บทที่ 12: จดจำตลอดไป
เฉินหู่ ต้องการช่วยมากกว่านี้ แต่บิดาและมารดาของเขากลับไม่เห็นด้วย
ซูซานหลาง ตบไหล่ของ เฉินหู่
“เจ้าช่วยข้ามามากพอแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ”
หลังจากเฝ้าดู เฉินหู่ เดินกลับบ้าน ซูซานหลางก็เก็บของและกลับเข้าไปในบ้านของเขา
ดังที่คนโบราณเคยพูดไว้ เป็นเรื่องปกติที่ซ้ำเติมใครสักคนเมื่อล้มลง แต่กลับหายากที่ใครสักคนจะให้ความช่วยเหลือยามเราลำบาก
ซูซานหลาง จะไม่มีวันลืมมิตรภาพของเฉินหู่
ทันทีที่ซูซานหลางกลับเข้าไปในบ้านและนอนลง เขาเห็นว่านางจ้าวยังคงตื่นอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า
“ทำไมเจ้ายังไม่หลับอีก ซีเม่ย กวนเจ้านอนหรือ
นางจ้าว ยิ้มและพูดว่า“ ไม่ ซีเม่ยเชื่อฟังมาก ซูซานหลาง เฉินหู่จะมาช่วยเราหรือ”
ซูซานหลางพยักหน้า เขาเอื้อมมือไปลูบซูเสี่ยวหลู่ที่หลับใหลอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะนอนลง
เขาพูดว่า
“เขาจะช่วยข้าซ่อมหลังคา ถึงช่วงนี้แดดแรงมาก แต่ก็อาจจะมีเมฆมากในไม่ช้า
พรุ่งนี้ข้าจะไปเก็บเกาลัด แล้วรีบกลับมา
จากนั้นข้าจะไปตัดหญ้าที่เหลือของวันนี้
เฉินหู่ จะมาช่วยข้าสานในตอนกลางคืน แล้วข้าก็จะปรับปรุงหลังคาบ้านของเราใหม่”
“เจ้าต้องเหนื่อยมากแน่ๆ”
ความเศร้าเกิดขึ้นในใจของนาง สุดท้ายนางก็พูดได้เพียงเท่านี้
ร่างกายของนางไม่แข็งแรง นางไม่สามารถช่วยอะไรซูซานหลางได้ งานที่บ้านจึงตกอยู่ที่ซูซานหลาง
ถ้าลูกชายสองคนของนางฉลาด เขาน่าจะสามารถช่วยได้ แต่พวกเขา… เฮ้อ
ราวกับว่าเขารู้ถึงความกังวลของนางจ้าว ซูซานหลางจึงเอื้อมมือไปลูบผมของนางเบา ๆ
แล้วพูดว่า “แค่นี้ข้าไม่เหนื่อยหรอก เพื่อในอนาคตพวกเราจะได้สุขสบาย
ว่างๆข้าจะไปตัดไม้ไผ่มาสานตะกร้าขาย ตระกูลที่ร่ำรวยมักใช้พวกมันเพื่อบรรจุสิ่งของ
เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย ชีวิตพวกเราจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ”
เนื่องจากฤดูหนาวกำลังจะมาถึง ซูซานหลางรู้ว่านางจ้าวกังวลเรื่องใด แม้ว่าตนเองจะกังวลเช่นกัน
แต่เขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปลอบโยนนาง
“ที่ผ่านมา เจ้าไม่เคยได้พักผ่อนเลย เราแยกมาอยู่กันเองแล้วเจ้าพักผ่อนให้เต็มที่เถิด
ยาที่หมอหวู่ให้พอสำหรับหนึ่งเดือน
ข้าจะให้ ซูซานเม่ย ต้มให้เจ้าทุกวัน
อีกสองวันข้าจะเข้าไปดูกับดักที่ข้าทำไว้ บางทีพวกเราอาจจะโชคดีและจับอะไรบางอย่างมาเป็นอาหารได้บ้าง”
ซูซานหลางลูบหัวนางจ้าวและพูดอย่างอ่อนโยน
นางจ้าว มีร่างกายที่ผ่ายผอมมากใบหน้าของนางซูบผอมจนเห็นกระดูก
