บทที่ 6
ตอน สหาย
เจพี หรือ ลู่เหลียน เธอได้เก็บตัวอยู่ในห้องหลายวัน จนตัวเธอเองตระหนักและคิดไตร่ตรอง ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้คือความจริง หรือเธอเองย้อนเวลากลับมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะมีอยู่จริง ๆ แล้วเราจะกลับบ้านอย่างไรละ มีวิธีไหนบ้างที่จะกลับบ้านได้ เธอครุ่นคิด แต่แม้เธอจะคิดมากแค่ไหนมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นในเวลานี้เพราะมันไม่ได้ช่วยให้เธอคิดหรือหาวิธีได้ เธอจึงตัดสินใจเดินออกจากห้องมองโลกภายนอกว่าเป็นอย่างไร อากาศกำลังเย็นสบาย เธอมองข้างนอกไปรอบ ๆ ตัว ด้านหน้าเธอเต็มไปด้วยสวนต้นไม้ สวนดอกไม้ หินก้อนใหญ่ หญ้าปูพื้นสีเขียว ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างงดงาม เมื่อเธอเดินออก ก็เริ่มสำรวจไปทั่ว สาวใช้ต่างคำนับเธอพร้อมกับเรียกเธอว่า “คุณหนูรอง” เธอได้แต่ยิ้มรับกับทุกคน
เธอเดินมาถึง ต้นไม้ใหญ่ ได้ยินเสียงนกร้องอยู่ไม่ไกล เธอมองหาที่มาของเสียงนั้นก็พบเข้ากับลูกนกที่ตกลงมา
“นั้นบ้านของเจ้าใช่หรือไม่ เดี๋ยวฉันพากลับบ้านนะ”
เธอไม่รอช้า ปีนป่ายขึ้นต้นไม้อย่างคล่องแคล้ว วางนกน้อยไว้ในรังของมัน
“อย่าซนตกลงมาอีกละ” แล้วเธอก็มองไปรอบ ๆ “อยากเห็นข้างนอกจัง” เธอปีนขึ้นไปอีก
แล้วทันใดนั้นหว่านเอ่อร์ก็เดินมาพบเข้าพอดี เธอตกใจที่เห็นคุณหนูกำลังปีนต้นไม้อยู่
“คุณหนูค่ะ ลงมาเถอะคะ คุณหนูจะขึ้นไปทำไม”
“แค่อยากเห็นข้างนอก แปบนะ วิวสวยมาก”
“อยากเห็นข้างนอก ก็ออกทางประตูซิคะ ลงมาเถอะค่ะมันอันตราย”
ตอนนี้ทุกคนต่างร้องตะโกนให้เธอลงมา จนพ่อกับแม่มาเห็นเข้า พวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก
“ลู่เหลียนลูก ลงมานะ” แม่พูด
“เจ้าขึ้นไปทำไม”พ่อบ่น “ลงมาลูกมันอันตราย”
“ก็ได้ค่ะ” เธอคิดทำไมต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ด้วยแค่ขึ้นต้นไม้เอง
ในจังหวะนั้นเอง ลู่เหลียนได้เหยียบกิ่งไม้ที่ผุ จนทำให้ร่างของเธอตกลงมาจากต้นไม้ แต่ทว่าพี่สาวได้ลอยตัวคว้าร่างของนางไว้ได้ทัน
“เป็นอะไรหรือเปล่า” พี่สาวพูด
สีหน้าของลู่เหลียนตอนนี้ตกใจมากหายใจถี่ ๆ เธอมองหน้านาง
ทุกคนต่างรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างของเธอ
“แม่กับพ่อบอกแล้วว่ามันอันตราย เจ้าก็ไม่เชื่อ”
“ลูกไม่เป็นไรค่ะ ดีที่พี่สาวแสนสวยช่วยไว้” หว่านเอ่อร์มองหน้าคุณหนูใหญ่ เพราะนี้ไม่ใช่คำพูดที่ทุกคนจะเคยได้ยินจากนาง
