Your Wishlist

ทะลุมิติไปเป็นตัวเสี่ยงโชคของครอบครัวเกษตรกรรม (จดจำตลอดไป)

Author: สรรหามาฟัง

“เด็กนั่นเป็นตัวโชคร้ายเจ้าต้องกำจัดนางทิ้งเสีย มิฉะนั้นเจ้าและครอบครัวของเจ้าจงออกไปจากตระกูลข้า” ซูเสี่ยวหลู่ทะลุมิติมายังโลกใบนี้ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กทารก และทันทีที่เธอลืมตาขึ้น เธอก็ถูกย่าผู้ชั่วร้ายมองว่าเธอเป็นภาระและตัวโชคร้าย ซูซานหลางพ่อของเธอกัดฟันและพูดว่า “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น ท่านแยกพวกเราออกจากตระกูลเถอะเเล้วพวกเราจะออกไป” เพื่อรักษาชีวิตของเธอ พวกเขาถูกบังคับให้ออกจากตระกูลและเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่อื่น พวกเธอต้องเสี่ยงกับอาชีพใหม่ ออกไปล่าสัตว์ และชีวิตของพวกเธอก็ค่อยๆ ดีขึ้น แม้จะถูกเรียกว่าตัวซวย แต่เธอก็กลายเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาเมื่อเธออายุได้สามขวบ!! เเถมยังได้รับมรดกตกทอดของเขา และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว เธอรักษาโรคทางสมองของพี่ชายเธอ และพี่ชายคนโตของเธอก็กลายเป็นจอมยุทธ์เลื่องชื่อ ในขณะที่พี่ชายคนที่สองของเธอก็กลายเป็นขุนนาง พวกเขาทั้งหมดนำเกียรติมาสู่ครอบครัว ปัจจุบันเธอเป็นแพทย์ฝีมือระดับเทพและมีความเชี่ยวชาญในสูตรอาหารยา เเถมเธอยังเป็นเจ้าของร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์โจวและทำกำไลได้มหาศาลจนเธอไม่สามารถใช้จ่ายให้หมดภายในสิบชีวิตได้ ครอบครัวของเธอเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นและญาติที่น่ารังเกียจของพวกเธอก็ปรากฏตัวขึ้นและพยายามที่จะปัญหาให้ครอบครัวเธอ ซูเสี่ยวหลู่ยิ้มเยาะ “ปิดประตูแล้วปล่อยเสือ!”

จำนวนตอน :

จดจำตลอดไป

  • 10/04/2566


บทที่ 12: จดจำตลอดไป

 

 

 

 

เฉินหู่ ต้องการช่วยมากกว่านี้ แต่บิดาและมารดาของเขากลับไม่เห็นด้วย


ซูซานหลาง ตบไหล่ของ เฉินหู่ 

“เจ้าช่วยข้ามามากพอแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”


หลังจากเฝ้าดู เฉินหู่ เดินกลับบ้าน ซูซานหลางก็เก็บของและกลับเข้าไปในบ้านของเขา


ดังที่คนโบราณเคยพูดไว้ เป็นเรื่องปกติที่ซ้ำเติมใครสักคนเมื่อล้มลง แต่กลับหายากที่ใครสักคนจะให้ความช่วยเหลือยามเราลำบาก


ซูซานหลาง จะไม่มีวันลืมมิตรภาพของเฉินหู่


ทันทีที่ซูซานหลางกลับเข้าไปในบ้านและนอนลง เขาเห็นว่านางจ้าวยังคงตื่นอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า

“ทำไมเจ้ายังไม่หลับอีก ซีเม่ย กวนเจ้านอนหรือ


นางจ้าว ยิ้มและพูดว่า“ ไม่ ซีเม่ยเชื่อฟังมาก ซูซานหลาง เฉินหู่จะมาช่วยเราหรือ”


ซูซานหลางพยักหน้า เขาเอื้อมมือไปลูบซูเสี่ยวหลู่ที่หลับใหลอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะนอนลง 

เขาพูดว่า 

“เขาจะช่วยข้าซ่อมหลังคา ถึงช่วงนี้แดดแรงมาก แต่ก็อาจจะมีเมฆมากในไม่ช้า

พรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บเกาลัด แล้วรีบกลับมา 

จากนั้นข้าจะไปตัดหญ้าที่เหลือของวันนี้ 

เฉินหู่ จะมาช่วยข้าสานในตอนกลางคืน แล้วข้าก็จะปรับปรุงหลังคาบ้านของเราใหม่”


“เจ้าต้องเหนื่อยมากแน่ๆ”


ความเศร้าเกิดขึ้นในใจของนาง สุดท้ายนางก็พูดได้เพียงเท่านี้ 

ร่างกายของนางไม่แข็งแรง นางไม่สามารถช่วยอะไรซูซานหลางได้ งานที่บ้านจึงตกอยู่ที่ซูซานหลาง


