บทที่ 11
ตอน เจ้าแพ้แล้ว
เสียงรถเบรก ดังสนั่น “เฮนรี่ เฮนรี่”
องค์ชายสี่ ลุกขึ้นนั่งข้างๆ เธอ ใครคือเฮนรี่ ทำไมทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ข้าถึงปวดศีรษะแบบนี้
“เฮนรี่” เธอ ตกใจตื่น แต่ต้องตกใจมากกว่าเดิมที่เห็นองค์ชายสี่นั่งบนเตียง แต่ดูแล้วเขาไม่ค่อยสบายเท่าไร
“องค์ชายท่านเป็นอะไร”
“ไม่รู้ซิ เวลาเจ้าเรียกชื่อเฮนรี่ ข้าจะรู้สึกปวดหัว”
“ทำไมละ”
“เมื่อคืนข้าบอกเจ้าแล้วหากในใจเจ้ามีคนอื่นให้ไปซะ”
“ท่านไม่เข้าใจหรอก เอาเถอะ ถ้าชื่อนี้มีผลต่อท่านหม่อนฉันก็จะพูดให้น้อยลงแล้วกัน”
“นี่เจ้า”
แล้วลู่เหลียนก็รีบลุกจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัว สาวใช้เดินเข้าห้องมาทำความสะอาดห้องทันทีที่ทั้งสองเดินออกไป
หน้าประตูจวน ได้มีรถเกี้ยวม้าลาก หลังใหญ่รอรับพวกเขาอยู่ องครักษ์ทั้งสองบังคับรถม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวง
“ทำไมท่านรู้ว่าฝ่าบาทจะส่งรถม้ามารับพวกเราละ”
“เสด็จพ่อจับตาดูเราอยู่”
“นี่คือเหตุผลที่ท่านออกจากวัง เรื่องเกี่ยวกับคำสาป”
“ใช่ ข้าไม่อยากให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ต้องกังวล”
“หม่อมฉันจะทำอย่างไร จะตอบฝ่าบาทอย่างไร”
“แล้วแต่เจ้า”
“องค์ชายท่านไม่คิดจะช่วยหรือไง”
“จะบอกความจริงก็ได้”
“จะดีหรือ”
องค์ชายมองที่มือของลู่เหลียน เขาจับมือของเธอขึ้น จัดผ้าพันแผลให้ดูเรียบร้อย ลู่เหลียนจ้องมองเขาแล้วยิ้ม ทั้งสองสบตากัน เสียงหัวใจสองดวงที่เต้นไม่เป็นจังหวะ หน้าตาที่ร้อนซานไปทั่วร่างกาย ทำให้ลู่เหลียนรู้สึกอาย เขาเองก็รู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองเช่นกัน เมื่อรถม้าจอดก็เหมือนช่วยดึงสติทั้งคู่กลับมา ลู่เหลียนคิด ให้ตายยิ่งมองใกล้ก็ยิ่งหน้าหม่ำ คนอะไรหน้ากินซิบเปง เธอหลับตายิ้ม ซึ่งตอนนั้นองค์ชายยืนรออยู่นอกเกี้ยวแล้ว
“พระชายาขอรับ” องครักษ์หลิ่งเหวินพูดขึ้น
เธอตกใจได้สติ หน้าแดงกล่ำแล้วอมยิ้มก่อนลงจากรถม้า เขาส่งมือให้เธอจับ สองมือที่ประสานกันมันทำให้ลู่เหลียนคิดไปไกล เธอเดินเข้าวังไปพร้อมกับเขา ยิ้มไปตลอดทั้งทาง
“เจ้าไม่สบายหรือ”
“ใครค่ะ”
“ก็เจ้าไง”
“หม่อมฉันสบายดี”
“แต่หน้าเจ้าแดงมาก”
“ก็แค่อากาศร้อนนะ” เธอพูดเสร็จก็รีบเดินนำหน้าเขาไปไกล จากที่เดินดูราวว่าเธอกำลังจะวิ่งด้วยซ้ำ
“หลิ่งเหวิน เลี่ยงหรง พวกเจ้าร้อนหรือเปล่า”องค์ชายหยุดเดินหันไปถามพวกเขา
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วพูดพร้อมกัน “เปล่าครับ”
“หรือว่านางไม่สบาย”แล้วก็เดินตามนางไป
องครักษ์ยิ้ม พวกเขาส่ายศีรษะ เพราะรู้ว่าพระชายาคงรู้สึกเขินอายองค์ชายอยู่เป็นแน่ แต่องค์ชายกลับไม่รู้เลย
เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามาที่ตำหนักราชัน มีศาลากลางน้ำ
“พวกเราไม่ไปพบฝ่าบาทเหรอ”
“ตามมาเถอะนา”
ศาลากลางสระน้ำนี้รายล้อมไปด้วยดอกบัวหลากสีมากมาย สะพานไม้สีเหลืองทองทอดยาว ทุกคนนั่งคุยเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างมีความสุข เมื่อทั้งสองเดินมาถึงก็ถวายคำนับ
“ถวายบังคมเสด็จพ่อ ถวายบังคมฮองเฮา” องค์ชายสี่พูดเมื่อทุกคนเห็นก็ลุกขึ้นตอนรับด้วยรอยยิ้ม
“ถวายบังคมฮ่องเต้ ถวายบังคมฮองเฮา”
ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้ว “เจ้าเรียกข้าว่าอย่างไรนะ”
เธอมองหน้าองค์ชาย เขายิ้มเล็กน้อย “ขอประทานอภัยเพคะ เสด็จพ่อ”
“ต้องอย่างนี้ซิ พระชายาเจ้าฉลาด มาพร้อมกันแล้วก็ฉลองได้”
“มานั่งกับข้านะน้องสะใภ้” องค์หญิงโหย่วหมิงจับมือเธอ
“ค่ะ”
“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ข้าชื่อ องค์หญิงโหย่วหมิง หรือใครก็เรียกข้าว่าองค์หญิงรอง”
“ส่วนข้าชื่อองค์หญิงหนิงเอ๋อ หรือเรียกว่าองค์หญิงเล็ก”
“ทั้งสองพระองค์ช่างงดงามยิ่งหนัก”
“และนี่องค์รัชทายาท หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า”หนิงเอ๋อพูด แล้วเธอก็เงียบ “แต่ไม่มีใครเรียกชื่อนั้นแล้วตั้งแต่เป็นองค์รัชทายาท ช่างมันเถอะ”
“และนี่พี่ชายสุดหล่อของข้า องค์ชายสาม หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า องค์ชายรองหนิงอัน แต่เจ้าต้องระวังนะเขาชอบทำร้ายร่างกาย”
“เจ้านี่นะ เล่นไปทุกอย่างเลย”
“ค่ะ หม่อมฉันยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเพค่ะ”
“พูดธรรมดาเถอะ เวลานี้คือเวลาของครอบครัว” ฮ่องเต้พูด
ลู่เหลียนมองหาเสด็จแม่ขององค์ชายสี่ และพระสนมหวงกุ้ยเฟย ไม่ทันได้ถาม พวกนางก็เดินเข้ามาพร้อมกับในมือถือบางอย่างมาด้วย โดยมีองค์ชายน้อยเดินนำ ทุกคนลุกขึ้น องค์ชายสี่และลู่เหลียน ถวายคำนับทั้งสองพระองค์
พระสนมหวงกุ้ยเฟยเดินเข้ามา เธอพูดด้วยเสียงที่อ่อนหวานกับองค์ชายสี่
“องค์ชายสี่ ข้ามองเจ้าเหมือนลูกคนหนึ่ง แม้เจ้าจะไม่ชอบข้าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ข้าทำสิ่งนี้ให้เจ้ากับพระชายา ข้าไม่รู้ว่าเจ้าชอบหรือไม่แต่ข้าทำมันด้วยใจจริง ๆ” เธอส่งมอบชุดสีขาวปักด้วยด้ายแดงสลับด้ายทอง พับไว้อย่างสวยงาม องค์ชายสี่มองชุดด้วยความรู้สึกผิด ลู่เหลียนมองหน้าองค์ชาย เธอคิด ทำไมไม่รับมันละ
“หม่อมฉันรับ…” ไม่ทันพูดจบ องค์ชายสี่จับมือนางไว้ แล้วหันมอง เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะคุกเข่าต่อหน้าพระสนมหวงกุ้ยเฟย ลู่เหลียนเห็นอย่างนั้นเธอก็คุกเข่าตามทันที ทุกคนตกใจและยิ้ม ฮองเฮากับหวงกุ้ยเฟยน้ำตาไหล เสด็จแม่ของเขาก็ยิ้ม นางเช็คน้ำตาก่อนที่มันจะไหล
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ได้ทำให้พระสนมหวงกุ้ยเฟย
