวชื่นชมภูมิทัศน์ของทะเลสาปมรกต จนเป็นที่อิ่มเอมใจแล้ว จึงชักชวนท่านพ่อบ้านฟางและชุน 1 กลับไปยังสถานที่เกิดเหตุสังหารโจรม้า
เมื่อกลับมาถึงยังสถานที่เกิดเหตุ ชุน 1 ก็พบเห็นเจ้าหน้าที่ทางการมากมายหลายคน กำลังสาระวนอยู่กับการสอบปากคำผู้พิทักษ์ทั้ง 2 และเก็บข้อมูลหลักฐานต่างๆ
ส่วนผู้บาดเจ็บทั้งผู้นำทางและคนขับรถม้า ตลอดจนหัวหน้าโจรม้า ถูกนำตัวไปยังตัวเมืองอันซุยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หัวหมู่มือปราบประจำเมืองอันซุย จึงขอให้ทั้ง 3 คน ไปให้ปากคำเพิ่มเติม ยังสำนักมือปราบประจำเมืองอันซุย
ท่านอาจารย์จ้าวกล่าวตกลง แม้ว่าจะเป็นเวลายามเย็นแล้ว ท่านอาจารย์จ้าวก็ให้ความร่วมมือกับทางการเป็นอย่างดี
เมื่อคณะชมเมือง ซึ่งบัดนี้ควรเรียกขานว่าคณะปราบโจรม้าทั้ง 5 คน เดินทางมาถึงยังสำนักมือปราบประจำเมืองอันซุยแล้ว ชุน 1 จึงมองสำรวจออกไปรอบๆ
สำนักมือปราบแห่งนี้เป็นอาคารสูง 4 ชั้น สถาปัตยกรรมรูปแบบทรงเจดีย์ อยู่ในอาณาบริเวณศูนย์รวมสำนักงานทางการของเมืองอันซุย
ศูนย์รวมสำนักงานทางการนี้ มีอาณาเขตอันกว้างขวาง ประกอบไปด้วยอาคารหลากหลาย ใหญ่บ้างเล็กบ้าง
อาคารที่ใหญ่และสูงที่สุด มีความสูงถึง 7 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารที่ว่าการของท่านเจ้าเมืองอันซุย
เมื่อเข้าไปยังห้องให้ปากคำ หัวหมู่มือปราบก็กล่าวออกเชิงประชดเล็กน้อยว่า
พวกท่านช่างขวัญกล้าเสียจริง ผ่านเหตุการณ์ดักปล้นและ เหตุการณ์สังหารต่อหน้า แล้วยังคงความสุนทรีย์ชื่นชมกับภูมิทัศน์ของทะเลสาปมรกตได้ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ท่านอาจารย์จ้าวมิได้กล่าวตอบใดๆ กระบวนการให้ปากคำก็ดำเนินไปตามขั้นตอนจนแล้วเสร็จ
เมื่อคณะปราบโจรม้าทั้ง 5 เดินออกมาจากสำนักมือปราบ
ณ.หน้าอาคารที่ว่าการประจำเมืองอันซุย ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
มีชายวัยกลางคนในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เดินออกมาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีก 2 คน ที่คอยเดินตามมาไม่ห่างนัก
เมื่อเขามองมายังคณะปราบโจรม้า เขานิ่งไปชั่วครู่จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างแรง ทั้งตะลึง ทั้งตกใจและดีใจ
แล้วเขาก็รีบเดินอย่างเร็วจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง ไปยังทางคณะปราบโจรม้า
เมื่อมาถึงยังคณะปราบโจร เขาหยุดยืนตัวตรง ป้องมือแล้วค้อมศีรษะทำการคารวะมายังท่านอาจารย์จ้าว แล้วกล่าวว่า
"ท่านใต้เท้ารองเสนาบดีจ้าว ข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับท่านในครานี้"
"ข้าน้อย สือคงอี้ ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าเมืองประจำเมืองอันซุยแห่งนี้ขอรับ"
ท่านอาจารย์จ้าวกล่าวตอบว่า
"อันตัวข้านั้นหาใช่รองเสนาบดีกรมตุลาการแล้ว บัดนี้ข้าเป็นเพียงสามัญชนคนธรรดา เอ่ยนามข้าเพียงชนทั่วไปเถิด"
ท่านเจ้าเมืองสือ รับทราบแล้วจึงกล่าวตอบว่า "ขอรับท่านอาจารย์จ้าว"
การที่ท่านเจ้าเมืองสือ เอ่ยเรียกขาน จ้าวฟูหยาง ว่าท่านอาจารย์จ้าวนั้น
หาใช่เพราะท่านเจ้าเมืองสือ เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการเหมือนกับหลิวชุนไม่
ท่านจ้าวฟูหยางนั้นเป็นอาจารย์ในการบรรยายตัวบทกฏหมาย การวินิจฉัยคดีความ ตลอดจนการสืบสวนสอบสวนคดีความต่างๆ
ให้กับขุนนางจากหลากหลายภาคส่วน ที่มาเข้ารับการอบรมกับทางราชสำนักต้าเหมิง มาเป็นเวลายาวนานแล้ว
จึงถือได้ว่าจ้าวฟูหยาง เป็นอาจารย์ผู้หนึ่ง ของผู้เข้ารับการอบรมไปโดยปริยาย
ท่านเจ้าเมืองสือ ได้ทำการเชื้อเชิญท่านอาจารย์จ้าวไปรับประทานอาหาร และพำนักที่จวนของท่านเจ้าเมือง แต่ท่านอาจารย์จ้าว ก็ปฏิเสธไปอย่างสุภาพ แล้วขอตัวกลับเรือแม่น้ำสวรรค์ในทันที
ท่านเจ้าเมืองสือ ยืนคารวะน้อมส่งท่านอาจารย์จ้าวอย่างนอบน้อม จนท่านอาจารย์จ้าวจากไปไกล
ชุน 1 เมื่อกลับมาถึงเรือก็เข้าไปกินข้าวมื้อเย็นหรือจะเรียกว่ามื้อค่ำก็ว่าได้ เพราะเวลานี้มืดสนิทแล้ว
ภายในห้องพัก ชุน 1 สื่อจิตถึงชุน 2 ว่า
"ชุน 2 เป็นเจ้าจะทำเช่นไรกับเหตุการณ์ตอนโจรม้าดักปล้น"
ชุน 2 ตอบว่า "ตอนเกิดเหตุข้าก็รับรู้ไปพร้อมกันกับเจ้า"
"ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ แต่ข้าก็เป็นเหมือนกันกับเจ้า ทำอะไรไม่ถูกพูดอะไรไม่ออก"
"นี่มันไม่เหมือนการวิวาทที่ผ่านมาของข้าเลยสักนิด ไม่เหมือนเลยสักนิด"
"นั่นมันเป็นการปลิดชีพคนจริงๆ แล้วยังตั้ง 8 ศพ แถมยังเป็นศพหัวขาดอีก 4 ศพด้วย ปรื้อ.. !!! สยอง"
ชุน 2 กล่าวออกไป
จากนั้นทั้งสอง ต่างคนต่างครุ่นคิดอยู่ในภวังค์ของตน จนเผลอหลับไป