“เจ้ามีวรยุทธทำไมถึงช่วยตัวเองไม่ได้”
“คือ …”
“หว่านเอ่อร์ เจ้าต้องรู้”
“คุณหนูใหญ่” หว่านเอ่อร์คุกเข่าต่อหน้าทุกคน ลู่เหลียนตกใจ เธอคิด ดุจัง
“ลุกขึ้นหว่านเอ่อร์” ลู่เหลียนพยุงร่างนางให้ยืน “พี่ใหญ่ท่านจะโกรธอะไรขนาดนั้น หว่านเอ่อร์ไม่รู้อะไรหรอก ฉันไม่ได้บอกอะไรนางเลย”
“ลู่เหลียน เจ้ามีอะไรปิดบังอยู่หลายวันมานี้เจ้าไม่ให้ใครเข้าพบ พ่อกับแม่และพี่เป็นห่วงเจ้าจนงานการไม่ต้องทำกันแล้ว พ่อกับแม่ทานไม่ได้นอนไม่หลับ จะพบเจ้าแต่เจ้าไม่อยากพบใคร เกิดอะไรขึ้น”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกขอโทษ ลูกแค่ต้องการเวลาเพื่อปรับตัวก็เท่านั้น” เธอหันไปจับมือแม่ที่ยืนขวัญเสียอยู่
“มีเรื่องอะไรก็บอกซิ” พี่ใหญ่พูด
“พี่ใหญ่ น้องสูญเสียวรยุทธ และก็สูญเสียความทรงจำบางส่วนไป เลยทำให้ไม่กล้าที่จะเจอใครหรือพูดกับใครนอกจากกับหว่านเอ่อร์”
ทุกคนตกใจ
“ต้องตามหมอ” แม่พูด
“ท่านแม่ ไม่ต้องหรอกคะ”
“ไม่ได้” พี่ใหญ่พูด
ตอนนี้ทุกคนกำลังโวยวาย ฟูมฟายกันใหญ่ จนลู่เหลียนต้องพูดเสียงดังขึ้น
“ทุกคนฟังนะ”
ทั้งหมดเงียบหันมองลู่เหลียนด้วยสายตาเดียวกัน
เธอถอนหายใจ “ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องตื่นตระหนก ตอนนี้ความทรงจำแม้ยังไม่กลับมา แต่หว่านเอ่อร์ก็ค่อยช่วยอยู่ พี่ใหญ่บางทีการฟื้นฟูวรยุทธ มันอาจทำให้ความทรงจำกลับมาได้”
“อย่างนั้นพี่จะช่วยเจ้า”
“ไม่ต้อง แค่หว่านเอ่อร์ก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
“แน่นะลู่เหลียน”พ่อพูด
“ค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ วางใจได้ ลู่เหลียนก็ยังเป็นลู่เหลียนอยู่แค่อาจจะไม่เหมือนเดิมบ้างก็เท่านั้น ยังไงก็รักท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ที่สุด”
คำพูดนี้ที่ลู่เหลียนพูด ทำให้พี่สาวยิ้ม เพราะมันทำให้เธอคิดถึงตอนที่ลู่เหลียนยังเป็นเด็กที่ร่าเริง สดใส
“เป็นอะไรไปค่ะพี่ใหญ่”
“แค่รู้สึกว่าน้องสาวที่ร่าเริง สดใส ในตอนนั้นกลับมาแล้ว” เธอยิ้ม
ลู่เหลียนงงกับสิ่งที่เธอพูด
“เอาละ ไม่ตามหมอก็ไม่ตาม แต่ตอนนี้ใครหิวแล้วบ้าง”พ่อพูด
ที่โต๊ะอาหาร
อาหารมากมายถูกวางจัดบนโต๊ะกลม
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกอยากออกไปเที่ยวชมเมืองได้ไม่คะ”
“ลูกยังไม่หายป่วยดีเลย จะออกไปเที่ยวข้างนอกแล้วจะดีหรือ”
