บทที่ 15
ตอน ความจริงที่แสนเศร้า
ค่ำคืนที่แสนยาวนาน วิวยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงนอนที่มีแต่กลิ่นไอของยาสมุนไพรมากมายรายล้อมตัวเขาอยู่ ร่างกายที่เจ็บปวด มันแผ่ความร้อนไปทั่วกายราวกับผิวจะไหม้แตกเป็นชิ้น ๆ จิตใจลึก ๆ ของเขาพยายามคิดหาคำตอบมากมาย สุดท้ายสมองก็ทนต่อความอ่อนเพลียไม่ได้เขาได้จมดิ่งในห่วงแห่งราตรีโลกแห่งความฝันอีกครั้ง
บนยอดเขาสูงเขายืนนิ่ง ดวงตาเปิดกว้างมองรอบ ๆ ตัว มีแต่หน้าผา วิวคิด เราฝันอะไรอีกนี่ เขาเรียกหา “องค์หญิง ท่านอยู่ที่นี้หรือเปล่า ผมมีคำถามจะถามท่านนะครับ”
“เจ้าเป็นมนุษย์ที่มีแต่คำถาม” องค์หญิงพูดขึ้น เธอปรากฏกายข้าง ๆ เขา
วิวหันมองเธอแล้วยิ้ม “องค์หญิง ท่านเจอศิลาได้อย่างไร”
เธอยิ้ม “ศิลาไม่เคยหายไปไหน มันอยู่ที่วังภูผาตลอด หลังจากสงครามครั้งนั้น พ่อกับแม่ได้อุทิศตนเองปกป้องศิลานั้น มันปลอดภัยมาตลอดหลายพันปีทำให้ทุกอย่างสงบสุข ทุกดินแดนมีความสุขร่มเย็น เมื่อเราอายุได้ 1500 ปี ท่านแม่ได้มอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้ สร้อยคอจี้ที่งดงาม ให้เจ้าเดาว่ามันคืออะไร”
วิวพูด “ดวงตาสีเพลิง”
เธอพูดต่อ “ใช่ มันคือกุญแจของศิลา ท่านแม่ได้จดบันทึกเกี่ยวกับมันไว้เท่าที่ท่านรู้เพื่อให้คนรุ่นหลัง รู้ว่าดวงตาสีเพลิง หรือศิลาคืออะไร มันสามารถยับยั้งสงครามได้ และจองจำสิ่งชั่วร้ายได้ แต่ก็นั่นแหละ ทุกคนคิดว่าดวงตาสีเพลิงได้หายสาปสูญไปแล้ว แต่มันก็ดีที่เป็นเช่นนั้น หลังจากนั้นไม่นานท่านแม่ก็คลอดน้องชายตัวน้อยออกมา ดูเหมือนชีวิตจะมีความสุขใช่มั้ย พวกเราเกิดในครอบครัวเทพผู้พิทักษ์ สายเลือดหนึ่งเดียวที่ครองดินแดนแห่งนี้เพื่อรักษาสมดุลจุดเชื่อมต่อระหว่างมนุษย์และเซียน”
วิวถาม “สายเลือดหนึ่งเดียวหรือครับ”
เธอพูดต่อ “ใช่ ส่วนใหญ่เทพผู้พิทักษ์จะดับสูญเพื่อปกป้องผู้อื่นเสมอ หากไม่แข็งแกร่งพอชีวิตก็แสนสั้น” เธอถอนหายใจแล้วมองขอบฟ้าเบื้องหน้าด้วยแววตาที่แสนเจ็บปวด
วิวมองหน้าองค์หญิง แววตานั้นช่างเหมือนเวนมาก “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“หลังจากเวนเกิดได้ไม่นาน จอมมารเจ้าแห่งอเวจี ปีศาจที่ชั่วร้ายต้องการยุติข้อตกลงสันติสุข พวกมันตามหาศิลาเพื่อต้องการให้ทั้งสามโลกอยู่ใต้อานัสของมัน ได้เกิดสงครามเข็ญฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ขึ้น สงครามที่ฉันต้องเสียพ่อกับแม่ไป ฉันจมอยู่ในความแค้นนั้นยาวนาน ฉันฆ่า ออกตามล่า