บทที่ 10
ตอน ส่งตัวเจ้าสาว
เมื่อถึงวันที่ต้องส่งตัวเจ้าสาว ขบวนเกี้ยวจากในวังก็มาถึงตามเวลาที่กำหนด บนท้องถนนเต็มไปด้วยการตกแต่งด้วยผ้าแดงทุกบ้านเรือน ชาวบ้านต่างออกมายืนดูขบวนเกี้ยวที่ยิ่งใหญ่ พี่สาวส่งลู่เหลียนขึ้นเกี้ยว ครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งไม่มีใครได้กราบไหว้ฟ้าดินก่อนจะผ่านคืนแรกไปได้ แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้ต้องการให้กราบไหว้ฟ้าดินก่อนส่งตัว การจัดงานเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ งานถูกจัดขึ้นภายในวัง โดยทุกคนรอเกี้ยวเจ้าสาวอยู่ที่ลานพิธี โดยมีพ่อแม่ มีฮ่องเต้และฮองเฮา พระสนมหวงกุ้ยเฟย พระสนมกุ้ยเฟย และเหล่าองค์ชายองค์หญิงและองค์รัชทายาททุกคนต่างยืนรอด้วยความตื่นเต้น เมื่อฤทธิ์ดีมาถึงเกี้ยวก็มาถึงราชวัง หว่านเอ่อร์เปิดม่านให้ลู่เหลียนเดินออกมา องค์ชายสี่ยืนมือให้เธอจับ แล้วพาเข้าราชวัง ลู่เหลียนก้มหน้าเธอมองเห็นแต่พื้นด้านล่างเท่านั้นเพราะถูกคลุมผ้าแดงไว้ เมื่อถึงลานหน้าพระพักตร์ พิธีก็เริ่มการกราบไหว้พาดิน งานทุกขั้นตอนผ่านพ้นไปด้วยดี และทุกอย่างก็สิ้นสุดลง
“ได้เวลาส่งตัวเจ้าสาวแล้ว” กงกงพูด
องค์ชายสี่พาลู่เหลียนกลับจวน เมื่อเกี้ยวรถม้าออกตัว องค์ชายปล่อยมือเธอทันที ลู่เหลียนกำลังจะเปิดผ้าคลุมออก
องค์ชายได้ห้ามเธอเอาไว้ “เมื่อถึงเวลาข้าจะเปิดหน้าเจ้าเอง”
“ก็แค่เปิดผ้าเองไม่เห็นจะต้องเรื่องใหญ่”
“เสด็จพ่อ แม้จะสั่งให้ข้าอภิเษกถึงสามครั้ง แต่ครั้งนี้ท่านทำตามพิธีทุกอย่าง คงคิดว่าเจ้าจะอยู่พ้นคืนแรกได้”
“ไม่ต้องห่วง หม่อมฉันอยู่ถึงพรุ่งนี้แน่” แล้วทันใดนั้นรถม้าก็ตกหลุม ทำให้ลู่เหลียนล้มพิงอกขององค์ชายสี่ซึ้งผ้าคลุมหน้าก็หลุดออกทั้งสองจ้องมองหน้าซึ่งกันและกัน เป็นครั้งแรกที่องค์ชายสี่เริ่มรู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงผิดปกติ ลู่เหลียนยกตัวเองออก “คงไม่ต้องปิดหน้าแล้วกระมั่ง”
“แล้วแต่เจ้า”เขาดึงสติกลับมา
เมื่อมาถึงจวนทุกคนต่างยืนรอตอนรับ องค์ชายสี่ลงจากเกี้ยว เขาเดินจากไปโดยไม่ได้สนใจลู่เหลียนอีก หว่านเอ่อร์รับตัวนางลงจากเกี้ยว สาวใช้พาลู่เหลียนไปยังเรือนห่อ เธออยู่ในห้องหลายชั่วยามแล้ว จนพระอาทิตย์ได้ลาลับจากขอบฟ้าแทนที่ด้วยท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์คืนนี้สว่างมากเพราะเป็นคืนเดือนเต็ม หว่านเอ่อร์ถูกสั่งให้กลับห้องนอนของตัวเอง หน้าห้องมีแต่องครักษ์ที่สนิทแค่สองคนเท่านั้นยืนเฝ้าอยู่ เมื่อถึงเวลา องค์ชายสี่เดินมาตามทางที่มืด มีแสงเทียนไม่กี่ดวงที่จุดอยู่ บรรยายกาศอึมครึม ไม่สว่างมากเท่าไร
“จัดเตรียมรถม้าให้นางเสร็จเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เรียบร้อยพ่ะย่ะคะ”
ลู่เหลียนเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง เมื่อประตูห้องเปิดออก องค์ชายดับเทียนทั้งหมดในห้องจนมืด
“ท่านดับไฟทำไม”
“ไปซะ”
“หม่อมฉันบอกแล้วไงว่าไม่มีทาง จะอยู่พ้นคืนแรกให้ได้”
“เจ้าอยากรู้ว่าข้าดับไฟทำไมใช่หรือไม่”
“อย่างนั้นก็ฟังสิ่งข้าจะบอกเจ้าก่อน หากเจ้าคิดว่ารับมันได้ข้าถึงจะให้ห้องนี้สว่าง”
“อะไรของท่าน”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าคงรู้เรื่องของข้ามาบ้างแล้ว ดูเหมือนการแต่งงานครั้งนี้เสด็จพ่อมั่นใจมากว่าเจ้าจะไม่หนี”
“รู้และก็ไม่หนีด้วย”
“มันเริ่มต้นเมื่อหมอเทวดารักษาข้า ตอนที่หมอเทวดารักษาข้าเพื่อให้หายจากภาพหลอนเหล่านั้น มันต้องแลกมาด้วยคำสาป เพราะตัวข้าเองสมควรตายตั้งแต่จมน้ำแล้ว ท่านหมอบอกว่าข้าต้องเลือกเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วสร้างกำแพงปิดกั้นภาพหลอนนั้น ภาพหล่อนที่ข้าไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร โดยการรักษานั้นข้าต้องฝึกสับเปลี่ยนลมปรานเพื่อสร้างกำแพงฝั่งภาพหล่อนไว้ในห้วงแห่งความมืด ข้าไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่ก็อยากลอง มันกลับได้ผล และนั้นคือสิ่งที่ข้าจำได้ ตื่นขึ้นมาอีกครั้งภาพหลอนเหล่านั้นได้หายไป แต่ดูเหมือนความทรงจำบ้างอย่างของฉันก็หายไปด้วย ทิ้งเพียงแต่คำสาปไว้ ข้าไม่เคยเชื่อถึงคำสาปนี้ จนกระทั้งคืนแรกมาถึง ข้านอนหลับอยู่แต่ต้องรู้สึกตัวตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด”
“เกิดอะไรขึ้น”
“เจ้ารู้หรือไม่ยารักษาคำสาปนี้คืออะไร” เขาบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ
“คืนนั้นท่านหมอมาหาข้า เขาได้บอกวิธีรักษาคำสาปนี้ คำสาปนี้มีชื่อเรียกว่า เจ็ดอสูร เจ้าไม่ได้อ่านจดหมายที่ข้าวางไว้ให้เจ้าอ่านเหรอ”
“นี่องค์ชายสี่หม่อนฉัน…” ลู่เหลียนคิด แม้เธอจะเห็นจดหมายแต่ก็อ่านมันไม่ออกอยู่ดี “หม่อนฉันไม่ขออ่านจดหมายนั้น แค่ขอได้ยินจากปากของท่าน”
“ยาที่รักษาคำสาปนี้ได้ คือเลือดของสตรีที่แต่งงานกับข้าในคืนแรกอย่างเต็มใจ”
“ห่า”
“ข้าต้องกินเลือดของเจ้าถึงจะล้างคำสาปนี้ได้ เป็นเวลา 7 วัน ติดต่อกัน”
“บ้าไปแล้ว นี้คือวิธีของท่านที่ไล่พวกเธอออกจากจวนอย่างนั้นหรือ”
“แล้วเจ้าคิดว่าไง”
“ท่านมันเป็นคน….โรคจิต”
“หากเจ้าไม่ยอมให้ข้าดื่มเลือดล้างคำสาปก็ไปซะ”
“หม่อมฉันให้ท่านดื่มก็ได้” องค์ชายสี่ตกใจในคำตอบเพราะไม่มีใครยอมให้เขาดื่ม ทุกครั้งที่เขาเล่าถึงจุดนี้พวกนางก็ของถอนตัวล้มงานแต่งทันที
“แต่ท่านต้องทำให้ห้องนี้สว่างก่อน หม่อมฉันถึงยอมให้ท่านดื่มเลือดได้”
ลู่เหลียนไม่คิดที่จะให้เขาดื่มเลือดจริง ๆ เพียงแค่สงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องอยู่ในความมืดแบบนี้ เธอคิดแค่ต้องการหาคำตอบให้ฮ่องเต้ก็เท่านั้น
“ได้” แล้วเขาก็ทำให้ไฟในห้องสว่างขึ้นมาทันที แค่โบกมือแสงเทียนในห้องก็สว่างขึ้น ลู่เหลียนมองสิ่งที่เห็นตรงหน้าด้วยความตกใจ สิ่งที่เธอเห็น ร่างกายขององค์ชาย
“นี่มัน”
“นี่คือคำสาปเจ็ดอสูร”เขาเดินเข้าหานาง เธอถอยหลังหนีจ้องมอง ผิวกายเขาเป็นเกร็ดสีเงิน สีหน้าซีดเผือก มีดวงตาสีแดงกล่ำ มีแผลพุพองทั้งหน้าและตัว ผมขาวทั้งหัว มีเขาที่หัวสองข้าง หลังค่อม เธอรีบเดินถอยหลังออก
“ท่านไม่ใช่คน”
“นี้คือคำสาปที่ข้าต้องเจอทุกคืน”เขายังคงเดินเข้าหาเธอ ลู่เหลียนเดินถอยออก เขาจึงหยุดเดิน
“เจ้าไปซะ” เขายืนหันหลังให้ทันทีที่เห็นนางเดินถอยออกจากเขา
ลู่เหลียนไม่รอช้ารีบเปิดประตูพร้อมที่จะออกจากห้อง แต่ก่อนที่นางจะออกไป “เจ้าคงมีเรื่องที่จะรายงานเสด็จพ่อแล้ว”
เธอรีบปิดประตู ทหารที่รออยู่หน้าห้อง พวกเขาได้พาลู่เหลียนและหว่านเอ่อร์ไปส่ง
“ข้าจะไปส่งท่านที่รถม้า เพื่อกลับจวน”
ลู่เหลียนเดินตามองครักษ์ของเขาไป เธอมองภายในจวนที่มีแต่ความสลัวของแสงเทียนไม่กี่แท่งเท่านั้นที่จุดไว้ ไร้เสียงผู้คนต่างจากเมื่อตอนที่เธอมา มีแต่ทหารไม่กี่คนที่ยืนยามอยู่ เมื่อมาถึงเกี้ยว เธอหยุด เธอหันไปถามองครักษ์ “เจ้ารู้ใช่ไม่ว่าองค์ชายเป็นอะไร”
“รู้ขอรับ มีแค่ข้าและองครักษ์อีกคนเท่านั้นที่รู้ ตอนนี้อาจจะรวมท่านด้วย เพราะองค์ชายไม่เคยให้มีแสงสว่างในห้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านให้ใครเห็นภาพนั้น”
“เจ้าจะบอกว่าคนที่แต่งงานกับองค์ชายไม่เคยเห็น”
“ใช่ขอรับ เพราะพวกเธอหนีออกมาก่อนที่จะได้เห็น”
ลู่เหลียนคิด แล้วเธอก็ตัดสินใจได้
“เอารถม้าไปเก็บ หว่านเอ่อร์เจ้ากลับไปนอนเถอะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับองค์ชาย” แล้วเธอก็เดินกลับไปที่ห้อง องครักษ์ยืนยิ้ม เธอยืนหน้าห้อง สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเปิดประตูห้อง ทำให้องค์ชายสี่ที่ยืนมองพระจันทร์อยู่ที่หน้าต่างถึงกับตกใจ เขาหันมองมาในเงามืด
“หม่อมฉันไม่ชอบความมืด”
“ลืมสิ่งใดไว้หรือ”
เธอเดินเข้ามายืนข้าง ๆ เขา
“ลืมคำสัญญา หม่อมฉันสัญญาไว้ว่าจะให้ท่านดื่มเลือด”
“ไม่กลัวตายแล้วหรือ”
“ท่านจะต้องดื่มเลือดหม่อมฉันเจ็ดวัน จนตายจริง ๆ เหรอ”
องค์ชายยิ้ม “หากข้าดื่มเลือดเจ้า เจ้ารู้หรือไม่เจ้าจะถอยไม่ได้อีก หากผ่านคืนนี้ไปเจ้าจะกลายเป็นพระชายาของข้า หากเจ้ามีคนอื่นอยู่ในใจ นี่คือโอกาสสุดท้ายที่เจ้าจะได้ไปจากที่นี่”
“หม่อมฉันต้องเข้าห่อกับท่านหรือ”เธอมีสีหน้ากล้า ๆ กลัว ๆ
“ข้าไม่คิดจะขืนใจสตรีหรอกนะ”
“โล่งอกไปที”เธอถอนหายใจ
“ข้ามีอีกเรื่องที่จะบอกเจ้า เมื่อคำสาปถูกถอนแล้ว ทุกสิบห้าวันอาการจะกำเริบหนึ่งครั้ง”
“แล้วอาการจะเป็นอย่างไร”
“ข้าไม่รู้ เพราะข้าไม่เคยถอนคำสาป ท่านหมอเทวดาบอกไว้แค่นี้ เจ้ายังจะให้ข้าดื่มเลือดอีกหรือไม่”
ลู่เหลียนปิดหน้าต่างห้องก่อนจะจับมือขององค์ชายสี่ เธอลากเขามาที่เตียงนอน
“หม่อมฉันอยากให้ห้องนี้สว่าง”
“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ”
“ถ้ากลัวจะกลับมาทำไม”
องค์ชายสี่ก็ทำให้ห้องสว่างขึ้นมา เธอมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“หม่อมฉันเชื่อว่าท่านต้องหาย” เธอส่งมือให้เขากัด เขามองหน้าเธอ แล้วก็กัดที่ข้อมือของเธอ เขาแอบมอง เธอหลับตามีสีหน้าบ่งบอกถึงความเจ็บปวด เมื่อเขาเห็นลู่เหลียนเจ็บ เขาปล่อยวางการกัดลง ไม่กัดมันอีกทำให้ลู่เหลียนต้องบอกเขา
“อย่าหยุด” เธอมองหน้าเขาที่มีที่ท่าลังเลอย่างเห็นได้ชัด เขาตัดสินใจกัดอีกครั้งและครั้งนี้เขาเองก็ดูดเลือดของเธอทันที ลู่เหลียนมองดูอาการของเขาที่ดูราวกับกระหายเลือด แล้วทันใด หลังที่ค่อมอยู่ ๆ ก็ได้หายไป แล้วเขาก็หยุดดื่มเลือดของเธอ
“มันถอนคำสาปได้จริง ๆ”เธอพูด
เธอยิ้มดีใจ มองหลังเขาที่หายค่อมแล้ว องค์ชายมองหน้าของเธอ เขามองแผลที่ข้อมือ เขาลุกออกจากเตียง นำน้ำมาทำความสะอาดให้เธอ พันแผลให้เธอด้วยความอ่อนโยน ลู่เลียนมองสิ่งที่เขาทำ หัวใจเธอเต็มอิ่มไปด้วยความสุข เธอคิด รอยยิ้มนี้คือเฮนรี่แน่นอน ไม่ว่านายจะเป็นใคร องค์ชายหรือเฮนรี่ ฉันเชื่อว่าคือคนคนเดียวกัน
“นอนเถอะ พรุ่งนี้เสด็จพ่อคงให้คนมารับเราแต่เช้า”
“นอนเหรอ”ลู่เหลียนเริ่มลังเล “ฉันไปนอนห้องหว่านเอ่อร์ก็ได้”
“เป็นพระชายาข้าแล้วคงไม่เหมาะ นอนเถอะ”
องค์ชายจับผ้าห่มและหมอน ปูผ้าแล้วนอนลงที่พื้นหน้าเตียง เขาดับไฟให้ห้องมืด เธอนั่งมองเขาที่นอนอยู่ เธอคิด เขาก็เป็นสุภาพบุรุษดีนี่
“ เออ…บอกตรง ๆ นะ หม่อมฉันไม่ชอบความมืด”
แล้วเขาก็ให้เทียนสว่างขึ้นมาสองแท่ง พอให้ห้องมีแสงสว่างเล็กน้อย ลู่เหลียนยิ้ม เธอนอนตะแคงมองเขาที่นอนพื้นแล้วอมยิ้ม ทั้งสองก็หลับไป