เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
"หมูป่า!!"
สามพี่น้องหันมองหน้ากันแล้วเผยยิ้มยินดีออกมา แบบนี้เท่ากับว่าพวกเขาจะมีเงินแล้ว
"พี่ใหญ่ หมูป่าตัวนี้เอาไปขายในเมืองเลยนะเจ้าคะ พวกเราจะได้มีเงินซื้อข้าวสารกัน"
"แล้วเจ้าไม่อยากกินมันหรือน้องเล็ก"
"ไม่เจ้าค่ะพี่รอง แค่ไก่ป่ากับกระต่ายก็เพียงพอแล้ว"
"งั้นเอาตามที่น้องเล็กบอกก็แล้วกันน้องรอง" หากนางต้องการเช่นนั้นเขาก็ไม่ขัด
"ขอรับ"
"ข้าว่าเรากลับบ้านกันเถอะพี่ใหญ่ พี่รอง ลู่เอ๋อร์ชักจะหิวเสียแล้ว อีกอย่างข้าอยากกินเนื้อตุ๋นกระต่าย”
อวี้เหิงเยว่แหงนหน้ามองท้องฟ้าก็พบว่าเข้าสู่ยามเว่ยแล้วจึงได้ชักชวนน้อง ๆ กลับบ้าน “ไปเถอะเข้ายามเว่ยแล้ว”
“พี่ใหญ่ พี่รอง พวกท่านอยากกินไก่ย่างสมุนไพรสูตรข้าหรือไม่?”
ได้ยินคำว่าไก่ย่างสมุนไพร ทั้งสองพลันกลืนน้ำลายลงคออย่างช่วยไม่ได้ แต่ก็ยังมีความสงสัยก่อนเอ่ยถาม
“ไก่ย่างเนื้อมันจะแห้งไม่ใช่หรือน้องเล็ก?”
“นั่นสิ พี่รองกับพี่ใหญ่เคยกินเมื่อนานมาแล้ว เนื้อมันทั้งแห้งและฝืดคอมากแทบกลืนไม่ลง ยิ่งรสชาติไม่ต้องพูดถึง จืดสนิท”
“แต่สูตรของข้า ทั้งนุ่ม หอมและก็อร่อยนะเจ้าคะ ไม่เหมือนของผู้ใด”
“จริงหรือ?” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
อะไรคือจริงหรือ? นี่คงจะไม่เชื่อสินะรอให้ได้กินก่อนเถอะ จากนั้นคงรบเร้าให้นางย่างให้กินอีก อวี้จื่อลู่จึงตอบออกไปด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเอง “แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวกลับถึงบ้านข้าจะย่างให้พวกท่านกินดีหรือไม่”
ทั้งคู่มองหน้าสบตากัน ก่อนพยักหน้าเป็นคำตอบว่าดี ทำเอานางยิ้มระรื่นชื่นหัวใจ ‘รอดูเถอะ ข้าจะทำให้สุดฝีมือเลย รสชาติก็ต้องมิมีผู้ใดเทียบเทียม’ แค่คิดว่ามีไก่ย่างเนื้อนุ่มละมุนลิ้น พร้อมรสชาติของเครื่องเทศที่แผ่กระจายไปทั่วทั้งปาก ทำเอานางน้ำลายแทบไหล ‘โอ้ย! อยากกินไก่ย่าง ไก่ย่างจ๋าจื่อเอ๋อร์คนนี้มาแล้ว’
“น้องเล็ก” อวี้เหิงเยว่
“น้องเล็ก” อวี้เฉิงรุ่ย
สองพี่น้องมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงดังลั่นเรียกนาง “อวี้จื่อลู่ / อวี้จื่อลู่”
ทำเอานางสะดุ้งยกใหญ่
“ห้ะ! ว่ายังไงเจ้าคะ”
“เช็ดน้ำลายเจ้าหน่อยเถอะ” พูดน้อยแบบนี้ไม่ต้องบอกว่าใครก็รับรู้ได้ จะใครเสียอีกล่ะก็พี่ชายคนโตของนางไง ตามด้วยอีกคนที่บ่นยาวราวกับแม่น้ำทั้งสายที่ไหลไปไม่มีที่สิ้นสุด
