Your Wishlist

ทะลุมิติไปเป็นตัวเสี่ยงโชคของครอบครัวเกษตรกรรม (ช่วยเหลือ)

Author: สรรหามาฟัง

“เด็กนั่นเป็นตัวโชคร้ายเจ้าต้องกำจัดนางทิ้งเสีย มิฉะนั้นเจ้าและครอบครัวของเจ้าจงออกไปจากตระกูลข้า” ซูเสี่ยวหลู่ทะลุมิติมายังโลกใบนี้ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กทารก และทันทีที่เธอลืมตาขึ้น เธอก็ถูกย่าผู้ชั่วร้ายมองว่าเธอเป็นภาระและตัวโชคร้าย ซูซานหลางพ่อของเธอกัดฟันและพูดว่า “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ท่านแยกพวกเราออกจากตระกูลเถอะเเล้วพวกเราจะออกไป” เพื่อรักษาชีวิตของเธอ พวกเขาถูกบังคับให้ออกจากตระกูลและเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น พวกเธอต้องเสี่ยงกับอาชีพใหม่ ออกไปล่าสัตว์ และชีวิตของพวกเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้น แม้จะถูกเรียกว่าตัวซวย แต่เธอก็กลายเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาเมื่อเธออายุได้สามขวบ!! เเถมยังได้รับมรดกตกทอดของเขา และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว เธอรักษาโรคทางสมองของพี่ชายเธอ และพี่ชายคนโตของเธอก็กลายเป็นจอมยุทธ์เลื่องชื่อ ในขณะที่พี่ชายคนที่สองของเธอก็กลายเป็นขุนนาง พวกเขาทั้งหมดนำเกียรติมาสู่ครอบครัว ปัจจุบันเธอเป็นแพทย์ฝีมือระดับเทพและมีความเชี่ยวชาญในสูตรอาหารยา เเถมเธอยังเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์โจวและทำกำไลได้มหาศาลจนเธอไม่สามารถใช้จ่ายให้หมดภายในสิบชีวิตได้ ครอบครัวของเธอเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นและญาติที่น่ารังเกียจของพวกเธอก็ปรากฏตัวขึ้นและพยายามที่จะปัญหาให้ครอบครัวเธอ ซูเสี่ยวหลู่ยิ้มเยาะ “ปิดประตูแล้วปล่อยเสือ!”

จำนวนตอน :

ช่วยเหลือ

  • 10/04/2566

บทที่ 11: ช่วยเหลือ

 

 

 

 

เฉินหู่ยิ้มให้ ซูซานหลางและพูดว่า "เสียเวลาเปล่าอะไรกัน? 

วันนี้ข้าทำงานที่บ้านเสร็จหมดแล้ว ไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ถ้าข้าจะช่วยเจ้าตัดหญ้า? 

ข้ากับเจ้าเป็นสหายที่ดีต่อกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ถ้าข้าไม่ช่วยเจ้าตอนนี้ ข้าคงนอนไม่หลับเป็นเเน่


“มีแดดจัด ติดต่อกันสองสามวันแล้ว ข้าว่าอีกสักพักอาจจะมีฝนตก ภรรยาเจ้าเพิ่งคลอด 

นางคงลำบากแน่ถ้าฝนตก พวกเราเริ่มทำงานกันเถอะ”

เฉินหู่เริ่มตัดหญ้าทันที

ซูซานหลางรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก เขากล่าวเสียงเบาว่า  "ขอบคุณ."


จากนั้นเขาก็หยิบเคียวขึ้นมาและทำการตัดหญ้าต่อ


เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน หญ้าส่วนใหญ่ในพื้นที่แห่งนี้ก็ถูกกำจัดออกไป 

เฉินหู่กำลังมัดหญ้าที่ตัดออกเป็นกองๆ


“ซานหลาง เมื่อไหร่เจ้าจะซ่อมแซมบ้านของเจ้า? คืนนี้เลยหรือไม่? 

ข้าจะช่วยเจ้าสานหญ้ามุงหลังคา คืนนี้เป็นคืนที่พอเหมาะพอดีมีพระจันทร์เต็มดวง 

มีแสงสว่างพอให้เจ้าทำได้”


ซูซานหลางรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่เขากล่าวปฏิเสธ เขาพูดว่า 

" ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้ายิ่งนัก เเต่ว่าข้าทำเองได้ ข้ารบกวนเจ้ามามากพอแล้ว”


ร่างกายของ เฉินหู่ ไม่ค่อยแข็งแรงนัก ครั้งเมื่อเฉินหู่ ยังเล็ก

เท้าของเขาถูกไฟไหม้ทำให้เขากลายเป็นคนพิการ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายคนสุดท้องภายในครอบครัว 

ครอบครัวของเขามีพี่ชายสองคนซึ่งแก่กว่าเขาเจ็ดหรือแปดปีเขากลายเป็นคนพิการเพียงคนเดียวในครอบครัว

