หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
หลิวชุน ผู้มีหนึ่งร่างสองดวงวิญญาณ ชุน 1 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักปราชญ์ ชุน 2 ผู้มีดวงวิญญาณแห่งความเป็นนักบู๊ พวกเขาทั้ง 2 ต่างร่วมกันสร้างตระกูลหลิวให้ยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะก้าวขึ้นเป็น เทพเซียน
อดีตรองเสนาบดี จ้าวฟูหยาง ผู้เบื่อหน่ายในเล่ห์กลการเมือง หลังจากถูกกดดันจากขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย
เขาจึงลาออกจากการเป็นขุนนางระดับสูงของอาณาจักรต้าเหมิง
เมื่อเขาไร้ซึ่งภาระ เขาจึงมุ่งมั่นที่จะทำตามความฝันในสมัยยังเป็นหนุ่ม นั่นคือท่องไปทั่วทั้งแดนดิน
เพื่อชื่นชมธรรมชาติและศึกษาหาสิ่งใหม่ๆ ที่เขายังไม่เคยพบไม่เคยเห็น
เขาได้ล่องเรือท่องเที่ยวอย่างอิสระ ไปยังสถานที่ต่างๆ ในราชอาณาจักรต้าเหมิง มาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว
จนกระทั่งวันนี้ เรือขนาดใหญ่ของจ้าวฟูหยาง อดีตรองเสนาบดี
มาจอดเทียบท่า ยังท่าเรือขนาดกลางแห่งหนึ่ง ท่าเรือแห่งนี้มีชื่อว่าท่าเรืออันจง
ซึ่งตระกูลหลิวของหลิวชุน ได้รับสัมปทานการบริหารจัดการ มาจากทางการของอำเภออันจง นั่นเอง
วันนี้เป็นวันของชุน 2 เขาตื่นขึ้นมา แล้วสวมชุดผู้ฝึกวรยุทธ์สีดำ จากนั้นจึงไปกินข้าวเช้าที่โรงครัว
วันนี้ชุน 2 ตั้งใจจะไปที่ท่าเรืออันจง เพื่อขนกระสอบแร่ทับทิม เขาจึงรีบกินข้าวเช้าแล้ววิ่งไปยังท่าเรือ ที่อยู่ติดกันกับรั้วบ้านของตระกูลหลิวในทันใด
เมื่อชุน 2 มาถึงท่าเรืออันจง ในยามเช้าตรู่นี้ ผู้คนก็ยังคงคึกคักมากมาย แต่มีสิ่งที่แตกต่างออกไปจากปรกติ นั่นคือ มีเรือขนาดใหญ่เข้าจอดเทียบท่า
เรือรุ่นนี้คือ
เรือรุ่นแม่น้ำ 48 ชึ่งถือว่าเป็นเรือขนาดใหญ่ มีประสิทธิภาพระดับสูงและราคาแพง
ชุน 2 มองเรือรุ่นแม่น้ำ 48 ด้วยความชื่นชมสักครู่ จากนั้นเขาจึงไปทำการ*แย่ง*กรรมกรท่าเรือ ขนกระสอบแร่ทับทิม
เขา*แย่ง*จริงๆ กรรมกรท่าเรือจะได้ค่าจ้างขนย้ายสินค้า ตามแต่น้ำหนักและจำนวนที่พวกเขาขนได้
ชุน 2 คนเดียว ขนของได้เท่ากับ กรรมกรท่าเรือผู้ใหญ่ถึง 2 คน เนื่องจากเขาเป็นนักยุทธ์ขั้นผสานกายา ระดับที่ 5
ค่าแรงของชุน 2 จึงเป็น 2 เท่าของกรรมกรท่าเรือเหล่านั้น
แต่ปรกติแล้วชุน 2 จะใช้เวลาเพียง 2 ยาม เท่านั้นในการขนสินค้า (1 ยาม = 1 ชั่วโมง ; 1 วัน = 24 ยาม)
การที่ชุน 2 มาแย่งกรรมกรท่าเรือขนย้ายสินค้านี้ ถึงจะเป็นช่วงระยะเวลาเพียง 2 ยาม ก็จะเป็นทั้งการหาเงินและฝึกฝนร่างกายไปในตัว
เมื่อชุน 2 ขนกระสอบแร่ทับทิมไปได้สักพัก คนบนเรือรุ่นแม่น้ำ 48 ก็ออกมาประกาศจากดาดฟ้าเรือว่า
