หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
แล้วเช้าวันต่อมาก็มาถึง เช้านี้ชุน 2 สวมชุดฝึกยุทธ์ แล้วทำการฝึกด้วยตัวเองเป็นเวลา 4 ยาม ตามตารางของท่านอาจารย์จ้าว
จะว่าฝึกด้วยตัวเองเพียงลำพังก็หาได้ไม่ เพราะท่านอาจารย์จ้าว จะให้ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 คน คอยหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันมาเป็นคู่ฝึกให้แก่ชุน 2 เป็นประจำทุกวัน
ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 คนนี้ เป็นนักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณ ระดับที่ 7 อันเป็นขั้นผสานลมปราณขั้นสูง ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับยศตำแหน่งทางการทหาร ก็จะเทียบได้กับตำแหน่ง ขุนศึก
ผู้พิทักษ์แต่ละคน มีความถนัดในการใช้อาวุธและวรยุทธ์ที่แตกต่างกันไป ทั้ง 2 ชุน จึงได้มีคู่ฝึกวรยุทธ์ที่มีความหลากหลาย ทำให้ทั้ง 2 ชุน สามารถพัฒนาวรยุทธ์ของตัวเองได้มากขึ้น
ผู้พิทักษ์บางคนที่มีฝีมือด้านการยิงหน้าไม้และธนู ก็จะคอยมาสอนชุน 1 ในการใช้หน้าไม้เป็นการเฉพาะอีกด้วย
และที่สำคัญที่สุด ผู้พิทักษ์ทั้ง 4 คน อยู่ในขั้นผสานลมปราณ อันเป็นขั้นที่สามารถใช้พลังปราณโจมตีออกมาจากร่างกายได้ ทำให้ทั้ง 2 ชุน ได้ทำความคุ้นเคยกับการต่อสู้กับผู้ที่ใช้พลังปราณในการโจมตี
ซึ่งในขณะนี้ทั้ง 2 ชุน อยู่ในขั้นผสานกายา ระดับที่ 5 อันเป็นขั้นผสานกายาขั้นกลาง
ทั้ง 2 ชุน ใช้พลังปราณเข้าสร้างให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่ยังใช้พลังปราณโจมตีออกจากร่างกายไม่ได้นั่นเอง
ช่วงเช้านี้ท่านอาจารย์จ้าวทำการแข่งพนันกับนักเดินกลหมากรุก จนถึงเวลาเที่ยง แล้วจึงพาชุน 2 ออกไปกินข้าวยังภัตตาคารในเมืองอันซุย
การพาทั้ง 2 ชุน ไปชมเมืองและสัมพัสวิถีชีวิตตลอดจนเศรษฐกิจของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละอำเภอ ก็เป็นหนึ่งในการสอนสั่งของท่านอาจารย์จ้าว ที่มอบให้แก่ทั้ง 2 ชุน
ซึ่งทั้ง 2 ชุนก็ชอบมาก อันเป็นการเรียนรู้จากชีวิตจริงจากการเดินทาง สามารถเรียนรู้ได้มากกว่าการอ่านนั่งตำรานับ 10 นับ 100 เล่ม
เมื่อมาถึงยังภัตตาคาร ท่านอาจารย์จ้าวและผู้พิทักษ์อีก 2 คน รวมทั้งชุน 2 ก็นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะริมหน้าต่างบนชั้นที่ 2 ของภัตตาคาร