“คิดอะไรอยู่ ดูสิน้ำลายไหลแล้ว เช็ดเสียหน่อยหากมีผู้ใดมาเห็นเข้าคงตกใจหนีกันหมด แล้วต่อไปจะมีใครกล้ามาแต่งเจ้าออกเรือน”
“…” ทำเอานางใบ้กิน “ใครอยากออกเรือนกันเจ้าคะพี่รอง อย่างข้าถ้าไม่เจอคนที่ถูกใจ ไหนเลยที่ข้าจะมองให้เสียลูกกะตา” มั่นหน้าไปอีก ว่าแต่นางทำหน้าตาน่าเกลียดแบบนั้นออกไปด้วยหรือ? จึงส่งสายตาไปหาพี่ชายทั้งสองเป็นการยืนยันใช่หรือไม่
เหมือนทั้งสองจะเข้าใจสิ่งที่น้องสาวพวกเขาต้องการจะสื่อ จึงตอบกลับไปเป็นเสียงเดียวกัน “ใช่ / ใช่”
“พี่ใหญ่ พี่รอง” ทำเอานางร้องเสียงหลง อ๊ากกก! ไม่จริงใช่ไหม เมื่อมองหน้าพี่ชายอีกครั้งก็ได้แต่โอดครวญในใจ ‘คอยดูเถอะ หากย่างไก่เสร็จแล้วข้าจะไม่ให้พวกท่านกิน’
สามพี่น้องเดินพูดคุยหยอกล้อ ทำให้มีเสียงหัวเราะกันมาตลอดเส้นจนทางจวบจนถึงบ้าน เมื่อมาถึงอวี้เหิงเยว่และอวี้เฉิงรุ่ยก็ช่วยกันแบกหมูป่ามาวางไว้ที่ลานหน้าบ้าน ส่วนอวี้จื่อลู่นางก็นำไก่ป่ากับกระต่ายเข้าไปเก็บไว้ในครัว จากนั้นทั้งสามต่างก็แยกย้ายไปตรงลำธารเพื่อล้างเนื้อล้างตัว ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินและใบไม้ใบหญ้า เพียงไม่นานสามคนพี่น้องก็มารวมตัวตรงหน้าลานบ้านใกล้ ๆ กับหมู่ป่าขนาดกลางที่นอนไร้สิ้นลมหายใจ
“พี่ใหญ่ ท่านจะเอาหมูป่าตัวนี้ออกไปขายในเมืองได้ยังไงเจ้าคะ ในเมื่อเราไม่มีเกวียนเทียมหรือรถม้า” อวี้จื่อลู่ถามออกมาด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวพี่จะไปขอจ้างเกวียนเทียมของลุงหม่าที่หน้าหมู่บ้านเอา” อวี้เหิงเยว่เอ่ยตอบ
“แต่เราไม่มีเงินจ้างเขาไม่ใช่หรือพี่ใหญ่” อวี้เฉิงรุ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
นางได้ยินสิ่งที่พี่ชายคนรองพูดก็อดตอบกลับมิได้ “ทำไมเราจะไม่มีเงินจ้างล่ะเจ้าคะพี่รอง อย่าลืมสิพี่ใหญ่กำลังเอาสิ่งใดไปขาย เมื่อขายได้เท่านี้เราก็มีเงินจ่ายค่าเกวียนเทียมของลุงหม่าแล้ว”
ได้ฟังที่น้องสาวบอกก็เข้าใจได้ทันที “นั่นสินะ ทำไม่ข้าถึงคิดไม่ได้กัน”
“ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดมิได้ แต่เจ้ากลับไม่คิดเลยต่างหากเล่าน้องรอง”
เจอประโยคนี้ของพี่ใหญ่ไปทำเอาเขาสะอึกเลยทีเดียว “โถ่! พี่ใหญ่ข้าก็แค่คิดไม่ทันแค่นั้นเอง ใช่ไหมน้องเล็ก” พลางหันไปหาคนสนับสนุนคำพูดของตนอย่างน้องสาวคนเล็กทันที ทว่าเมื่อได้ฟังคำตอบจากนางทำเอาเขาถึงกับขาอ่อนแรงเข่าแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“ไม่รู้สิเจ้าคะ ข้ามิได้ฟัง” นางตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทั้งที่ในใจกลับลิงโลดและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่ได้แกล้งพี่ชาย 'อืม ข้าช่างชั่วร้ายจริง ๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า'
