บทที่ 10 ซูเสี่ยวหลู่บ่น
ในฐานะคนหยาบกระด้าง ซูซานหลางก็เข้าใจได้ในทันที จากนั้นเขามองไปยังนางจ้าว ด้วยความสับสน “ทำไมข้ารู้สึกว่าซีเม่ยกำลังบ่นข้าอยู่”
นางจ้าวก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน นางประหลาดใจมาก ไม่ต้องพูดถึงซูซานหลาง แม้แต่นางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
นางเพิ่งเกิด แต่นางกลับรู้วิธีที่จะบ่นและรู้สึกเสียใจ
“ซีเม่ยไม่ได้กินนมหรือ?”
ซูซานหลาง มองไปที่นางจ้าวด้วยความลำบากใจ นางจ้าว อ่อนแอเเถมยังไม่กินอะไรที่ดีมากนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่นางจะไม่มีน้ำนม
เด็กแรกเกิดจะร้องไห้ก็ต่อเมื่อหิวหรือเมื่อถ่าย นางยังพูดไม่ได้หากผู้ใหญ่อย่างพวกตนดูแลนางไม่ดีนางจะไม่เสียใจเอาหรือ?
นางจ้าว พูดอย่างไม่แน่ใจนัก “ข้าก็คิดอย่างนั้น ข้าจะให้นมนางและดูว่านางยังกังวลอยู่หรือไม่”
ด้วยเหตุนี้ นางจ้าว จึงเตรียมที่จะป้อนนมเเก่ซูเสี่ยวหลู่
ซูซานหลางชำเลืองมองออกไป
ซูเสี่ยวหลู่ส่ายหัว
เธอไม่หิวสักหน่อย
ซูเสี่ยวหลู่ไม่ได้กิน นางจ้าวจึงจัดระเบียบเสื้อผ้าของตนเองอย่างเศร้าหมองและพูดว่า “นางคงไม่หิว”
ขณะที่พูด นางก็ดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ การคาดเดาจึงเกิดขึ้นในใจของนาง นางอุทานว่า “เป็นไปไม่ได้”
เมื่อซูซานหลางเห็นเช่นนี้ เขาจึงรีบถามขึ้นว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร? วันนี้เกิดอะไรขึ้นรึ”
โดยไม่รอให้นางจ้าวตอบ ซูซานหลางพูดอย่างกระวนกระวายว่า “วันนี้เจ้าเริ่มทำงานหรือยังเจ้าเพิ่งให้กำเนิด ซีเม่ย และร่างกายของเจ้ายังอ่อนแออยู่ มันไม่ง่ายเลยที่เจ้าจะรอดมาได้ เจ้าจะทำงานได้อย่างไร!”
เมื่อเห็นว่าซูซานหลางกระวนกระวาย นางจ้าวจึงรีบอธิบาย “ซานหลาง ข้าไม่ได้กังวล มันเป็นแบบนี้ ฟังข้าวันนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นมาก ข้ารู้สึกเริ่มมีเรี่ยวมีแรงไม่เหน็ดเหนื่อยเลยจึงอยากลุกขึ้นมาจัดบ้านสักหน่อย แต่น่าแปลกทันทีที่ข้าอยากออกไป ซีเม่ยก็ร้องไห้ทันที…”
เมื่อคิดถึงตอนนี้ นางจ้าว รู้สึกว่าไม่น่าเชื่ออยู่บ้าง บางทีลูกสาวตัวน้อยคนนี้อาจจะจำนางไม่ได้หากแต่ไม่ต้องการให้นางทำงานต่างหาก
นางจ้าว มองไปที่ดวงตาที่สดใสของซูเสี่ยวหลู่ นางพูดต่ออย่างอ่อนโยนว่า “ข้ายังขอให้ ซานเม่ยเข้ามาดูแล ซีเม่ยแต่ถึงอย่างนั้น ซีเม่ย ก็ยังร้องไห้อยู่ดีถ้าหากข้าออกไป”
ซูซานหลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเอนตัวไปอุ้มซูเสี่ยวหลู่ขึ้นมา เขายิ้มและพูดว่า “ซีเม่ยของเราฉลาดจริงๆ นางรู้วิธีดูแลแม่ของนาง ช่างเป็นลูกที่กตัญญู”
ซูเสี่ยวหลู่หยุดรู้สึกเสียใจและมองไปยังซูซานหลางอย่างจริงจัง
พ่อของเธอช่างทำให้เธอมืดแปดด้านจริงๆ
อย่างไรก็ตาม แขนที่กว้างและดวงตาที่อบอุ่นและอ่อนโยน การมีพ่อแบบนี้ก็มีความสุขมากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