"ท่านทั้งหลาย นายท่านของข้า ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของเรือลำนี้ นิยมชมชอบในการเดินกลหมากรุกเป็นอันมาก เมื่อได้มาถึงสถานที่นี้ จึงอยากจะขอชื่นชมฝีมือในการเดินกลหมากรุก ของบรรดาผู้มีความสามารถด้านเดินกลหมากรุกในอำเถออันจงนี้"
กล่าวจบ บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็ทำการแขวนป้ายขนาดใหญ่ไว้ที่ข้างลำเรือ
ป้ายนั้นเขียนข้อความว่า แข่งพนันการเดินกลหมากรุก ค่าสมัครเข้าแข่งขัน 20 เหรียญเงิน อัตราการแข่งพนันกระดานละ 20 เหรียญเงิน และคืนค่าสมัครให้หากนับกระดานแล้ว สามารถชนะเอาเจ้าของเรือลำนี้ได้มากกว่าแพ้
ข้อความนี้ทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นในบริเวณท่าเรือหลิวอันจง เป็นอันมาก
กรรมกรท่าเรือคนหนึ่งกล่าวกับสหายของเขาที่อยู่ข้างๆ ว่า "ค่าสมัครตั้ง 20 เหรียญเงินเชียว พวกเราขนสินค้าทั้งเดือน ยังได้เงินแค่ประมาณเดือนละ 8 - 9 เหรียญเงินเพียงเท่านั้น นี่มันเป็นค่าสมัครที่แพงมาก"
สหายของเขาจึงตอบว่า "น่าจะเป็นการคัดผู้จะเข้าแข่งพนันเดินกลหมากรุก เพราะหากไม่มีความสามารถมากพอ ก็คงมิมีผู้ใดเสียสติ ที่จะไปจ่ายค่าสมัครแพงมหาโหดขนาดนี้"
จากนั้นบ่าวรับใช้คนเดิมก็ประกาศออกมาอีกว่า "นายท่านของข้าจะพำนักอยู่อำเภออันจงนี้ เป็นเวลา 4 วัน การแข่งพนันเดินกลหมากรุก จะจัดเเข่งในช่วงเช้า เวลายาม 8 ถึงเวลายาม 12 หรือเพียงแค่ครึ่งวันช่วงเช้า"
"นักเดินกลหมากรุกท่านใดสนใจ เชิญขึ้นมาสมัครและเข้าแข่งพนันได้ บนเรือลำนี้"
ชุน 2 เมื่อได้รับรู้ดังนั้นก็ตาโต บังเกิดความโลภ จึงสื่อจิตถึงชุน 1ในร่างว่า ชุน 1
"เจ้าสนใจหรือไม่ ถ้าชนะเราจะมีเงินถึง 20 เหรียญเงินหรือมากกว่านั้น เราจะหาซื้อของกินของใช้ได้มากมาย"
ชุน 1 ตอบว่า "ข้านั้นย่อมสนใจในการพนันขันต่อทุกประเภทอยู่แล้ว แต่มีเวลาถึง 4 วัน ข้าไม่รีบ"
"ลองให้ท่านอาจารย์จางเข้าไปแข่งขันหยั่งเชิงก่อนจะเป็นการดี เราจะได้ไม่เสียค่าสมัครไปอย่างเสียเปล่า หากบุคลผู้อยู่บนเรือมีฝีมือเดินกลหมากรุกที่สูงส่งจริง"
ที่ชุน 1 กล่าวออกมาเช่นนี้ เพราะว่าเงิน 20 เหรียญเงิน ถือว่าเป็นเงินจำนวนมากสำหรับเขา เขาได้รับเบี้ยเลี้ยงจากตระกูลเพียง 3 เหรียญเงิน ในแต่ละเดือน
ถึงจะได้เพียง 3 เหรียญเงิน แต่หลิวชุนก็อยู่ได้อย่างไม่ขัดสน เพราะค่ากินค่าอยู่ ไม่ต้องเสียไปกินที่โรงครัวของตระกูลได้ ไปเรียนก็ห่อข้าวไปกินมื้อเที่ยงด้วย
ชุน 2 จึงพยักหน้าเบาๆ อย่างเห็นด้วย จากนั้นเขาจึงทำการขนสินค้าต่อไป
ข่าวการแข่งพนันหมากรุกนี้ กระจายไปทั้งอำเถอทำให้เกิดการเสาะหาตัวผู้มีฝีมือด้านเดินกลหมากรุก แล้วทำสัญญาลงขันกันเป็นค่าสมัครเข้าแข่ง
ชุน 2 นั้นไม่ได้อยู่ที่ท่าเรือนานนัก เมื่อครบช่วงเวลา 2 ยามแล้ว เขาก็ไปทำการเบิกค่าแรงตามจำนวนที่ขนได้ กับทางเจ้าของสินค้า แล้วออกจากท่าเรือ ตรงไปยังสำนักฝึกยุทธ์ในทันที
เมื่อมาถึงสำนักฝึกยุทธ์ ที่มีชื่อว่าสำนักหมัดทลายฟ้า ชุน 2 ก็เดินไปยังห้องโถงบรรยาย ในห้องโถงบรรยายนี้ ชุน 2 ก็ได้พบกับบรรดาสหายของเขา
ชุน 2 เป็นคนอารมณ์ดี พูดอะไรตรงๆ และออกจะติดนิสัยขี้เล่น เขาจึงมีสหายอยู่มากมาย
หลังจากที่ชุน 2 สนทนาพาทีกับเหล่าสหายของเขา เพื่อรออาจารย์ยุทธ์ออกมาบรรยายกระบวนยุทธ์อยู่สักครู่ อาจารย์ยุทธ์ผู้หนึ่งก็ขึ้นมาที่บนเวทีบรรยาย
เขากล่าวว่า "วันนี้ข้าจะทำการบรรยายวิชายุทธ์กระบวนท่าใหม่สำหรับพวกเจ้า ก่อนจะให้พวกเจ้าออกไปฝึกวิชายุทธ์กระบวนท่านี้ที่ลานฝึก"
ชุน 2 ดีใจมาก เพราะวันนี้เป็นวันใช้ร่างนี้ของเขาพอดี หากอาจารย์ยุทธ์ท่านนี้ บรรยายวิชายุทธ์กระบวนท่าใหม่นี้เมื่อวาน เขาคงไม่ได้รับฟังการบรรยายจากอาจารย์ยุทธ์โดยตรง
คงต้องไปสอบถามข้อความในการบรรยายเอาจากสหายของเขา เพราะเมื่อวาน ชุน 1 ใช้ร่างนี้ไปเรียนที่สถานศึกษาอาจารย์จาง
อาจารย์ยุทธ์ ท่านนี้จึงเริ่มการบรรยายว่า "สำนักฝึกยุทธ์หมัดทลายฟ้าของเรานั้น มีวิชายุทธ์เพลงหมัดทลายฟ้าเป็นสุดยอดวิชายุทธ์ของสำนักเรา เพลงหมัดชุดนี้ประกอบไปด้วยกระบวนท่าทั้งหมด 12 กระบวนท่า
ซึ่งที่พวกเจ้าจะได้ร่ำเรียนในวันนี้เป็นกระบวนท่าที่ 7 จากทั้ง 12 กระบวนท่าของวิชาเพลงหมัดวิชานี้"
"เอาล่ะ.. พวกเจ้าทั้งหลายที่มายังโถงนี้ คงจะเป็นนักยุทธ์ขั้นผสานกายา ระดับที่ 2 กันทุกคนแล้ว ส่วนใครที่ยังไม่ถึงระดับที่ 2 จะฟังเอาไว้ก็มิเป็นไร แต่ยังไม่ควรฝึกฝน เพราะระดับที่ต่ำกว่าระดับ 2 นั้น ร่างกายยังไม่ได้รับการขัดเกลาจากพลังปราณอย่างเพียงพอ ที่จะฝึกกระบวนท่าที่ 7 ของเพลงหมัดทลายฟ้านี้"
"หากเอาไปฝึกก็ได้แต่ท่าทาง ไม่ได้พลังโจมตีที่แท้จริง แถมยังอาจได้รับบาดเจ็บ หากพลังปราณตีกลับในร่างกายเจ้า"
อาจารย์ยุทธ์ กล่าวเตือนออกมา
จากนั้นอาจารย์ยุทธ์ ก็ทำการแสดงวิชายุทธ์กระบวนท่าหมัดสะท้านปฐพี ออกมาถึง 3 รอบ อย่างช้าๆ ให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้ดู
เหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายเฝ้ามองดูอย่างตั้งใจและจริงจัง
กระบวนท่านี้เรียบง่ายแต่ก็รุนแรง อาจารย์ยุทธ์วางเท้าซ้ายอยู่ข้างหน้า เท้าขวาอยู่ข้างหลังค้อมลำตัวลงเล็กน้อย ในลักษณะเตรียมกระโจน
จากนั้นเขาก็กระโจนขึ้นสูง พุ่งไปยังเหนือศรีษะของหุ่นฝึก ที่นำมาตั้งไว้ใช้ประกอบการบรรยาย เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อยกลางอากาศ จากนั้นกำหมัด แล้วง้างแขนออกไปด้านหลัง ในลักษณะเตรียมต่อยลงมาจากบนสู่ล่าง
เมื่อเขาอยู่ในตำแหน่งเหนือศีรษะของหุ่นฝึกแล้ว เขาก็ต่อยหมัดลงบนกลางศีรษะของหุ่นฝึกอย่างแรง การปล่อยหมัดจากบนลงล่างนี้ ทรงพลังมาก ทำให้ศีรษะของหุ่นฝึกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ต้องรู้ว่าหุ่นฝึกนั้นทำมาจากไม้นิล ซึ่งเป็นไม้เนื้อแกร่ง มีความทนทานกว่าร่างกายมนุษย์ทั่วไปถึง 5 เท่า แต่จากการโจมตีของอาจารย์ยุทธ์ท่านนี้ ศีรษะหุ่นฝึกถึงกับแตกออกมา
