เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
เพียงแค่เงินสามสี่ร้อยบาท ทำให้เธอต้องถึงแก่ความตาย แต่ทำไม๊ ทำไม ต้องมาอยู่ในร่างของเด็กไม่มีหัวคิดแบบนี้ “มีอย่างที่ไหนหนีหมีขึ้นต้นไม้ ใครสั่งใครสอนกัน”
เหมือนอวี้เฉิงรุ่ยจะนึกบางสิ่งได้จึงตะโกนออกมาเสียงดัง "แย่แล้วพี่ใหญ่ ท่านลืมน้ำแกงไก่ของน้องเล็กไว้บนเตาใช่หรือไม่"
"แย่แล้ว หม้อต้มยาของนางด้วย" นึกขึ้นได้ก็รีบวิ่งออกไป โดยลืมเรื่องฝาปิดหม้อ
ตกเย็นวันนั้นกว่าอวี้จื่อลู่จะได้กินข้าวและดื่มยาก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามซวี เพราะเหล่าพี่ชายทั้งสองต่างดีใจที่น้องสาวคนสำคัญของพวกเขาฟื้นแล้ว จึงวิ่งวุ่นหลายชั่วยามเพื่อทำอาหารที่ดีที่สุดให้นางกิน ถึงแม้ว่าอาหารมื้อนั้นจะเป็นน้ำแกงไก่ก็นับว่าเป็นอาหารรสเลิศที่สุดแล้ว การได้กินเนื้อสักครั้งในแต่ละมื้อนับว่าน้อยมาก หากมิใช่พรานล่าสัตว์
เมื่อรับรู้ความพยายามและความตั้งใจของอวี้เหิงเยว่กับอวี้เฉิงรุ่ยผู้เป็นพี่ชาย นัยน์ตาคู่สวยฉายแววสั่นระริกทำเอานางน้ำตาคลอเบ้า การมีครอบครัวคอยห่วงไยมันดีแบบนี้เองสินะ 'อบอุ่นใจจัง ภาพตรงหน้าราวกับอยู่ในห้วงฝัน ถ้าหากมันเป็นความฝันนางก็ไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาเลย'
ยามเฉินของวันต่อมา
อวี้เหิงเยว่ขลุกตัวอยู่ในครัวตั้งแต่ปลายยามเหม่า จนล่วงเลยเข้ายามเฉิน กลิ่นน้ำแกงไก่ก็ลอยคลุ้งอบอวลไปทั่ว ทำเอาอวี้เฉิงรุ่ยที่กำลังเดินผ่านถึงกับชะงักเท้าแล้วเดินถอยหลังกลับมามอง ก่อนโผล่หน้าเข้าไป "พี่ใหญ่ หอมจังเลย หอมกว่าเมื่อวานอีก" เสียงร้องทักของเขาทำเอาคนด้านในที่กำลังตั้งอกตั้งใจอยู่ถึงกับสะดุ้ง
อวี้เหิงเยว่เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็อดไม่ได้ที่จะสวนกลับและแกล้ง "โถ่!! น้องรองทำเอาตกใจหมด มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง หากว่าข้าเกิดมือเท้ากระตุกเขวี้ยงหม้อเขวี้ยงชามใส่ เจ้าจะบาดเจ็บเสียเปล่า ข้ายิ่งเป็นคนขวัญอ่อน"
ได้ยินคำว่าขวัญอ่อนจากคนเป็นพี่ชาย ชวนให้คิ้วดกดำกระตุกยิก ๆ หากคนตรงหน้าเป็นคนขวัญอ่อนแล้วตัวเขาล่ะเรียกว่าอะไร "พี่ใหญ่ไม่น่าถาม ก็ต้องหลบสิ จะรอให้หม้อจานชามมาประดับบนใบหน้าก็กะไรอยู่ อีกอย่างข้าเห็นท่านกำลังตั้งอกตั้งใจทำน้ำแกงอยู่ เลยลองเรียกแค่นั้นเอง"
"ช่างเถอะ ๆ เจ้าไปดูหน่อยว่าน้องเล็กตื่นหรือยัง จะได้ปลุกนางมากินข้าว” ก่อนจะโบกมือไล่ 'เฮ้อ...คุยกับเจ้ารองทีไรให้ความรู้สึกเหมือนตนเองกำลังแก่ลงไปหลายปีทั้งที่ตัวเขาอายุเพียงแค่สิบสี่ปี'
“ก็ได้ ๆ เพราะข้าเองก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
"..." อะไรคือการสะบัดหน้าใส่แล้วค่อยเดินไป อวี้เหิงเยว่ทำได้แค่ส่ายหัวไปมา แต่มุมปากกลับยกยิ้มอย่างชอบใจที่ได้แกล้ง เพราะนี่คือความสุขเล็ก ๆ ของพวกเขาสามคนพี่น้อง
ยามซื่อ