และสร้างสงครามขึ้นเรื่อย ๆ ครั้งหนึ่งฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสเหล่าทหารเริ่มเสียกำลังใจ ทุกคนคิดว่าฉันจะตาย เด็กน้อยคนหนึ่งเขาเดินเข้ามาในห้องที่ทุกคนสิ้นหวัง และนั้นเป็นครั้งแรกที่พวกเรารู้ว่าเวนเป็นเทพไม่เหมือนคนอื่น เขาพิเศษ เพราะเขามีพลังของดวงแก้ว ที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับเขาซึ้งหายากมากที่จะเกิดขึ้น สุดท้ายฉันก็ฟื้นตัว กำลังฉันกลับคืนมา แต่ก็ทำให้เวนอ่อนแอลง บ่อยครั้งที่เขาถ่ายพลังให้ฉัน แล้วตัวเองต้องนอนหลับอยู่อย่างนั้นหลายวันกว่าจะฟื้นตัว”
วิวพูด “ผมเสียใจด้วยที่องค์หญิงต้องสูญเสียท่านพ่อท่านแม่”
เธอพยักหน้ารับคำปลอบใจนั้น “รู้มั้ยสงครามครั้งนั้นพวกเราแพ้เหล่าเทพ เหล่าเซียน เหล่าอสูญผู้บำเพ็ญต่างพากันล้มตาย เลือดนองไปทั่วดินแดน ในความสิ้นหวังนั้น มันทำให้ฉันคิดถึงสิ่งที่ท่านแม่บอกเกี่ยวกับศิลา และฉันก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร ฉันเดินทางออกไปยังดินแดนที่หนาวสุดขั้วบนโลกใบนี้ ไปยังที่ศิลาถูกเก็บซ้อนไว้ และใช้พลังของศิลาและพลังของตนเองที่เหลืออยู่ จองจำจอมมารไว้ได้ แต่ด้วยพลังชีวิตของฉันเหลือน้อยจึงไม่สามารถจองจำได้ทั้งหมด เมื่อศิลาแตกเป็นสี่ส่วน ฉันผนึกศิลาไว้ แล้วส่งมันไปทุกจุดของมุมโลกเพื่อหวังไม่ให้ใครได้พบเจอมันอีก สุดท้ายดวงจิตของฉันก็ถูกผูกไว้กับดวงตาสีเพลิงและถูกฝั่งจมอยู่ใต้น้ำแข็งเป็นเวลายาวนานหลายพันปี หลังจากนั้นข้าก็ตื่นขึ้นมาเจอกับพ่อของเจ้าและก็เจ้า”
วิวสงสัยเขาครุ่นคิด ทำไมพวกมันถึงตามหาศิลาเจอได้ทั้ง ที่องค์หญิงได้ผนึกมันไว้
“เจ้ายังสงสัยอะไรอีกมั้ย” เธอถามขึ้น
วิวยิ้ม “แล้วทำไมพวกมันถึงเจอศิลาได้ละครับ”
เธอตอบ “ศิลามีทั้งด้านดีและด้านมืดแต่อยู่ที่ผู้ครอบครองมันจะใช้มันอย่างไร ศิลาร้องเรียกหากุญแจเสมอ ยิ่งพลังที่ฉันผนึกมันไว้อ่อนแอลงตามกาลเวลา พลังของศิลาก็ยิ่งปรากฏให้เห็นมากขึ้น พวกจอมมารที่หลงเหลืออยู่ย่อมรับรู้ถึงพลังได้แน่นอน”
วิวบ่น “หลงเหลืออยู่เยอะมากด้วย ฆ่าก็ไม่หมด”
“เจ้าเหมือนเด็กน้อยที่คอยแต่จะหาคำตอบ”
วิวยิ้ม “มันทำให้ผมเข้าใจ ว่าผมต้องทำอย่างไรต่อ ภาพแววตาคู่นั้นของเวน ที่รู้ว่าพี่สาวยอมสละชีวิตเพื่อผม มันทำให้ผมรู้สึกแย่ ตอนนี้ผมเข้าใจเขามากขึ้นแล้ว”
เธอเดินเข้ามากอดวิว “อย่าเจอฉันบ่อยเลย เพราะถ้าเธอต้องเจอฉันบ่อยมากเท่าไร นั้นหมายถึงเธออ่อนแอ่ลงทุกที”
“ครับ” แล้ววิวก็ถูกส่งกลับมา