เมื่อทำการสั่งรายการอาหารที่ขึ้นชื่อของเมืองอันซุยแล้ว ท่านอาจารย์จ้าวก็เอ่ยกับชุน 2 ว่า
"ในตอนนี้ ข้ายังมิได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาดูดซับพลังปราณ และวรยุทธ์การต่อสู้ให้แก่เจ้า ข้ายังจะทำการทดสอบเจ้าอีกหนึ่งขั้นตอน"
"นั่นคือข้าจะให้เจ้าประลองกับศิษย์ของสำนักฝึกยุทธ์ ของเมืองอันซุยแห่งนี้ เพื่อวัดระดับความสามารถที่แท้จริงของเจ้า"
"ได้ขอรับท่านอาจารย์" ชุน 2 กล่าวตอบอาจารย์ของเขาด้วยความตื่นเต้น เขาชอบการประลองยุทธ์มาก หรือจะบอกว่าเขาชอบการวิวาทมากก็มิผิดอันใด
ในขณะที่พวกเขาทั้ง 4 กำลังรอคอยเสี่ยวเอ้อนำอาหารมาส่งให้นั้น
ก็มีชายวัยกลางคน ท่าท่างยิ่งใหญ่ เดินขึ้นมายังชั้น 2 ของภัตตาคาร เขามองไปทางโต๊ะที่ท่านอาจารย์จ้าวนั่งอยู่ แล้วกล่าวขึ้นว่า
"เสี่ยวเอ้อ ไปตามเถ้าแก่ร้านมาพบข้าเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการนั่งที่โต๊ะประจำของข้า"
เสี่ยวเอ้อรีบกุลีกุจอไปตามเถ้าแก่มาในบัดดล
"ท่านประมุขเย่ขอรับ เรามีหัองรับรองที่ชั้น 3 ว่างอยู่ ขอเชิญท่านประมุขเย่ เข้าไปใช้ห้องรับรองเถิดขอรับ ทางภัตตาคารจะไม่คิดค่าใช้จ่ายในการใช้ห้องรับรองเพิ่มเติมขอรับ" เถ้าแก่รีบระล่ำระลักกล่าวกับประมุขเย่ผู้นั้น
"ข้ามิต้องการห้องรับรอง ข้าต้องการนั่งที่โต๊ะประจำของข้า" ว่าแล้วประมุขเย่ก็ชี้นิ้วมายังโต๊ะที่ กลุ่มของท่านอาจารย์จ้าวนั่งอยู่
ชุน 2 ซึ่งมิเคยเกรงผู้ใดอยู่แล้ว จึงกล่าวกับประมุขเย่ผู้นั้นว่า
"ท่านลุง ท่านก็อายุมิใช่น้อยแล้ว ท่าทางการแต่งตัวก็ดูเป็นผู้มีการศึกษา เหตุไฉนท่านจึงไร้มารยาทเช่นนี้"
"โต๊ะในภัตตาคารนี้ก็ยังว่างอีกหลายโต๊ะ ท่านสามารถเลือกนั่งได้ตามสะดวก เหตุใดจึงเจาะจงเฉพาะโต๊ะนี้ด้วยขอรับ"
"นั่นมันโต๊ะประจำของข้า พวกเจ้าทั้ง 4 ไสหัวไปนั่งโต๊ะอื่นเสียเดี๋ยวนี้"
ได้ยินดังนั้นผู้พิทักษ์คนหนึ่งก็ลุกขึ้นกำลังจะเดินเข้าไปหาประมุขเย่ผู้นั้น
แต่ท่านอาจารย์จ้าวก็ส่งสายตาห้ามปรามเอาไว้ แล้วเอ่ยกับเถ้าแก่ของภัตตาคารว่า
"เถ้าเเก่ ช่วยพาพวกเราไปยังห้องรับรองบนชั้น 3 ด้วยเถิด โต๊ะนี้หากชายผู้นั้นต้องการก็ให้เขานั่งไป"
"ขอรับ ท่านลูกค้า" เถ้าแก่ตอบออกมาด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
"ฮ่าๆๆ..พวกเจ้าทั้ง 4 คงเห็นเป็นโอกาศที่ดีสินะ ที่จะได้ใช้ห้องรับรองโดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม"