หลังจากสามพี่น้องกินข้าวเสร็จเรียบร้อย ต่างก็ยกตะกร้าที่สานจากไม้ไผ่สะพายขึ้นหลัง โดยเฉพาะอวี้เหิงเยว่ที่หยิบเอาหน้าไม้ติดตัวไปด้วย คราวนี้เขาหวังว่าจะล่าสัตว์ติดมือกลับบ้านหากโชคดี พร้อมเชือกและมีดแล้วทั้งสามมุ่งหน้าเดินเข้าป่าด้วยความแข็งขัน
“วันนี้จะล่าตัวอะไรดีเจ้าคะพี่ใหญ่” เมื่อพี่ใหญ่หยิบหน้าไม้มาถือ ก็ถามออกไปด้วยความตื่นเต้น
“น้องเล็กอยากได้ตัวอะไรล่ะ ถ้าไม่เกินกว่าแรงพี่ใหญ่ก็พอหาล่าได้อยู่”
“นั่นสิ น้องเล็กอยากกินตัวอะไร”
“งั้น ลู่เอ๋อร์ว่าเราล่ากระต่ายกับไก่ป่ากันเถอะ เผื่อว่าวันนี้จะโชคดี”
“ได้สิ/ได้เลย” บุรุษตรงหน้าสองคนรีบเอ่ยออกมาพร้อมกัน ก่อนมุ่งหน้าเดินเข้าป่าใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็มาอยู่บริเวณขอบป่าชั้นกลาง อวี้จื่อลู่หันมองไปรอบพลางก็คิด 'ทำไมรอบ ๆ แถวนี้ถึงได้คุ้น ๆ นักนะ' ก่อนจะเพ่งมองดี ๆ กลับพบว่า 'แถวนี้นี่มันไม่ใช่ว่าเป็นตอนที่นางฟื้นขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?' ดูเหมือนว่านางจะนึกบางสิ่งออก “เอ๊ะ!! ลืมได้ยังไงกันครั้งก่อนได้ทำกับดักทิ้งไว้นี่นา” ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายทั้งสองแล้วพูดออกมาเสียงดัง “พี่ใหญ่ พี่รอง ตามมาเร็วเข้า” ไม่รอช้าอวี้จื่อลู่กึ่งลากกึ่งจูงมือพี่ชายสองคนให้เดินตามนางมายังอีกที่หนึ่ง
อวี้เหิงเยว่เห็นท่าทางรีบร้อนของนาง ก็เกิดความกังวลใจหรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางถึงได้รีบร้อนเช่นนี้ “ใจเย็นน้องเล็ก เหตุใดเจ้าถึงต้องรีบเช่นนี้” จึงถามออกไปด้วยความไม่สบายใจ
อวี้เฉิงรุ่ยเองก็สงสัยไม่แพ้กัน “นั่นสิน้องเล็ก เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงรีบลากพวกพี่ออกมา แล้วเราจะไปที่ใดกัน”
“จะไม่ให้รีบได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ก็ลู่เอ๋อร์เพิ่งนึกออก ว่าได้ทำกับดักทิ้งไว้เมื่อสองวันก่อน ก่อนที่จะออกจากป่า”
ทั้งสองได้ยินสิ่งที่นางพูดก็พร้อมใจกันมองหน้าโดยมิได้นัดหมาย ในขณะที่อวี้จื่อลู่กำลังจับมือจูงพี่ชายทั้งสองกึ่งเดินกึ่งวิ่งอยู่ สายตาก็สอดส่องตลอดทาง บรรยากาศรอบ ๆ ป่านี้มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ อากาศก็บริสุทธิ์ ช่างเป็นป่าที่หาพบได้ยากจากโลกเก่า เดินได้สักพักสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับขอนไม้ผุ ‘นี่มัน! เห็ดหอมนี่นา อ่าจ๊ากกก ไม่อดแล้ว แบบนี้ต้องเก็บให้หมด’ “พี่ใหญ่ พี่รอง ทางนี้เร็วเข้า ข้าเจอเห็ด”
“ไหนน้องเล็ก” อวี้เฉิงรุ่ยมาถึงก้มมองดูเห็ดมีลักษณะกลม ๆ เล็ก ๆ ก่อนเงยหน้ามองเด็กสาว “มันจะกินได้จริง ๆ หรือ”
“กินได้สิเจ้าคะ เอามาทำอาหารอร่อยมาก ๆ เลยล่ะ” พอนางบอกว่ากินได้ ทั้งสามก็ก้มลงช่วยเก็บเห็ด หากพูดตามจริงเจ้าเห็ดพวกนี้ทั้งสองเคยเห็นมาก่อนเมื่อยามเข้าป่าหาของขาย แค่ไม่คาดคิดว่ามันจะกินได้