แม้ว่านี่จะเป็นสมัยโบราณ แม้ว่ามันจะยากไปสักหน่อย เเต่เธอก็ต้องการให้ครอบครัวนี้มีชีวิตที่ดี
ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน การเป็นหมอก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าจะมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน นอกจากนี้ เธอยังมีทักษะด้านการแพทย์แผนจีนมามากกว่า 20 ปี และมีมิติ คอยช่วยเหลือเธอ มันคงไม่มีปัญหาแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ ซูเสี่ยวหลู่จึงยิ้มกว้างให้กับซูซานหลาง
หัวใจของซูซานหลาง เต็มไปด้วยความอบอุ่น เขารู้สึกว่าความเหนื่อยล้าหายไปพร้อมกับรอยยิ้มของบุตรสาว ตนก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ “ซีเม่ย เชื่อฟังมากจริงๆ” เขาพูดอย่างอ่อนโยน “เเถมเจ้ายังรู้วิธีดูแลแม่อีกด้วย”
หลังจากชมลูกสาวของเขาแล้ว ซูซานหลางก็หันไปหานางจ้าวและพูดอย่างจริงจังว่า “เดือนนี้เจ้าต้องพักผ่อนให้ดี ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ค่อยได้อยู่ไฟ ดังนั้นดูแลตนเองให้ดี ไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเจ้าในตอนนี้ ปล่อยให้ข้าดูเเลครอบครัวเถอะ หมอหวู่บอกว่าร่างกายของเจ้าอ่อนแอมาก ดังนั้นเจ้าต้องพักฟื้นให้ดี ถ้าหากร่างกายเจ้าพังไปลูกๆเราจะเป็นอย่างไร”
ซูซานหลางต้องการจะบอกว่าตนอยากจะแก่เฒ่าไปพร้อมกันกับนาง แต่เขาไม่สามารถพูดคำหวานเลี่ยนเช่นนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเชื่อหมอหวู่เเละเลี้ยงดูลูกๆ
คำพูดของหมอหวู่น่าเชื่อถือ และนางจ้าวก็เป็นห่วงลูก ๆ ของพวกเขามากที่สุด ดังนั้นเพื่อลูก ๆ นางจะดูแลร่างกายของนางให้ดี
นางจ้าว รู้สึกมีอะไรจุกอยู่ในลำคอนางพยักหน้าซ้ำ ๆ "ตกลงตกลง. ข้าจะฟังเจ้า เดือนนี้ต้องลำบากเจ้าเเล้ว
ซูซานหลางไม่ใส่ใจ “ข้าไม่ลำบากเลย”
"เจ้าพักผ่อนเถิด. ข้าจะออกไปตัดวัชพืชและซ่อมหลังคาในวันที่อากาศยังดีอยู่”
หลังจากพูดคุยกับนางจ้าวมากมายและรู้ว่านางกับบุตรสาวคนเล็กของพวกเขาสบายดี ซูซานหลางจึงออกไปตัดวัชพืชอย่างสบายใจ
ขณะที่เขาออกมา เขาพูดกับซูชง ซูฮั่ว และซูซานเม่ยที่ลานบ้านว่า "ซูชง ซูฮั่ว ซานเม่ย พวกเจ้ามานี่สิ"
สามพี่น้องเดินไปอย่างเชื่อฟังและเงยหน้าขึ้นมองซูซานหลาง พวกเขาส่งเสียงเรียกพร้อมกันว่า “ท่านพ่อ”
มีบางอย่างผิดปกติกับสมองของซูชงและซูฮั่ว ดวงตาของพวกเขาจึงดูว่างเปล่าอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าพวกเขาเป็นเด็กสามหรือสี่ขวบที่ไม่มีวันโต อย่างไรก็ตาม ซูชงอายุได้สิบเอ็ดปีแล้ว และซูฮั่วก็กำลังจะอายุครบสิบขวบในเดือนธันวาคมนี้ ในทางกลับกัน ซูซานเม่ยอายุได้หกขวบ แต่นางเป็นเด็กเรียบร้อยดวงตาสดใส
ซูซานหลางลูบหัวของพวกเขาทีละคนและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าใหญ่เจ้ารอง พ่อมีภารกิจให้พวกเจ้าทำ ดึงวัชพืชในบ่อน้ำของเราให้สะอาดและนำโคลนที่มีกลิ่นเหม็นนั้นออกไปทิ้งข้างนอก เสร็จแล้วพ่อจะย่างเกาลัดให้พวกเจ้าคืนนี้ ดีหรือไม่?”