อวี้เหิงเยว่ได้แต่ส่ายหัวไปมาให้สองพี่น้อง แล้วพูดกับทั้งคู่ว่า “น้องรองเจ้าอยู่กับน้องเล็กที่บ้านก่อนนะ ข้าจะไปบ้านลุงหม่าเสียหน่อย”
“ขอรับ พี่ใหญ่ไว้ใจข้าได้เลย” อวี้เฉิงรุ่ยยืดอกตอบออกไปด้วยความหนักแน่นและมั่นใจ ‘ถึงพี่ใหญ่ไม่บอก ข้าก็จะทำแบบนั้นอยู่แล้ว มิใช่ว่าข้าจะแอบขี้เกียจเดินไปบ้านลุงหม่าหรอกนะ แต่เพราะไม่มีใครอยู่บ้านกับลู่เอ๋อร์เท่านั้นเอง เขาไม่อยากทิ้งให้น้องเล็กอยู่บ้านคนเดียวแค่นั้นเองนะ นี่ข้าคิดจริง ๆ ไม่เชื่ออารุ่ยคนนี้หรือ?’ หากนางรับรู้ความคิดของพี่ชายคนรองไม่รู้ว่าจะดีใจหรือไล่ให้ไปกับพี่ใหญ่กันแน่
ด้านอวี้เหิงเยว่หลังจากเดินหายเข้าไปในหมู่บ้านประมาณสองเค่อก็กลับมาพร้อมกับลุงหม่าและเกวียนเทียมของเขา เพียงชั่วน้ำชาเดือดสองคนหนึ่งเกวียนก็มาถึงยังหน้าบ้าน หม่าถงเหยียนมองไปตรงหน้าลานบ้านที่มีหมูป่าขนาดกลางนอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจ ก่อนถามออกไปด้วยความตื่นเต้น “อาเยว่นี่เจ้าล่าหมูป่าตัวนี้มาได้อย่างนั้นรึ?”
“ขอรับ”
“ยอดเยี่ยม ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่มีฝีมือในการล่าสัตว์ไม่น้อย” หม่าถงเหยียนเอ่ยชื่นชมเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความยินดีและดีใจไปกับทั้งสามพี่น้องอวี้ แววตามีแต่ความรักใคร่และเอ็นดูประดุจลูกหลาน อายุเพียงแค่สิบสี่หนาวถึงกับล่าหมูป่าได้ฝีมือมิอาจดูแคลน หากนำหมูป่าตัวนี้ไปขายแล้วอย่างน้อยสามคนพี่น้องก็พอมีเงินได้ซื้อข้าวของและอยู่ได้ไปอีกสักพักอย่างแน่นอน ในที่สุดสวรรค์ก็เมตตาแก่เด็ก ๆ เหล่านี้ “อาเยว่เจ้าขึ้นไปนั่งรอลุงบนเกวียนเลยแล้วกัน ประเดี๋ยวลุงไปแบกหมูขึ้นเกวียนให้”
“ขอบคุณขอรับลุงหม่า” เมื่อขอบคุณหม่าถงเหยียนเสร็จ จากนั้นก็หันไปสั่งความกับอวี้เฉิงรุ่ย “น้องรองอยู่บ้านกับน้องเล็กก็ช่วยดูบ้านกันดี ๆ ล่ะ แล้วห้ามเข้าป่าเป็นอันขาดหากพี่ไม่อยู่ด้วย”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ”
ฟังสามพี่น้องพูดคุยกันเสร็จ จากนั้นหม่าถงเหยียนเดินไปแบกหมูป่าที่มีขนาดกลางตรงหน้าลานบ้านด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงขึ้นเกวียน แล้วหันไปพูดกับเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู “เรื่องเงินค่าเกวียน พวกเจ้าไม่ต้องจ่ายให้ลุงหรอกนะ ถือเสียว่าลุงนั่งเกวียนไปเที่ยวในเมืองก็แล้วกัน”