นอกเหนือจากความจริงที่ว่าพวกเขาเพิ่งถูกไล่ออกจากบ้าน
เขาก็ต้องยอมรับชะตากรรมของพวกเขาว่าพวกเขามีอาหารไม่มากนัก
ในบ้านหลังเก่าตระกูลซูครอบครัวของพวกเขาไม่เคยได้กินอิ่ม ถึงมีเนื้อก็กินไม่ได้
อย่างน้อยตอนนี้ ถ้าหากพวกตนมีเนื้อก็ยังสามารถกินมันได้
“ตกลง ข้าเชื่อเจ้า”
นางจ้าว พิงซูซานหลาง แม้ว่าครอบครัวของพวกเขาจะยากจน แต่หัวใจของพวกเขาก็ยังคงอยู่ข้างกันเสมอ
ซูเสี่ยวหลู่ตื่นเนื่องจากเธอฉี่ เธอจึงได้ยินบทสนทนาเหล่านี้
เธออดคิดไม่ได้ว่าพ่อของเธอเป็นคนดีนัก
นางจ้าว ร่างกายยังไม่แข็งแรง ถ้านางได้พักซักเดือนก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก
เธอมีความสุขที่ได้อยู่ในครอบครัวเช่นนี้ ชาติที่แล้วเธอเคยเป็นเด็กกำพร้า
ผู้อาวุโสเเพทย์เเผนจีนที่รับอุปการะเธอ บอกว่า ในเวลานั้น เป็นเรื่องปกติมากที่ผู้คนจะชอบเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง
ดังนั้นหลายคนจึงอุ้มท้องและคลอดลูกอย่างเงียบเงียบ ถ้าเห็นว่าเด็กคนนั้นคือลูกสาวก็จะทิ้งพวกเธอไว้ข้างถนนเงียบๆ
ถ้ามีคนรับไปเลี้ยงดู พวกเธอก็จะมีชีวิตรอด เเต่ถ้าไม่มีใครรับเลี้ยง พวกเธอคงจะตายไปในท้ายที่สุด
ซูเสี่ยวหลู่โหยหาความอบอุ่นจากพ่อเเละแม่ แต่เธอก็รู้ว่าโลกนี้โหดร้ายเพียงใด
มีพ่อแม่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรู้สึกอบอุ่น สิ่งใดที่เธอไม่มีในชาติก่อน
เธอก็มีมันในชาตินี้ถ้านางจ้าวไม่ห่อตัวเธอไว้เป็นอย่างดี เธอคงจะป้อนน้ำแร่จิตวิญญาณให้นางจ้าวดื่มทุกวัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูซานหลางตื่นก่อนรุ่งสาง เขาก่อไฟและเริ่มทำอาหารก่อนที่จะปลุกซูซานเม่ยและพี่น้องของนาง
เขาสั่งให้เด็กทั้งสามกินข้าวคนละชามก่อนที่จะไปทำความสะอาดบ่อน้ำต่อ
เขาขอให้ซูซานเม่ยซักผ้าอ้อมให้ซีเม่ยเปลี่ยน
ก่อนจากไป ซูซานหลางเป็นห่วงลูกชายทั้งสองของเขาที่สุด เขาลูบหัวของพวกเขาและพูดว่า
“ซูชง ซูฮั่ว อย่าออกไปเล่นข้างนอก เข้าใจหรือไม่? เจ้าต้องทำงานกับ ซานเม่ย คืนนี้ข้าจะฝังเกาลัดให้เจ้ากิน
ดีหรือไม่”
ซูชงและซูฮั่วนึกถึงเกาลัดหอมกรุ่นของเมื่อวาน พวกเขาเผามันในขี้เถ้าและมันส่งกลิ่นหอมมาก ทั้งสองคนพยัก
หน้าอย่างเชื่อฟังและเห็นด้วย "ขอรับ"
ซูซานเม่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟังเช่นกัน นางเข้าไปในห้องและหยิบผ้าอ้อมที่นางจ้าวเปลี่ยนให้ซีเม่ยเพื่อซัก จากนั้นนางก็เทน้ำสกปรกลงที่ ขอบ ลาน
หลังจากที่ซูซานหลางจัดเเจงการงานให้ทั้งสามพี่น้องแล้ว เขาก็แบกตะกร้าไว้บนหลังและเข้าไปยังภูเขา