จากนั้นอาจารย์ยุทธ์ ก็เดินไปยังหุ่นฝึกตัวที่ 2 แล้วใช้กระบวนท่า หมัดสะท้านปฐพีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาโจมตีไปยังหัวไหล่ด้านช้ายของหุ่นฝึก
ผลก็คือหัวไหล่ซ้ายนั้นแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันทีเช่นเดียวกัน
เขาแสดงกระบวนท่านี้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 โดยโจมตีไปยังไหล่ขวาของหุ่นฝึก ผลก็ออกมาตามเดิม
นี่เป็นการสื่อถึงลูกศิษย์ว่า กระบวนท่านี้ใช้จู่โจม 3 จุด คือศีรษะและไหล่ทั้ง 2 ข้าง
เมื่อแสดงเสร็จแล้วเขาจึงบรรยายต่อว่า "การส่งพลังปราณไปยังกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ นั้นสำคัญมากสำหรับท่านี้ พวกเจ้าต้องส่งพลังปราณไปยังกล้ามเนื้อ ตามลำดับอย่างถูกต้องเคร่งครัด ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าจะบาดเจ็บเอาได้"
จากนั้นเขาก็สุ่มเรียกลูกศิษย์ขึ้นไปบนเวทีบรรยาย 1 คน เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในการชี้ตำแหน่งของกล้ามเนื้อ ที่ต้องส่งพลังปราณเข้าไปกระตุ้น ซึ่งกระบวนท่าหมัดสะท้านปฐพีนี้ มีกล้ามเนื้อที่ต้องกระตุ้นอยู่ 57 มัด
อาจารย์ยุทธ์ ชี้ตำแห่งกล้ามเนื้อมัดที่ต้องใช้พลังปราณกระตุ้น จากมัดที่ 1 ถึงมัดที่ 57 อยู่ถึง 10 รอบ
นั่นแสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับตำแหน่งและลำดับ ของกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการกระตุ้นเป็นอย่างมาก
ต้องรู้ไว้ว่า ร่างกายมนุษย์นั้น กล้ามเนื้อที่ใช้ในการเคลื่อนไหว มีถึง 792 มัด ดังนั้นจำนวน 57 มัดนี้ หาได้เป็นจำนวนที่มากอันใดไม่
จากนั้นเขาจึงให้ลูกศิษย์คนนั้น ใช้ร่างกายปรกติในการฝึกท่าหมัดสะท้านปฐพี อีก 5 รอบแล้วเขา
แล้วจึงให้ลูกศิษย์คนนั้นใช้กระบวนท่านี้โดยส่งพลังปราณเข้าไปสู่มัดกล้าม
ลูกศิษย์คนนั้นใช้กระบวนท่าหมัดสะท้านปฐพีของเขาโจมตีไปศีรษะยังหุ่นฝึก ผลก็คือหุ่นฝึกสะเทือนสั้นเล็กน้อย ไม่ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกับที่อาจารย์ยุทธ์โจมตี
อันนี้ลูกศิษย์ทุกคนย่อมทราบดีว่า ระดับฝึกยุทธ์ ของอาจารย์ท่านนี้นั้น เป็นนักยุทธ์ขั้นผสานลมปราณ ระดับที่ 1 ซึ่งอยู่เหนือกว่านักยุทธ์ขั้นผสานกายาระดับที่ 2 อย่างพวกเขามาก ผลที่ได้มันจึงแตกต่างกัน
อาจารย์ยุทธ์ท่านนี้ ได้เรียกลูกศิษย์ขึ้นมาสาธิต อีก 3 คน โดยทำขั้นตอนเหมือนกับศิษย์ที่ขึ้นมาสาธิตคนแรกทุกประการ
เรียกได้ว่าอาจารย์ยุทธ์ท่านนี้ทุ่มเทให้กับการสอน และเกรงว่าลูกศิษย์จะบาดเจ็บเป็นอย่างมาก