“แต่ มันจะดีหรือเจ้าค่ะ” อวี้จื่อลู่พูดออกมาด้วยความลังเล
“เอาน่า พวกเจ้าก็ตัวแค่นี้กัน ลุงไม่เอาเงินหรอก” ก่อนโบกมือลาแล้วขับเกวียนออกไปทันที ปล่อยให้สองพี่น้องยืนมองพี่ใหญ่และลุงหม่าขับเกวียนจากไปจนลับสายตา แล้วหันไปพูดกับอวี้เฉิงรุ่ยผู้เป็นพี่ชายด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบายใจ
“พี่รอง ข้ารู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจเท่าไหร่นักที่ลุงหม่าไม่รับเงินค่าจ้างเกวียนเทียม”
เห็นสีหน้าน้องสาว พลางยื่นมือไปลูบหัวนางอย่างปลอบโยน “อย่าคิดมากเลยน้องเล็ก ลุงหม่าแกก็เป็นคนใจดีแบบนี้ล่ะ” เมื่อเห็นว่าลู่เอ๋อร์ยังมีสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก จึงพูดออกมาอีกครั้ง “หากเจ้าไม่สบายใจเช่นนั้น เจ้าก็นำกระต่ายสักตัวมอบให้ลุงหม่าเพื่อเป็นของตอบแทนก็ได้แล้วนี่ จะคิดมากไปไย”
“จริงด้วยพี่รอง ข้านี่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลยเรื่องแค่นี้ก็ยังคิดไม่ถึง ทั้งที่พวกเรายังมีไก่ป่ากับกระต่ายอยู่” เมื่อยกเรื่องหนักใจออกจากอกที่หนักอึ้งได้แล้ว รอยยิ้มจากเด็กน้อยก็ค่อย ๆ เผยออกมาด้วยความสดใสและเบิกบานใจ ทำเอาพี่ชายอย่างอวี้เฉิงรุ่ยอดไม่ได้ที่จะยิ้มตามนาง "พี่รอง เราไปทำไก่ย่างกันเถอะ"
อวี้เฉิงรุ่ยพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะมองไปยังไก่ทั้งสองที่โดนมัดขาอยู่ "จะทำไก่ทั้งสองตัวเลยหรือไม่? น้องเล็ก"
"ไม่เจ้าค่ะ ข้าว่าจะทำแค่ตัวเดียว อีกตัวลู่เอ๋อร์จะเลี้ยงไว้เพื่อให้มันออกไข่ พวกเราจะได้มีไข่กิน ส่วนกระต่ายก็เลี้ยงด้วยหนึ่งตัว อีกตัวก็มอบให้ลุงหม่าเป็นค่าเกวียน" พูดจบก็ยิ้มจนตาหยี
"เป็นความคิดที่ดี น้องเล็กว่าอย่างยังไง พี่รองก็ว่าตามนั้น"
"ดีเจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นลู่เอ๋อร์รบกวนพี่รองช่วยเชือดไก่ให้ข้าด้วยนะ เดี๋ยวข้าไปจัดการกับพวกสามตัวที่เหลือก่อน"
"ไว้ใจพี่รองคนนี้ได้เลย" อวี้เฉิงรุ่ยตบอกเบา ๆ คล้ายว่าไม่ต้องเป็นห่วงพี่ชายคนนี้จะจัดการให้เจ้าเอง
ก่อนจะเดินออกไป เหมือนนางจะนึกได้จึงพูดกำชับผู้เป็นพี่ชายอีกครั้ง "อ้อ อย่าลืมเก็บเลือดไก่ไว้ให้ข้าด้วยนะเจ้าคะ"
"ได้ ๆ" แม้ไม่รู้ว่านางจะเอาไปทำสิ่งใด แต่เขาพร้อมที่จะทำให้นางโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
จากนั้นอวี้จื่อลู่ก็นำไก่และกระต่ายอีกสองตัวไปเก็บซ่อนไว้ในโอ่งเก่า ๆ เพราะนางสังหรณ์ใจว่าจะมีมารร้ายมาแย่งทรัพยากรอันน้อยนิดไป ใช้เวลาจัดแจงไม่นานก็เดินกลับไปหาพี่ชาย พร้อมกับเครื่องเทศสมุนไพรที่เก็บมาได้ระหว่างทาง เมื่อไปถึงพบว่าพี่รองได้ทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมทั้งจุดไฟรอ นางจึงทำการหมักไก่และเสียบไม้เพื่อทำการย่างทันที สองพี่น้องนั่งย่างไก่ได้ประมาณหนึ่งเค่อ ไก่ตรงหน้าก็เริ่มส่งกลิ่นหอมลอยไปทั่วชวนให้ลิ้มลองนัก
"หอมมากเลยน้องเล็ก"
"แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ ฝีมือข้าเสียอย่าง" อวี้จื่อลู่พูดออกมาด้วยความภูมิใจ ก่อนพูดขึ้นมาอีกครั้ง "พี่รองข้าฝากย่างไก่ด้วย เดี๋ยวข้ามา" จากนั้นนางก็เดินหายไปทางหลังบ้านทันที ปล่อยให้อวี้เฉิงรุ่ยนั่งสุขใจกับการย่างไก่
ทางด้านอวี้เหิงเยว่
หลังจากที่ลุงหม่าพาเขาไปขายหมูป่าที่เหลาอาหารชื่อดัง ทำให้ได้เงินมาจำนวนสามสิบตำลึงเงินกับอีกห้าสิบห้าอีแปะ เมื่อรับเงินมาถึงกับมือไม้สั่นกับจำนวนเงินที่ได้รับ มันช่างมากมายจนไม่เคยคิดฝันว่าจะมีวันนี้ อวี้เหิงเยว่ไม่รอช้ารีบเก็บเงินไว้อย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ชวนลุงหม่าแวะกินบะหมี่คนละชามเพราะทั้งสองยังไม่มีใครได้กินข้าว หลังจากที่เขาจัดการกับบะหมี่ตรงหน้าเรียบร้อยแล้วก็เดินไปซื้อหมั่นโถวฝากน้อง ๆ คนละสองลูกและถังหูลู่อีกคนละสามไม้ พร้อมทั้งซื้อของที่น้องสาวได้บอกมาอย่างไม่ขาดตก ใช้เวลาไปหนึ่งชั่วยามกว่าจะซื้อทุกอย่างได้ครบทำเอาอวี้เหิงเยว่แทบหมดแรง
"เรากลับกันเถอะขอรับลุงหม่า" พูดจบก็ขึ้นไปนั่งบนเกวียนอย่างคนหมดแรง
"อืม" หม่าถงเหยียนตอบรับพลางชำเลืองมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาขบขันปนเอ็นดู จึงถามออกไปด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ"แค่นี้ถึงกับหมดแรงเลยรึ? อาเยว่"
"โถ่! ลุงหม่าหากให้ข้ามาซื้อแบบนี้ ข้ายอมเข้าป่าไปล่าสัตว์ยังดีกว่าอีกขอรับ" ได้ยินคำตอบของเด็กตรงหน้าทำเอาเขาหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะขึ้นไปนั่งบนเกวียนแล้วขับออกไป
ย้อนกลับมาที่อวี้เฉิงรุ่ย
ที่กำลังนั่งย่างไก่อย่างสบายอารมณ์ ทว่าความสุขนั้นเป็นอันต้องหมดลง เมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นตรงหน้าเขา
"แหม่!! มีเนื้อให้กินทั้งทีไม่คิดจะนำไปแบ่งให้ข้าบ้างเช่นนั้นรึ? ช่างเป็นเด็กที่เนรคุณเสียจริง"