ครานี้ชุน 2 ไม่ทนอีกต่อไปเขาพุ่งตัวเข้าใส่ประมุขเย่ผู้นั้นในทันที
ชุน 2 ปล่อยหมัดขวาเข้าจู่โจมประมุขเย่บริเวณหน้าอกด้วยความรวดเร็ว
ประมุขเย่ มิได้หลบไปไหน เขาใช้ฝ่ามือเข้ารับหมัดของชุน 2 แล้วใช้พลังปราณผลักชุน 2 จนกระเด็นออกไปชนเข้ากับโต๊ะข้างๆ
ชุน 2 แม้มิได้บาดเจ็บแต่ก็ยืนชวนเซอยู่อย่างไม่มั่นคงนัก
ขณะที่ชุน 2 กำลังจะเข้าจู่โจมอีกครั้ง ท่านอาจารย์จ้าวก็กล่าวขึ้นว่า
"ชุน 2 หยุดเดี๋ยวนี้" ทำให้ชุน 2 ต้องหยุดการกระทำของเขาด้วยความไม่พอใจ
"พวกเราไปที่ห้องรับรองกันเถิด" ท่านอาจารย์จ้าวกล่าวต่อ
แล้วพวกเขาทั้ง 4 ก็พากันตามเถ้าแก่ขึ้นไปยังห้องรับรองบนชั้นที่ 3
ตามหลังมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของประมุขเย่
เมื่อทั้ง 4 เข้ามาในห้องรับรองแล้ว เถ้าแก่ก็รีบกล่าวคำขอโทษ พร้อมทั้งเล่าว่า
ประมุขเย่ผู้นี้ เป็นประมุขของตระกูลเย่ ที่ทำกิจการคุ้มกันสินค้าอยู่ในเมืองอันซุย เป็นคนมากบารมีรู้จักคนใหญ่คนโตเยอะ และที่สำคัญเขายังเป็นนักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณขั้นต้น ทำให้ผู้คนทั่วไปเกรงกลัวเขามาก
ท่านอาจารย์จ้าวก็มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ขอให้เถ้าแก่ช่วยเร่งอาหารที่สั่งไปให้รีบนำมาส่ง
"ท่านอาจารย์ขอรับ ทำไมท่านไม่สั่งสอนประมุขเย่ผู้นั้นละขอรับ" ชุน 2 กล่าวถาม
"ที่ข้าต้องสั่งสอนควรจะเป็นเจ้าเสียมากกว่า ชุน 2"
"เจ้าจะใช้กำลัง ใช้อารมณ์ ใช้ความวู่วามในการตัดสินปัญหาทุกปัญหาที่เข้ามามิได้"
"เจ้าต้องมีความอดทน อดกลั้น แค่เราเดินจากมา ปัญหาก็จบลงแล้ว"
"แต่ว่า.." ชุน 2 กำลังจะค้าน
"ไม่ต้องแต่ คืนนี้เจ้าต้องวาดตำแหน่งกระดูกของแขนทั้งสองข้าง มาส่งให้ข้า เป็นการลงโทษที่เจ้าวู่วาม"
"โธ่.. ท่านอาจารย์ ข้าวาดแค่แขนข้างเดียวได้ไหมขอรับ" ชุน 2 ต่อรอง
"ไม่ได้ ต้องทั้ง 2 ข้าง"
แล้วชุน 2 ก็หน้ามุ่ยคอตกไป
"เหอๆๆ.. ไอ้บ้าชุน 2 เป็นไงละ ใจร้อนดีนัก ถ้าข้าเป็นท่านอาจารย์ ข้าจะให้เจ้าวาดกระดูกขาอีก 2 ข้างเพิ่มเข้าไปด้วย เหอๆๆ.."
"หนอย.. ไอ้อ่อนชุน 1 ได้ทีขี่เเพะไล่นะ ฮึ่ม..!!"
เมื่ออาหารมาถึงชุน 2 ก็ลืมเรื่องทะเลาะกันนี้ไปเสียสนิท
เนื่องจากรสชาติอาหารนั้นดีมาก ชุน 2 จึงกินอย่างมีความสุขลืมสิ้นทุกอย่าง