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดา

นางเฉียน ภรรยาของเฉินหู่ก็พิการเช่นเดียวกัน นางถูกไฟคลอกเมื่อนางยังเด็ก 

มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าของนาง นิ้วโป้งของนางเหลือเพียงครึ่งเดียว


เฉินหู่มีลูกสาวสองคนและไม่มีลูกชาย เขาถูกตำหนิบ่อยครั้งเมื่อเขามาช่วยงานซูซานหลาง


เฉินหู่ลดสายตาลงพร้อมกลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยว่า “ซานหลาง ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าลำบากที่จะช่วยเจ้าล่ะ”


“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็ถือว่าเจ้าเป็นพี่ชายของข้า ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้าไว้ตอนที่ข้ายังเด็ก ข้า เฉินหู่คนนี้คงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ นอกจากนี้ ข้าได้ทำในสิ่งที่ข้าควรจะทำ ข้าต้องการจะช่วยเจ้าและไม่มีใครหน้าไหนสามารถห้ามข้าได้”


เฉินหู่ เงยหน้าขึ้น เขาพิการและตัวไม่สูงนัก

บิดาและมารดาของเขารู้สึกว่าเขาเป็นตัวน่ารังเกียจและไม่ชอบเขา 

แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำให้เขาพิการนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร


เมื่อเขายังเด็ก พี่ชายสองคนซึ่งแก่กว่าเจ็ดหรือแปดขวบทะเลาะกันเรื่องอาหารการกิน


เฉินหู่มักโดนแย่งอาหารอยู่บ่อยครั้ง เขาไม่เคยได้กินจนอิ่มท้องเลยสักครา


 ตอนนั้นเขาถูกพี่ชายสองคนผลักตกลงไปในแม่น้ำ ซูซานหลางเป็นผู้เสี่ยงชีวิตกระโดดไปเพื่อช่วยเขา

จากนั้นเขาก็มักจะชอบตามซูซานหลางไปหาของป่าอยู่บ่อยครั้ง

 ซูซานหลางจะให้ไข่นกสองฟองเมื่อเขาเจอไข่สามฟอง อีกทั้งยังแบ่งผลไม้ป่าให้ตนอีก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาได้สร้างสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งและยั่งยืน


เฉินหู่ไม่เคยลืมมัน


เมื่อมองไปที่เฉินหู่เช่นนี้ ซูซานหลางพบว่าเป็นการยากที่จะปฏิเสธ เขาตบไหล่ของ เฉินหู่และยิ้มอย่างขมขื่น 
“ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ข้าจะไม่ลืมเจ้า และถ้ามีโอกาสในอนาคต......”


แน่นอนเขาจะตอบแทน เฉินหู่


อย่างไรก็ตาม เฉินหู่ ขัดจังหวะ ซูซานหลาง ด้วยรอยยิ้มและพูดว่า 

"ข้าไม่ได้ต้องการเงินจากเจ้า ข้าต่างหากที่สมควรจะเป็นคนที่ให้เงินแก่เจ้าเพราะเจ้ามีพระคุณต่อชีวิตข้า”


เฉินหู่ ช่วย ซูซานหลาง เก็บหญ้า เมื่อเขาเห็นว่าพี่น้องซูทำความสะอาดบ่อน้ำแล้ว 

ความเป็นห่วงที่เขามีต่อซูซานหลางก็ลดลง

แม้ว่าซูชงและซูฮั่วจะโง่เขลา แต่พวกเขาก็เป็นเด็กที่เชื่อฟัง


ซูซานหลางมองไปยังบ่อน้ำซึ่งได้รับการทำความสะอาดแต่ก็ยังไม่สะอาดมากนัก
มันจะพร้อมใช้งานในบ่ายวันพรุ่งนี้หลังจากเขาทำความสะอาดอีกรอบ เขาลูบผมเด็กๆด้วยความโล่งอก

 “พวกเจ้าเก่งมาก ไปล้างมือ แล้วมาทำอาหารเย็นกันเถอะ พ่อจะฝังเกาลัดให้เจ้าในหลุมไฟ”


เด็กๆ พยักหน้าแววตาดูมีความสุข  ซูซานเม่ยเองก็ได้เข้าไปช่วยก่อกองไฟ


คืนนี้ พวกเขามีซุปผักหมูสามชั้นเเม้จะมีเนื้อไม่กี่ชิ้น เเต่ยังไรก็ตาม 

มันก็ยังพอที่จะให้พวกเขาได้ลิ้มรสเนื้อหมูอยู่บ้าง


ซูชงซูฮั่ว และ ซูซานเม่ย หลังจากที่ซูซานหลางตักอาหารให้พวกเขาแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆกินอย่างช้าๆ

เมื่อพวกเขากัดโดนเนื้อหมู 

แววตาของพวกเขาดูเปร่งประกายและพวกเขาก็จะเคี้ยวเนื้อชิ้นเล็กๆนี้อย่างมีความสุข


ซูซานหลางตักอาหารให้นางจ้าว ขณะที่นางจ้าว กำลังกินอาหาร นางก็พูดด้วยความกังวลว่า

ซูซานหลาง เจ้าก็มากินด้วยกันสิ”