บ่อน้ำไม่ลึกมากนัก มันถูกสร้างขึ้นพร้อมคันโยกดึง แต่ไม่ได้ใช้มานานหลายปีแล้ว และครึ่งหนึ่งก็เต็มไปด้วยโคลนเหม็น
เมื่อทำความสะอาดอย่างดีแล้ว การใช้น้ำที่บ้านก็จะง่ายขึ้นมากนัก
ตอนนี้ยังไม่หนาวมากนัก ดังนั้น เด็กสามคนที่บ้านจึงสามารถทำงานกันได้
"ขอรับ."
ซูชงและซูฮั่วอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากเมื่อได้ยินว่ามีอาหารรออยู่ พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก แต่พวกเขาก็รู้ว่ามีอาหารกำลังรอพวกเขาอยู่หลังจากทำงานเสร็จ
ถ้าพวกเขาได้กินอาหารดีๆ ท้องของพวกเขาคงจะมีความสุขมาก
ซูซานเม่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อย่าห่วงไปเลยท่านพ่อ ท่านพี่กับข้าจะตั้งใจทำงาน”
ตอนนี้อายุของนางหกขวบเเล้วนางจึงเข้าใจเเล้วว่าท่านพี่กับนางมีความเเตกต่างกันเล็กน้อย คนอื่นมักจะเรียกพวกเขาว่าคนโง่ นอกจากนี้นางเองก็ยังคิดว่าพี่น้องของตนช่างโง่เขลาและมักจะไม่เข้าใจคำพูด
แต่ถึงกระนั้นพี่ชายทั้งสองของนางก็ยังเด็ดผลไม้ป่ารสเปรี้ยวอมหวานให้นางกินอยู่เสมอ พวกเขาดีกับนางมาก ทุกครั้งที่พวกเขายิ้มให้นาง สายตาก็จับจ้องมาที่นางราวกับหิมะที่ไร้มลทิน ไม่ว่าพี่น้องของคนอื่นจะดีสักเพียงใด เเต่พวกเขาก็ไม่ใช่พี่น้องของตน
ไม่ว่าพี่น้องของนางจะไม่ฉลาดสักเพียงใด ทว่าพวกเขาก็ยังคงเป็นพี่น้องที่ดีสำหรับนางมาก
ซูซานหลางรู้สึกยินดีที่เห็นลูกๆ ทั้งสามของเขาเชื่อฟังและออกไปตัดหญ้า
เขาได้รับเพียงจอบ เคียว และกระบุงซึ่งหักมานานกว่าทศวรรษเป็นเครื่องมือ กระบุงอันหนึ่งหักครึ่ง และหูข้างหนึ่งก็หักตรงที่เขาถืออยู่ มันไม่ง่ายที่จะถือหรือใช้งาน แต่มันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เขาถือกระบุงที่มีเชือกสะพายขาดๆเดินไปตัดหญ้า
บ้านเก่ามีสภาพทรุดโทรม ถ้าเขาไม่รีบปรับปรุงหลังคา มันคงจะเป็นฤดูหนาวที่ยากลำบากสำหรับครองครัวตน เมื่อนึกถึงภรรยาและลูก ๆ ของเขา ซูซานหลางก็ยิ่งทำงานหนักขึ้นและในไม่ช้าเขาก็ตัดปะรอยขนาดใหญ่บนหลังคาเสร็จ
หลายคนที่กำลังเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เมื่อพูดถึงตระกูล ซู ทุกคนรู้ว่าดีว่า ผู้เฒ่าซู นั้นโหดเหี้ยมและ เเม่เฒ่าหวังก็ดุร้าย?
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องดีที่จะพูดถึงเรื่องของคนอื่นลับหลัง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะช่วยพูดเเทนซูซานหลางจริงๆ ซูซานหลางไม่ใช่ลูกชายของพวกเขาสักหน่อย ถ้าพวกเขายืนหยัดเพื่อเขา พวกตนจะไม่รนหาเรื่องส่งตัวเองไปให้เเม่เฒ่าหวังสาปแช่งเอาหรือ?
“พี่สาม”
เสียงเรียกซูซานหลางนั้นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็วและพูดว่า “หูจื่อ ครอบครัวของพวกเจ้ายุ่งมากไม่ใช่รึ เจ้าอย่ามาเสียเวลาที่นี่”