ต้องลำบาก และเสียพระทัย โปรดรับการคารวะของลูกด้วยเถอะ” เขาก้มลงพร้อมยกมือคำนับเล็กน้อย ลู่เหลียนก็ทำตามด้วย เธอคิดสมัยก่อนองค์ชายสี่คงร้ายหน้าดู
“ไม่เป็นไร เธอส่งผ้าให้สาวใช้ถือ แล้วรับการคารวะจากทั้งสองแค่นี้เราก็มีความสุขมากแล้ว” องค์ชายสามและองค์หญิงหนิงเอ๋อหันมองกันและกัน “ลุกขึ้นเถอะ อย่าลืมใส่ให้เราดูละ” เธอยื่นชุดให้ทั้งสองคนพวกเขารับด้วยรอยยิ้ม
แล้วฮองเฮาก็เดินเข้ามาหานาง ทั้งสองยิ้มให้แก่กัน
“เสด็จแม่” องค์ชายสี่พูด
เธอจับมือของลู่เหลียนวางทับมือองค์ชายสี่ไว้ “ขอให้พวกเจ้ามีความสุข”เธอยิ้มแล้วหันไปรับของขวัญ “ในกล่องนี้แทนความรักจากแม่”
ทั้งสองขอบพระทัยเสด็จแม่ แล้วทุกคนก็นั่งรายล้อมกินเลี้ยงพูดคุยกันอย่างมีความสุข ลู่เหลียนในตอนนี้เธอนั่งมองรอยยิ้มของทุกคน แล้วคิดถึงครอบครับของตัวเอง ตั้งแต่เธอจำความได้เธอต้องยืนอยู่บนคำสั่งของพ่อและแม่ตลอด กินข้าวด้วยกันแต่ละครั้งไม่เคยได้มีรอยยิ้มแบบนี้เลย ในซีรีย์ที่เราเคยดูไม่เหมือนพวกเขาเลยอาจเป็นเพราะฮ่องเต้ชอบใช้วิถีสามัญชนเลี้ยงดูพวกเขาจึงได้เกิดภาพที่หน้าประทับใจเช่นนี้
“เป็นอะไรอาหารไม่ถูกปากหรือ” ฮองเฮาถามลู่เหลียน
“เปล่าคะ แค่คิดถึงท่านพ่อท่านแม่เพค่ะ”
“นึกว่าอะไร จวนเจ้าไม่ได้อยู่ไกลจากตำหนักสักเท่าไร จะไปหาพวกเขาเมื่อไรก็ได้” ฮองเฮาพูด
ลู่เหลียนยิ้ม
“เราชอบเวลาแบบนี้จัง สงสัยต้องถึงเวลาของเจ้าแล้วองค์ชายสาม”
“เวลาอะไรหรือเสด็จพ่อ”
“อภิเษกสมรส”
“เสด็จพ่อก่อนถึงคิวข้าให้องค์รัชทายาทก่อนเถอะ”
“ไหนเจ้าโยนมาให้ข้าได้”
“ท่านพี่ถือว่าช่วยน้องสักครั้ง”
“ถ้าเจ้าอยากให้องค์รัชทายาทแต่งงานก่อน ชาตินี้พวกเราคงหาได้แต่งไม่”
ทุกคนยิ้ม
“เสด็จพ่อลูกยังไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับความรักในเวลานี้”
“ที่จริงข้าหมายตาไว้แล้ว เชื่อข้าเจ้าต้องชอบ”
ทุกคนยิ้ม
“เจ้าคิดว่าดีหรือเปล่าลู่เหลียน” ฮ่องเต้ถาม
“ทูลเสด็จพ่อ บางครั้งความรักจะเป็นสุขได้อาจต้องเกิดขึ้นด้วยใจที่หมายปอง”
“เจ้าหมายความว่าต้องให้องค์ชายสามเจอคนที่เขาชอบแล้วค่อยอภิเษกอย่างนั้นหรือ”
“โบราณว่าไว้ หากเราจะปลูกเรือนต้องถามผู้อยู่ หากปลูกแล้วใจไม่เป็นสุขก็ยากที่จะอยู่เช่นกัน”
“ข้าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าพูด พระชายาเจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก”
ลู่เหลียนคิด ดีนะที่เราเป็นนักเขียน คำพูดพวกนี้ใช่ได้จริง ๆ เธอยิ้ม
“เอาอย่างนี้ ข้าให้เวลาพวกเจ้า หนึ่งปี หากหาหัวใจที่เจ้าต้องการไม่ได้ข้าจะเป็นคนจัดการให้เอง ทั้งองค์รัชทายาทและองค์ชายสาม”
“ห่า” ทุกคนอึ้งไปตาม ๆ ลู่เหลียนยิ้ม สรุปแล้วกลายเป็นทำให้การแต่งงานเร็วขึ้นหรือเปล่านี่ ฮ่องเต้ช่างฉลาดจริง ๆ เธอคิดไปยิ้มไป