“นะคะ ลูกเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
“ไม่ได้ ไว้ไปวันหลังดีกว่า วันนี้พ่อกับแม่ต้องเข้าวัง” พ่อพูดเสริม
“เข้าวังหรือ ลูกไปด้วย” ทุกคนมองหน้ากัน
“มีอะไรหรือ ทำไมทำหน้าแบบนั้นละคะ”
“ก็ทุกครั้งที่ท่านพ่อชวนเจ้าเข้าวัง เจ้าจะปฏิเสธตลอด” พี่ใหญ่พูด
“ก็ครั้งนี้น้องอยากไป ไม่ได้หรือ”
“ท่านพ่อ หากลู่เหลียนอยากไป ท่านก็พานางไปเถอะ”พี่ใหญ่ช่วยพูด
“นะคะ ท่านพ่อ” เขามองหน้าภรรยา เธอพยักหน้า
“ก็ได้ แต่ลูกต้องไม่ก่อกวนนะ ต้องสุภาพเรียบร้อย”ท่านพ่อพูด
“เย้ ๆ”ลู่เหลียนดีใจมาก
หว่านเอ่อร์เดินเข้ามาสะกิดลู่เหลียน จนทำให้เธอคิดได้ คำว่าสุภาพเรียบร้อย “สัญญาคะ สุภาพเรียบร้อย”
เมื่อเวลาการเดินทางเข้าวังมาถึง ตอนเที่ยงวันนั้น รถม้า จากวังพร้อมรถเกี๊ยวก็มาจอดหน้าจวน มีทหารสองคนบังคับรถม้า
สาวใช้ได้เข้าไปตามทุกคนที่คอยอยู่ ทั้งสามก็เริ่มออกเดินทาง แม้การเดินทางเข้าวังจะใช้เวลาไม่กี่ชั่วยาม แต่ลู่เหลียนกลับตื้นเต้นที่จะได้เห็นโลกภายนอกเป็นครั้งแรก
“ลู่เหลียน” แม่เรียก
“ค่ะ”
“เป็นอะไร ทำอย่างกับเจ้าไม่เคยเห็นอย่างนั้นแหละ”
“ก็ลูก….ท่านแม่ลืมแล้วหรือว่าลูกกำลังพยายามจำทุกอย่างให้ได้ กลัวก็เพียงแต่ท่านพ่อกับท่านแม่จะรังเกลียดลูกที่ไม่เหมือนเดิม”
“ พ่อกับแม่จะเกลียดเจ้าได้อย่างไร บางทีเจ้าเป็นแบบนี้ก็มีชีวิตชีวาพ่อดูเจ้ามีความสุขมากกว่าแต่ก่อนซะอีก”
“จริงด้วย” แม่เสริม
“ลูกขอถามได้ไม่ ว่าท่านพ่อท่านแม่เข้าวังทำไมหรือ”
“วันนี้เป็นวันเกิดของ ฮ่องเต้ ทุกปี ฝ่าบาทจะส่งรถมาม้ามารับพวกเราเข้าวัง”
“ท่านพ่อเป็นเพื่อนฝ่าบาทหรือ”
“เจ้านี่นะ เขาเรียกว่าพระสหาย”
“นั้นแหละ นั้นแหละ ท่านพ่อรู้จักฝ่าบาทได้อย่างไร”
“เจ้าลูกคนนี้อยากรู้เรื่องของพวกเรา”
“นะคะเล่าให้ลูกฟังหน่อย”
“ก็ได้ พ่อกับฮ่องเต้เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน ตอนนั้นพระองค์เป็นแค่องค์รัชทายาทใช่ชื้อว่า เทียนเทียน และทรงปกปิดฐานะของตนเอง ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าพระองค์คือใคร ตอนที่ศึกษาอยู่ที่นั้น ไม่มีใครชอบพระองค์เลย เพราะพระองค์เข้ากับใครไม่ได้เลยใช้ชีวิตแบบชาวบ้านไม่เป็น กินยากอยู่ยากมาก พวกเราคิดว่าเทียนเทียนเป็นแค่ลูกคนในวังเพราะลูกขุนนางก็เป็นแบบนี้แหละทนความลำบากไม่ได้แน่นอนเดี๋ยวก็รีบหนีกลับเป็นแน่ จึงเกิดการท้าทายกันขึ้น มีการวางเดิมพันด้วยนะ แต่ไม่มีใครวางเดิมพันข้างพระองค์เลย พ่อจึงตัดสินใจเดิมพันข้างเขา เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น พ่อเริ่มมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วพระองค์เป็นเช่นไร”