“น้องเล็ก”
“เจ้าคะ พี่ใหญ่”
“กับดักที่น้องเล็กทำไว้อยู่ตรงที่ใด ประเดี๋ยวพี่จะไปดูให้ ส่วนน้องเล็กก็เก็บเห็ดอยู่แถวนี้กับน้องรองไปก่อน”
หากคิดตามที่อีกคนพูดมันก็ดีอยู่ อย่างน้อยก็ไม่เสียเวลาเยอะ “ก็ได้เจ้าค่ะพี่ใหญ่ แต่อย่าลืมทำกับดักไว้ให้เป็นเหมือนเดิมนะเจ้าคะ เรายังใช้กับดักพวกนั้นหาเงินได้อยู่ตราบใดที่มันยังคงใช้ได้” จากนั้นอวี้จื่อลู่ก็อธิบายการทำกับดักสัตว์ในแบบของนาง และจากนั้นก็บอกอวี้เหิงเยว่ผู้เป็นพี่ชายว่ากับดักอยู่ตรงที่ใดบ้าง
“อืม ทั้งหมดมีห้าจุด” เขาตอบรับแล้วเดินออกไป อวี้เหิงเยว่เข้าใจดีว่าทำไมน้องสาวของเขาถึงได้บอกแบบนั้น แต่วิธีการวางกับดักของนางนั้นช่างแปลกประหลาด เขาไม่เจอใครวางกับดักสัตว์แบบนี้รวมถึงคนในหมู่บ้าน เมื่อยามที่เคยไปล่าสัตว์ด้วยกัน ก่อนพึมพำออกมาคนเดียวระหว่างเดินไปตามตำแหน่งที่นางบอก 'ไปถึงเดี๋ยวก็คงรู้เอง' เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหน้าก็ต้องหยุดชะงักเท้า เป็นไปได้ยังไงกันกับดักของน้องสาวเขาได้ผลด้วย ทั้งยังมีไก่ป่าติดอยู่ด้วยหนึ่งตัว ที่น่าแปลกกว่านั้นคือไก่ยังไม่ตาย ได้ผลจริงด้วยไม่รอช้ารีบเข้าไปจัดการไก่แล้วเดินไปดูกับดักจุดต่าง ๆ ปรากฏว่าได้ไก่ป่ามาสองตัว กระต่ายสองตัวและหมูป่าขนาดกลางหนึ่งตัว กระต่ายกับไก่เขาใช้เชือกมัดไว้แล้วจับใส่ลงตระกร้าไม้ไผ่ที่ยังเป็น ๆ อยู่ ส่วนหมูป่าตัวนั้นที่นอนเลือดไหลอยู่ในหลุมก็ยังไม่ตาย คาดว่าน่าจะเพิ่งตกลงมาได้ไม่นาน แม้จะโดนไม้แหลมแทงขาก็ตาม
อวี้เหิงเยว่คิดว่าหากจับทั้งเป็น ๆ มาคงลำบากไม่น้อย จึงตัดสินใจใช้หน้าไม้ยิงเข้าไปที่จุดตาย จากนั้นใช้เชือกมัดแล้วหาไม้มาสอดไว้เพื่อสะดวกแก่การหามกลับ "คงต้องไปเรียกน้องรองมาช่วยเสียแล้ว"
ด้านสองพี่น้อง
ในขณะที่เก็บเห็ดอยู่นั้น อวี้จื่อลู่มองภาพตรงหน้า “พี่รอง พวกเรารอดแล้ว พวกเรารอดแล้ว” นางกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ ปากก็พร่ำพูดว่าพวกเรารอดแล้วซ้ำไปซ้ำมา ก็จะไม่ให้นางดีใจได้อย่างไร ในเมื่อนางเจอขุมทรัพย์นับจากนี้พวกเขาทั้งสามจะได้ไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว ดูสิของตรงหน้ามีทั้ง ต้นหอมป่า ต้นกระเทียมป่า มะนาว พริก มะเขือเทศ ขึ้นช่าย ไหนจะ องุ่น แอปเปิ้ล อวี้จื่อลู่มองของเหล่านั้นด้วยสายตาเป็นประกายระยิบระยับ 'แม่เจ้า ไม่อดตายแล้ว หากเจอต้นมะละกอด้วยก็คงดีจะได้ตำส้มตำกิน' นางคิดอย่างเสียดาย 'ไม่เป็นไรคราวหน้าค่อยเข้าไปให้ลึกกว่านี้ดู'
"พี่รอง ช่วยข้าขุดต้นอ่อนพวกนี้หน่อย"
อวี้เฉิงรุ่ยคิดเมื่อสงสัยก็ต้องถามสินะ "เจ้าจะเอาหญ้ากับต้นไม้ป่าพวกนี้ไปทำอะไรน้องเล็ก" เขามองน้องสาวเก็บของพวกนั้นใส่ตะกร้าอย่างไม่เข้าใจ
"ของพวกนี้ข้าจะเอาไปทำอาหารเจ้าค่ะพี่รอง พวกนี้ล้วนใช้เป็นเครื่องเทศในการปรุงให้อาหารมีรสชาติอร่อยขึ้น"
"..."
"เดี๋ยวข้าไปเก็บองุ่นกับแอปเปิ้ลก่อนนะเจ้าคะ ที่เหลือรบกวนฝากพี่รองจัดการให้ด้วย หากเสร็จแล้วข้าจะมาช่วยขุด"
"เจ้าไปเถอะประเดี๋ยวพี่จัดการขุดและเก็บให้"
เพียงสองเค่อทุกอย่างก็เป็นอันเสร็จสิ้น อวี้จื่อลู่และอวี้เฉิงรุ่ยต่างเดินไปนั่งพักใต้ต้นไม้ใหญ่ระหว่างรอให้พี่ใหญ่กลับมา ก่อนยื่นกระบอกน้ำไปให้น้องสาวตน "น้องเล็กดื่มน้ำก่อน ดูตัวเจ้าสิเปื้อนดินไปหมดแล้วพี่บอกแล้วก็ไม่ยอมฟัง" พลางใช้มือหนาปัดเศษดินออกจากชุดนาง
"โถ่! พี่รองก็ข้าอยากช่วยนี่เจ้าคะ จะได้เสร็จเร็วยิ่งขึ้นหากมีคนช่วยขึ้นมาอีกหนึ่ง"
"..." มันก็จริงอย่างที่นางพูด แต่เขาไม่อยากให้น้องสาวตัวน้อยต้องเหนื่อย จึงทำได้แค่ถอนหายใจ ทว่าไม่ทันได้พูดต่อก็ปรากฏร่างสูงเดินเข้ามา "เป็นอย่างไรบ้างพี่ใหญ่ กับดักของน้องเล็กเห็นผลหรือไม่"
"ยิ่งกว่าเห็นผลเสียอีกน้องรอง"
"หมายความว่ายังไง ที่ยิ่งกว่าได้ผล"
"หึหึ" พลางหันไปมองเจ้าของกับดัก "น้องเล็ก ขอบใจเจ้ามากจากนี้และอีกหลายวันเราไม่ต้องอดมื้อกินมื้ออีกแล้ว ดูนี่สิ" จากนั้นอวี้เหิงเยว่ก็หยิบกระต่ายและไก่ป่าออกมาให้น้องทั้งสองคนดู
"โห พี่ใหญ่ได้มาตั้งหลายตัวเลย" เยอะมากเลยเมื่อก่อนกว่าที่พี่ใหญ่จะล่ามาได้สักตัว ก็นาน ๆ ครั้งถึงจะได้
"ต้องขอบใจน้องเล็กเจ้าเสียแล้ว"
"ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะพี่ใหญ่ พี่รอง ไยถึงต้องมาขอบใจข้ากัน"
"หากไม่ใช่กับดักของเจ้าป่านนี้คงได้แค่ไก่หรือไม่ก็กระต่ายเพียงหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้น หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ"
"หมายความว่ายังไงเจ้าคะ หรือว่ามีอย่างอื่นอีก" แววตานางเป็นประกายขึ้นทันที
"จริงหรือพี่ใหญ่"
"จริงสิ ข้าเคยโกหกพวกเจ้าด้วยหรือ?"
ฟังที่พี่ใหญ่พูดก็พร้อมกันส่ายหน้า เพราะคนเบื้องหน้าไม่เคยพูดเล่นหรือโกหกกับน้องอย่างพวกเขา
"ไปเถอะ ประเดี๋ยวจะออกจากป่าติดเย็นเสียก่อน" ทั้งสามมุ่งหน้าไปยังกับดักอีกที่หนึ่งด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงที่หมายและเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าถึงกับปากสั่น พูดติดอ่าง
"นะ...นี่มัน" ไม่รอช้าอวี้จื่อลู่กับอวี้เฉิงรุ่ยตะโกนออกมาเสียงดังลั่นป่า ทำเอาเหล่านกน้อยตกใจโผบินหนีทิ้งรังกันเลยทีเดียว
"หมูป่า!!"