เมื่อเวลาผ่านไป ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้องค์ชายสี่และลู่เหลียนเข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัว
ที่ห้องบรรทม
“เจ้าแพ้ข้าแล้ว ที่นี่บอกความจริงข้าได้หรือยัง” ฮ่องเต้ถาม
“เห็นใดเจ้าจึงตั้งกฎเช่นนั้นกับข้า”
“กฎอะไรหรือเพค่ะ”
“รู้หรือไม่พระสวามีเจ้าตั้งกฎกับข้าว่าอย่างไร”
“ไม่ทราบเพค่ะ”
“เขาไม่ขัดค้านการแต่งงานแต่จะไม่ยอมทำพิธีจนกว่าจะผ่านคืนแรก หากพวกนางอยู่พ้นคืนแรกได้วันรุ่งคืนเขาก็จะอภิเษกดั่งที่ข้าต้องการแต่ถ้าหากพวกนางอยู่ไม่พ้นคืนแรกไม่ว่าด้วยเหตุผลใดข้าห้ามลงโทษที่พวกนางขัดราชองค์การ และข้ามีสิทธิ์ในอภิเษกได้ห้าครั้งเท่านั้น ข้าจึงอยากรู่ว่าเพราะอะไร เหตุใดผู้หญิงเหล่านั้นถึงไม่ผ่านคืนแรก” ทั้งสองเงียบ ลู่เหลียนมองหน้าองค์ชาย เธอรู้องค์ชายไม่มีวันที่จะตอบคำถามนี้เป็นแน่
“ทูลเสด็จพ่อ” องค์ชายมองลู่เหลียน
“เหตุที่นางไม่สามารถผ่านพ้นคืนแรกได้นั้นเป็นเพราะองค์ชายเป็นปีศาจจริง ๆ เพค่ะ”
“อะไรนะ”ฮ่องเต้ตกใจ องค์ชายเองก็ส่ายศีรษะ
“อย่าทรงตกพระทัยไปเลย ปีศาจของหม่อมฉันในที่นี่หมายถึงหนอนหนังสือนะเพค่ะ”
“หนอนหนังสือ”
“เพค่ะ”
“ยังไง”
“ในห้องขององค์ชายมีหนังสือที่พระองค์ทรงชอบอ่านมาก พระองค์นำหนังสือเหล่านั้นให้หม่อนฉันอ่าน แต่ละเล่มเป็นเรื่องที่หน้ากลัวสยดสยองมาก ตอนแรกหม่อนฉันก็ไม่ไหวเพค่ะ อ่านไปได้ครึ่งเล่มก็วิ่งออกจากห้อง แล้วโกรธมาก แต่ก็คิดได้ว่าทรงสัญญากับฝ่าบาทไว้เลยกลับไปนั่งอ่านมันจนจบ ก็ผ่านคืนแรกไปได้ด้วยความหวาดกลัว องค์ชายร้ายกาจมาก ไม่ยอมให้มีแสงสว่างมากพอในห้อง เพื่อที่จะให้หม่อมฉันหนีกลับจวนกลางดึก บรรยากาศหน้ากลัวสุด ๆ เพค่ะ หญิงสาวที่ไหนจะทนได้”
“หนังสืออะไร ช่างทำให้ข้าสนใจ”
ลู่เหลียนยิ้ม “หากฝ่าบาททรงอยากอ่าน อีกสองสามวันหม่อมฉันจะนำมาถวายนะเพค่ะ”
“ได้ซิ” ฮ่องเต้ยิ้ม แววตาของเขามองลู่เหลียนด้วยความเมตตา เขาคิด เขารู้สิ่งที่เจ้าพูดนั้นไม่ได้เป็นความจริงแต่อย่างไร แต่นางช่างฉลาดที่โยงเรื่องทุกอย่างให้สอดคล้องกับคนที่มารายงาน แต่เขากลับไม่รู้สึกโกรธนางแต่อย่างไร กลับรู้สึกสบายใจที่นางปกปิดความลับของลูกชายของเขาไว้
“ข้าอยากอ่านหนังสือเล่มนั้น”
“เพค่ะ”
“พวกเจ้ากลับไปเถอะ ใกล้จะมืดแล้ว”
ทั้งสองทูลลาแล้วเดินออกจากวังมุ่งตรงกลับจวน
“ฮ่องเต้ไม่เชื่อแน่นอน” ลู่เหลียนพูด
“รู้ว่าพระองค์ไม่เชื่อแล้วยังจะพูด”
“อยากให้หม่อมฉันบอกความจริงอย่างนั้นหรือ”
“แล้วทำไมไม่บอก”
ลู่เหลียนหลบหน้าเขา เธอไม่รู้จะตอบเขาว่าอย่างไร ได้แต่เงียบ
เขายิ้ม “แล้วจะเอาอย่างไรกับหนังสือสยดสยองของเจ้า ข้าจะหาที่ไหนไปถวายเสด็จพ่อ”
“ไม่ต้องห่วง ลู่เหลียนซะอย่าง”