ระหว่างทางเขาไปดูว่ามีบางอย่างติดกับดักหรือไม่ หากเเต่พวกมันกลับว่างเปล่า เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เเต่โชคดีที่เขามีเกาลัด เมื่อเขาเดินทางไปถึงในป่า เขาตัดต้นไม้เล็กๆ และเริ่มปีนขึ้นไป ต้นไม้นี้เต็มไปด้วยหนาม เขาควรจะขายมันได้ในราคาร้อยอีเเปะ
เขายังไม่รู้เรื่องเหล่านี้ในอดีตเเม่เฒ่าหวังแม่ของเขาเป็นคนขายมันเเม่เฒ่าหวังไม่เคยบอกว่านางขายมันได้เท่าไหร่ ครั้งนี้พวกเขาถูกขับไล่ดังนั้น ครอบครัวของเขาจึงไม่ได้เงินแม้แต่สตางค์เดียว
แม้ว่ามันจะมีค่าเพียงไม่กี่อีเเปะ เเต่เขาก็จะขายมัน
นับตั้งแต่ที่เขายอมรับความจริง ซูซานหลางก็รู้สึกเต็มไปด้วยพลัง หลังจากเก็บลูกเกาลัดบนต้นไม้หมดแล้ว เขาก็แบกลูกที่เขาสามารถปอกได้กลับบ้าน
ตะกร้าบนหลังของเขาหนักอึ้ง ซูซานหลางอดไม่ได้ที่จะรีบกลับบ้านด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา มองจากระยะไกล เขาเฝ้าดูเด็ก ๆ ทำความสะอาดบ่อน้ำอย่างขยันขันแข็ง เขายิ้มด้วยความโล่งใจ
เมื่อเห็นว่าซูซานหลางกลับมาถึงบ้านแล้ว พี่น้องทั้งสามคนก็วิ่งไปหาเขาอย่างมีความสุขและคว้ามือของเขาไว้ “ท่านพ่อ ท่านกลับมาแล้ว”
ซูซานหลางลูบหัวพวกเขาทีละคนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าเชื่อฟังที่พ่อบอกหรือไม่”
ซูชงและซูฮั่วพยักหน้าอย่างมีความสุข “พวกเราเชื่อฟังท่านพ่อขอรับ”
ซูซานเม่ยปล่อยซูซานหลางและวิ่งไปที่เล้าไก่ นางรีบนำถุงใบไม้มามอบให้ซูซานหลางราวกับว่านางกำลังมอบสมบัติ “ท่านพ่อ ข้าจับแมลงมาได้มากมายให้ไก่กิน พวกมันชอบกินพวกนี้จริงๆ ท่านพ่อใช้สิ่งนี้เป็นเหยื่อล่อไก่ที่บ้านชอบหมด ดังนั้นนกบนภูเขาก็ต้องชอบเช่นกัน”
ดวงตาของซูซานเม่ยเป็นประกาย นางพอจะรู้ว่าขณะนี้ที่บ้านนางยากจน นางจึงนึกถึงสิ่งนี้ตอนที่กำลังให้อาหารไก่
ซูซานหลางรับมันมาและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตกลง ข้าจะฟังเจ้า ข้าจะออกไปตัดหญ้าหลังจากดื่มน้ำเสร็จ พวกเจ้าต้องเชื่อฟังที่บ้านเข้าใจหรือไม่”
ซูซานเม่ยพยักหน้าอย่างมีความสุข "เจ้าค่ะ. ข้าจะดูแลพี่ใหญ่และพี่รองให้ดีที่สุด”
การเชื่อฟังของซูซานเม่ยทำให้ตาของซูซานหลางอดเเดงไม่ได้ เขาขยี้ผมแห้งๆของนางและยิ้มขณะที่เขาเข้าไปในบ้าน
นางจ้าว ได้ยินเสียงของ ซูซานหลาง นางจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง เมื่อเขาเข้ามาหาซูเสี่ยวหลู่ นางจึงพูดเบาๆ ว่า “ซานหลาง นั่งลงและพักผ่อนหน่อยเถิด”
ขณะที่นางพูด นางจ้าว ก็เอื้อมมือไปดึงใบไม้ออกจากหัวของ ซูซานหลาง หัวใจของนางเจ็บปวดเมื่อเห็นว่ามือของซูซานหลางมีบาดแผลมากมายจากการถูกกิ่งของลูกเกาลัดทิ่มแทง