ถ้าลูกชายสองคนของนางฉลาด เขาน่าจะสามารถช่วยได้ แต่พวกเขา… เฮ้อ 


ราวกับว่าเขารู้ถึงความกังวลของนางจ้าว ซูซานหลางจึงเอื้อมมือไปลูบผมของนางเบา ๆ 

แล้วพูดว่า “แค่นี้ข้าไม่เหนื่อยหรอก เพื่อในอนาคตพวกเราจะได้สุขสบาย 

ว่างๆข้าจะไปตัดไม้ไผ่มาสานตะกร้าขาย ตระกูลที่ร่ำรวยมักใช้พวกมันเพื่อบรรจุสิ่งของ 

เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ชีวิตพวกเราจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ”


เนื่องจากฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ซูซานหลางรู้ว่านางจ้าวกังวลเรื่องใด แม้ว่าตนเองจะกังวลเช่นกัน 

แต่เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปลอบโยนนาง


“ที่ผ่านมา เจ้าไม่เคยได้พักผ่อนเลย เราแยกมาอยู่กันเองแล้วเจ้าพักผ่อนให้เต็มที่เถิด

ยาที่หมอหวู่ให้พอสำหรับหนึ่งเดือน 

ข้าจะให้ ซูซานเม่ย ต้มให้เจ้าทุกวัน 

อีกสองวันข้าจะเข้าไปดูกับดักที่ข้าทำไว้ บางทีพวกเราอาจจะโชคดีและจับอะไรบางอย่างมาเป็นอาหารได้บ้าง”


ซูซานหลางลูบหัวนางจ้าวและพูดอย่างอ่อนโยน 

นางจ้าว มีร่างกายที่ผ่ายผอมมากใบหน้าของนางซูบผอมจนเห็นกระดูก

นอกเหนือจากความจริงที่ว่าพวกเขาเพิ่งถูกไล่ออกจากบ้าน 

เขาก็ต้องยอมรับชะตากรรมของพวกเขาว่าพวกเขามีอาหารไม่มากนัก

ในบ้านหลังเก่าตระกูลซูครอบครัวของพวกเขาไม่เคยได้กินอิ่ม ถึงมีเนื้อก็กินไม่ได้

อย่างน้อยตอนนี้ ถ้าหากพวกตนมีเนื้อก็ยังสามารถกินมันได้


“ตกลง ข้าเชื่อเจ้า”


นางจ้าว พิงซูซานหลาง แม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะยากจน แต่หัวใจของพวกเขาก็ยังคงอยู่ข้างกันเสมอ


ซูเสี่ยวหลู่ตื่นเนื่องจากเธอฉี่ เธอจึงได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ 

เธออดคิดไม่ได้ว่าพ่อของเธอเป็นคนดีนัก

นางจ้าว ร่างกายยังไม่แข็งแรง ถ้านางได้พักซักเดือนก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

เธอมีความสุขที่ได้อยู่ในครอบครัวเช่นนี้ ชาติที่แล้วเธอเคยเป็นเด็กกำพร้า 

ผู้อาวุโสเเพทย์เเผนจีนที่รับอุปการะเธอ บอกว่า ในเวลานั้น เป็นเรื่องปกติมากที่ผู้คนจะชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง 

ดังนั้นหลายคนจึงอุ้มท้องและคลอดลูกอย่างเงียบเงียบ ถ้าเห็นว่าเด็กคนนั้นคือลูกสาวก็จะทิ้งพวกเธอไว้ข้างถนนเงียบๆ

ถ้ามีคนรับไปเลี้ยงดู พวกเธอก็จะมีชีวิตรอด เเต่ถ้าไม่มีใครรับเลี้ยง พวกเธอคงจะตายไปในท้ายที่สุด

ซูเสี่ยวหลู่โหยหาความอบอุ่นจากพ่อเเละแม่ แต่เธอก็รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด 

มีพ่อแม่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้สึกอบอุ่น สิ่งใดที่เธอไม่มีในชาติก่อน 


เธอก็มีมันในชาตินี้ถ้านางจ้าวไม่ห่อตัวเธอไว้เป็นอย่างดี เธอคงจะป้อนน้ำแร่จิตวิญญาณให้นางจ้าวดื่มทุกวัน

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูซานหลางตื่นก่อนรุ่งสาง เขาก่อไฟและเริ่มทำอาหารก่อนที่จะปลุกซูซานเม่ยและพี่น้องของนาง


เขาสั่งให้เด็กทั้งสามกินข้าวคนละชามก่อนที่จะไปทำความสะอาดบ่อน้ำต่อ 

เขาขอให้ซูซานเม่ยซักผ้าอ้อมให้ซีเม่ยเปลี่ยน


ก่อนจากไป ซูซานหลางเป็นห่วงลูกชายทั้งสองของเขาที่สุด เขาลูบหัวของพวกเขาและพูดว่า 

“ซูชง   ซูฮั่ว อย่าออกไปเล่นข้างนอก เข้าใจหรือไม่? เจ้าต้องทำงานกับ ซานเม่ย คืนนี้ข้าจะฝังเกาลัดให้เจ้ากิน 

ดีหรือไม่”

ซูชงและซูฮั่วนึกถึงเกาลัดหอมกรุ่นของเมื่อวาน พวกเขาเผามันในขี้เถ้าและมันส่งกลิ่นหอมมาก ทั้งสองคนพยัก
หน้าอย่างเชื่อฟังและเห็นด้วย "ขอรับ"


ซูซานเม่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเช่นกัน นางเข้าไปในห้องและหยิบผ้าอ้อมที่นางจ้าวเปลี่ยนให้ซีเม่ยเพื่อซัก จากนั้นนางก็เทน้ำสกปรกลงที่ ขอบ ลาน


หลังจากที่ซูซานหลางจัดเเจงการงานให้ทั้งสามพี่น้องแล้ว เขาก็แบกตะกร้าไว้บนหลังและเข้าไปยังภูเขา

ระหว่างทางเขาไปดูว่ามีบางอย่างติดกับดักหรือไม่ หากเเต่พวกมันกลับว่างเปล่า เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


เเต่โชคดีที่เขามีเกาลัด เมื่อเขาเดินทางไปถึงในป่า เขาตัดต้นไม้เล็กๆ และเริ่มปีนขึ้นไป ต้นไม้นี้เต็มไปด้วยหนาม เขาควรจะขายมันได้ในราคาร้อยอีเเปะ


เขายังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ในอดีตเเม่เฒ่าหวังแม่ของเขาเป็นคนขายมันเเม่เฒ่าหวังไม่เคยบอกว่านางขายมันได้เท่าไหร่ ครั้งนี้พวกเขาถูกขับไล่ดังนั้น ครอบครัวของเขาจึงไม่ได้เงินแม้แต่สตางค์เดียว


แม้ว่ามันจะมีค่าเพียงไม่กี่อีเเปะ เเต่เขาก็จะขายมัน


นับตั้งแต่ที่เขายอมรับความจริง ซูซานหลางก็รู้สึกเต็มไปด้วยพลัง หลังจากเก็บลูกเกาลัดบนต้นไม้หมดแล้ว เขาก็แบกลูกที่เขาสามารถปอกได้กลับบ้าน


ตะกร้าบนหลังของเขาหนักอึ้ง ซูซานหลางอดไม่ได้ที่จะรีบกลับบ้านด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มองจากระยะไกล เขาเฝ้าดูเด็ก ๆ ทำความสะอาดบ่อน้ำอย่างขยันขันแข็ง เขายิ้มด้วยความโล่งใจ


เมื่อเห็นว่าซูซานหลางกลับมาถึงบ้านแล้ว พี่น้องทั้งสามคนก็วิ่งไปหาเขาอย่างมีความสุขและคว้ามือของเขาไว้ “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว”


ซูซานหลางลูบหัวพวกเขาทีละคนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าเชื่อฟังที่พ่อบอกหรือไม่”


ซูชงและซูฮั่วพยักหน้าอย่างมีความสุข “พวกเราเชื่อฟังท่านพ่อขอรับ”


ซูซานเม่ยปล่อยซูซานหลางและวิ่งไปที่เล้าไก่ นางรีบนำถุงใบไม้มามอบให้ซูซานหลางราวกับว่านางกำลังมอบสมบัติ “ท่านพ่อ ข้าจับแมลงมาได้มากมายให้ไก่กิน พวกมันชอบกินพวกนี้จริงๆ ท่านพ่อใช้สิ่งนี้เป็นเหยื่อล่อไก่ที่บ้านชอบหมด ดังนั้นนกบนภูเขาก็ต้องชอบเช่นกัน”


ดวงตาของซูซานเม่ยเป็นประกาย นางพอจะรู้ว่าขณะนี้ที่บ้านนางยากจน นางจึงนึกถึงสิ่งนี้ตอนที่กำลังให้อาหารไก่


ซูซานหลางรับมันมาและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตกลง ข้าจะฟังเจ้า ข้าจะออกไปตัดหญ้าหลังจากดื่มน้ำเสร็จ พวกเจ้าต้องเชื่อฟังที่บ้านเข้าใจหรือไม่”


ซูซานเม่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข "เจ้าค่ะ. ข้าจะดูแลพี่ใหญ่และพี่รองให้ดีที่สุด”


การเชื่อฟังของซูซานเม่ยทำให้ตาของซูซานหลางอดเเดงไม่ได้ เขาขยี้ผมแห้งๆของนางและยิ้มขณะที่เขาเข้าไปในบ้าน


นางจ้าว ได้ยินเสียงของ ซูซานหลาง นางจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง เมื่อเขาเข้ามาหาซูเสี่ยวหลู่ นางจึงพูดเบาๆ ว่า “ซานหลาง นั่งลงและพักผ่อนหน่อยเถิด”


ขณะที่นางพูด นางจ้าว ก็เอื้อมมือไปดึงใบไม้ออกจากหัวของ ซูซานหลาง หัวใจของนางเจ็บปวดเมื่อเห็นว่ามือของซูซานหลางมีบาดแผลมากมายจากการถูกกิ่งของลูกเกาลัดทิ่มแทง

กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า