“ครั้งนั้นท่านพ่อชนะเดิมพัน”
“ใช่ เราเดิมพันแค่หนึ่งเดือน หลังจากนั้นพระองค์ก็เริ่มเปิดใจให้เหล่าเพื่อนมากขึ้น อยู่มาวันหนึ่ง พวกเราห้าคนหนีลงเขา เที่ยวเล่นกันอย่างสนุกสนานตามประสาชายหนุ่ม แต่ก็เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น มีกลุ่มคนลอบสังหาร เข้าโจมตีเราแม้เราจะมีวรยุทธ แต่ตอนนั้นพวกมันมีมากนัก พวกเราหนีเข้าป่ากระจัดกระจายเพื่อเอาตัวรอดแต่ดูเหมือนพวกมันจะมุ้งมาทาง เทียนเทียน พ่อพาพระองค์หนีมาถึงชายป่า เราไม่รู้เลยว่ามันคือกับดัก ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเป้ามาที่เทียนเทียน พ่อเข้าขวางธนูนั้นไว้จนได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“แล้วพ่อกับฝ่าบาทหนีมาได้ไง”
“อาจารย์ได้ส่งคนออกตามหาพวกเราตั้งแต่ที่พวกเขารู้ว่าเราหนีลงเขา ท่านอาจารย์มาช่วยพวกเราไว้ พ่อถูกรักษาตัวอยู่ 7 วันฝ่าบาทอยู่ข้างกายดูแลไม่ยอมห่าง แต่เมื่อทำผิดก็ต้องลงโทษ ตอนที่พ่อรักษาตัวอยู่นั้น เพื่อนคนหนึ่งได้รีบวิ่งมาบอกพ่อว่า เทียนเทียนกำลังถูกส่งตัวกลับ ตอนนั้นพ่อแปลกใจมากว่าทำไม ถึงรีบไปช่วยเขา และนั้นเป็นครั้งแรกที่ทุกคนรู้ว่าเทียนเทียน คือใคร พ่อขอให้อาจารย์อย่าส่งตัวเขากลับ แต่อาจารย์บอกว่าเราจะดูแลองค์รัชทายาทให้ปลอดภัยได้อย่างไร ตอนนั้นเทียนเทียนพูดแค่ว่า เขาจะลงจากเขาขอแค่อาจารย์อย่าขับไล่คนอื่น ๆ ที่ทำผิดพร้อมกับเขาลงจากเขาเลย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเขา”
“พระองค์ช่างมีน้ำใจยิ่ง”
“ใช่ ตอนนั้นพวกเราสี่คนประทับใจในตัวเทียนเทียนมาก แต่พ่อก็ไม่ยอมให้เขาจากไปแบบนี้”
“ท่านพ่อทำอย่างไรถึงทำให้อาจารย์ยินยอม”
“พ่อบอกไปว่า หากเทียนเทียนคือองค์รัชทายาท ท่านผู้เป็นอาจารย์ได้ถูกเลือกให้อบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทนี้ถือเป็นเกียรติ ท่านอาจารย์จะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ แล้วพ่อก็ถามเทียนเทียน ว่ามีใครรู้เรื่องนี้บ้าง เขาบอกว่า มีแต่เสด็จพ่อและกงกงที่รู้ว่าเขาออกจากวังมาที่นี่ พ่อจึงบอกอาจารย์ ถ้าให้องค์รัชทายาทลงเขาตอนนี้พวกนักฆ่าเหล่านั้นต้องทำงานสำเร็จแน่ แล้วอาจารย์จะกราบทูลฝ่าบาทอย่างไร พวกองครักษ์ที่มากับองค์รัชทายาทไม่ต้องถูกตัดหัวกันหมดหรือไง รวมทั้งสำนักศึกษาแห่งนี้ด้วยคิดว่าจะรอดหรือ แต่ถ้าให้องค์รัชทายาทอยู่ต่อ เราก็แค่ต้องระวัง พวกมันคงไม่กล้าที่จะทำอะไรองค์รัชทายาทเป็นแน่ ถ้าเราเพิ่มการคุ้มกัน”
“ท่านพ่อสุดยอด ท่านอาจารย์ก็เลยยอมให้ฝ่าบาทอยู่ต่อ”
“ใช่ แต่ช่วงที่พระองค์ศึกษาก็เกิดเรื่องมากมายขึ้น พ่อเชื่อในตัวพระองค์ว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดี เมื่อเราจบการศึกษา พ่อและเหล่าเพื่อนอีกสี่คนได้ทรงเรียกพวกเราเข้าเป็นองครักษ์ ตอนนั้นพ่อเป็นหัวหน้าและผู้ก่อตั้งองครักษ์ใหมทองขึ้นพร้อมกับเพื่อน ๆ พวกเขาฝึกทหาร คัดกรองคนที่เหมาะสม จนเมื่อพระองค์ได้เป็นฮ่องเต้ เกิดการก่อกบฏ ครั้งนั้นเราสูญเสียสหายสองคนฝ่าบาทเศร้าแต่เรายังสู้จนปราบกบฏจนหมดสิ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฝ่าบาทก็บำรุงสุขแก่ประชาชนตัดรอนอำนาจของขุนนางที่ชั่ว เมื่อบัลลังก์แข่งแกร่งพ่อก็ลาออก ส่งมอบตำแหน่งองครักษ์ใหมทองให้เพื่ออีกคนดูแลต่อจนวันหนึ่งหัวหน้าองครักษ์ใหมทองถูกลอบสั่งหารเพื่อนสนิทได้ล้มตายลง ฝ่าบาทเศร้าและโกรธมากทำการสืบหาโดยองค์ชายสามจนได้ล้างบางพวกกบฏถอยไป จึงส่งมอบหน่วยองครักษ์ใหมทองให้แก่องค์ชายสาม เป็นผู้ดูแล แม้ฝ่าบาทจะไม่เห็นด้วยกับการลาออกของพ่อแต่พระองค์ก็กลัวจะสูญเสียอีก จึงพระราชทานจวนที่เราอยู่ให้พ่อไม่ไปไหนได้ใกล้จากพระองค์ บอยครั้งที่พระองค์แอบออกจากวังเพื่อมาหาพ่อร่วมสนุกสังสรรค์”
“แล้วพระองค์ไม่กลัวองค์ชายสาม จะถูกลอบทำร้ายหรือ”
“ใครจะกล้า องค์ชายสาม วรยุทธสูง ใครกล้าทำคงต้องคิดให้มาก”
“แบบนี้นี่เอง อย่างนั้นวรยุทธท่านพี่กับลูกท่านพ่อเป็นผู้สอนเหรอ”
“พ่อกับแม่ต่างสอนพวกเจ้า ศิษย์ในเรือนสาวใช้ทุกคนที่จวนอย่างน้อยต้องปกป้องตัวเองได้”
“ท่านแม่เหรอ”
“ทำไมเห็นแม่แบบนี้ ก็เก่งนะ”
“ลูกจะพยายามฟื้นฟูวรยุทธเพื่อที่จะได้ปกป้องตัวเองได้”
เมื่อรถมาหยุดก็มาถึงประตูวัง เหล่าขุนนางและภรรยาบุตรชายและบุตรสาวต่างแต่งตัวแข่งกันอย่างงดงาม พากันเดินเข้าประตู้วังด้วยรอยยิ้ม
หว่านเอ่อร์รีบมาช่วยพวกเขาลงจากรถม้าทันที
“ดูพวกนางซิแต่งตัวซะสวยเลย ทำไมเธอไม่บอกฉันก่อนละว่าต้องแต่งตัวสวย ๆ นะ”
“คุณหนูค่ะนี้ก็ครั้งแรกของข้าเช่นกันที่ได้เข้าวัง”
“ไปกันเถอะ” ท่านพ่อพูด
แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าวัง