ซูซานหลางพยักหน้าตกลง

 การได้รับการดูแลเอาใจใส่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ

เขายิ้มและพูดว่า “ ข้าขอดูแลซีเม่ยก่อน”

ซูเสี่ยวหลู่มองไปที่พ่อของเธอแล้วหาว


ไม่ต้องพูดอะไรเเล้ว

 เธอเห็นคำว่า 'ข้ารักเจ้า' ผ่านดวงตาของผู้เป็นพ่อ 

เธอต้องเป็นลูกสาวตัวน้อยที่สวยและน่ารักมากแน่ๆ


หากเเต่ว่าซูเสี่ยวหลู่ไม่เคยมองเข้าไปในกระจกมาก่อน ดังนั้นเธอจึงไม่รู้เลยว่าเธอไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เกิดเเถมยังมีไขมันของทารกติดอยู่บนร่างกายและเส้นผมของเธอ

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ซูซานหลางรังเกียจเธอ 

เขามักจะมองเข้าไปในดวงตาของซูเสี่ยวหลู่ มันทั้งสดใสและดูมีชีวิตชีวา 

เพียงแค่มองไปที่พวกมัน เขาก็สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่หมอหวู่พูด

หมายถึงอะไรเขากล่าวว่าดวงตาของนางเปรียบเสมือนมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้น พวกมันดูเปล่งประกาย 

เฉลียวฉลาด และน่ารัก


“เด็กดี เด็กดี พ่อจะดูแลเจ้าเอง”


ซูซานหลาง พูดกับ ซูเสี่ยวหลู่ การที่ผู้ใหญ่คนหนึ่งคุยกับเด็กทารกนับเป็นเรื่องที่แปลก เพราะท้ายที่สุดเด็กน้อยก็ยังคงไม่เข้าใจ

ถึงกระนั้น ซูซานหลางกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าสาวน้อยของเขาเข้าใจคำพูดของเขา 

เมื่อเขาพูด สายตาของนางมองมาที่เขาอย่างจริงจัง นางยังอ้าปากกว้างราวกับว่านางกำลังพูดว่า 

“โอ้ ข้ารู้แล้ว”


ซูซานหลางอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นเขาก็พูดกับนางจ้าวว่า “ภรรยข้า เรียกข้าด้วยเมื่อเจ้ากินข้าวเสร็จแล้ว 

ข้าจะมากินข้าวทีหลัง”


นางจ้าว ยิ้มและพยักหน้า


หัวใจของนางจ้าว รู้สึกเจ็บปวดมากกับการทำงานหนักของซูซานหลาง 

นางแค่อยากให้เขาได้กินข้าวเร็วๆ เขายุ่งทั้งวันและไม่มีอาหารดีๆกิน เขาจะไม่หิวได้อย่างไร?


ซูซานหลางออกไปกินข้าว ในมื้อนั้นไม่มีข้าวขาวมากนัก ส่วนใหญ่เป็นข้าวโพดบดเกือบทั้งหมด 

เขาไม่สามารถทนกินผักเยอะๆได้ ดังนั้นเขาจึงตักซุป ราดเล็กน้อยเพื่อกิน


หลังอาหารเย็นเขาขอให้พี่น้องซูช่วยกันล้างจาน หลังจากล้างจานเสร็จ 

สามพี่น้องก็ขุดเกาลัดที่ฝังไว้ในหลุมใต้กองไฟขึ้นมากิน 

ในขณะเดียวกัน ซานหลางก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ทรงกลมขนาดเล็ก และเริ่มสานหญ้า


หญ้าแห้ง ส่วนใหญ่สามารถใช้ได้เลย แต่ชั้นล่างต้องทอให้แน่นเพื่อไม่ให้น้ำรั่วซึม


เขาสานหญ้าเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม เฉินหู่ก็มาถึง ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันพวกเขาต่างก็ทำงานกันอย่างเงียบๆ


เวลาผ่านไปเกือบยามจื่อวงเล็บยามจื่อคือเที่ยงคืน

ซูซานหลางก็พูดเบาๆว่า “เฉินหู่ ข้าว่าข้าจะพักแล้ว เจ้าเองก็ควรกลับไปพักด้วย”


เขาพูดกับ เฉินหู่อยู่หลายครั้ง แต่เฉินหู่ปฏิเสธ เขาไม่ต้องการพักผ่อน แต่เกือบจะยามจื่อแล้ว

หากเฉินหู่ไม่ไปพัก ร่างกายของเขาคงแย่แน่ ในที่สุด ซูซานหลางก็หยุดสานต่อ


เฉินหูยิ้มและหยุดเช่นกัน เขาพูดว่า “ซานหลาง วันนี้ข้าจะกลับบ้านก่อน ข้าจะกลับมาใหม่

พรุ่งนี้ข้าคงไม่สามารถปีนหลังคาช่วยเจ้าซ่อมบ้านได้ ดังนั้นข้าจึงได้เเต่ช่วยเจ้าตัดหญ้าและสานมันแทน”
 

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป