เมื่อแม่ม่ายวัย 45 ได้ย้อนเวลากลับมาใน ยุค 90…
เมื่อแม่ม่ายวัย 45 ได้ย้อนเวลากลับมาใน ยุค 90…
“ยาย ไปคุยกับหลวงพ่อออดให้หน่อยสิ หนูอยากบริจาคเงินสร้างประตูกับหน้าต่างโบสถ์ทุกบาน”
สงกรานต์ปีนี้ทางวัดมีโครงการจะสร้างโบสถ์และมีการขนทรายเข้าวัดในช่วงเทศกาล
“ดีเหมือนกัน งั้นน้าร่วมบุญด้วย” บุญภาเห็นดีเห็นงาม
เมื่อได้ข้อมูลแล้วทุกคนในบ้านจึงพร้อมใจกันบริจาคเงินโดยให้ตากับยายเป็นตัวแทนถวายเงินแก่ท่านเจ้าอาวาส
“อีเอิง ไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่วัดกัน” มธุรสกับเพื่อน ๆ มาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้านเมื่อวันสงกรานต์มาถึง
“เออ ๆ รอกูแป๊บ!” ปิยะลักษณ์วิ่งกลับไปคว้ากล้องถ่ายรูปพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กใส่ลงถุง ก็อบแก๊บกันเปียกเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายคู่ใจส่วนอีกมือก็คว้ากระป๋องอลูมิเนียมหูหิ้วใบน้อย
“เอิงจะไปวัดเลยหรือ?” เสียงบุญชัยตะโกนถามมา
“อื้อ… น้า… เดี๋ยวหนูไปกับเพื่อน น้าก็พาน้อง ๆ ตามไปที่วัดแล้วกันนะ” เมื่อตอบเสร็จก็วิ่งจู๊ดออกไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์เพื่อนทันที
บุญชัยพึ่งถอยมอเตอร์ไซด์มาใหม่คู่กับจักรยานของบุญภาส่วนตาบ้วนลี่มีจักรยานคู่กายอยู่แล้วซึ่งเป็นจักรยานโบราณที่เป็นมรดกตกทอดมาจากตาทวดซื้อมาตั้งแต่สมัยเข้ามาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ
“อีเอิง ทำไมตามึงไม่เหมือนเดิมเลยวะ?” สุภาณีทักอย่างพึ่งสังเกตเห็นขณะนั่งพักเล่นน้ำสงกรานต์กินขนมกัน
“ยังไงวะ ? ตากูก็แก่เหมือนเดิมนะไปไหนมาไหนก็ปั่นแต่จักรยานคู่ใจ” ปิยะลักษณ์ทำหน้าสงสัย…อยู่ ๆ มาถามถึงตาของเธอทำไม
“กูหมายถึงดวงตาของมึง ไม่ใช่ ตาที่เป็นพ่อของแม่ วุ๊ย! อินังหอยหลอดหนิ!” สุภาณีสบถอย่างมีอารมณ์ทำให้ทุกคนพากันหัวเราะ
ปิยะลักษณ์แกล้งแหกตาหลอกผีใส่ “กูว่ามันก็ปกตินะ สุขภาพดีมีขี้ตาทุกวัน”
“ปกติยังไง กูว่ามึงตาโตกว่าเดิม แล้วเดี๋ยวนี้ตามึงก็ไม่เศร้าเหมือนเมื่อก่อน” พอสุภาณีทัก สุนันทาเลยพลอยสังเกตตาม
“แต่แม่กูเคยบอกว่าหน้าตาคนเราจะเปลี่ยนไปได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ถึงจะไม่ค่อยเปลี่ยนแล้ว ดูอย่างอีทาดิ แต่ก่อนผอมจะตายห่า เดี๋ยวนี้ยังอ้วนอย่างกะตุ่ม ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” มธุรสหันมาแซะสุนันทา ทำให้ทุกคนหัวเราะครืน
“อีนี่! ปากดีนะมึง!” สุนันทาค้อนขวับส่งเสียงแหวใส่เพื่อน
“ตาบ้วนลี่เคยบอกว่าดวงตาของกูเหมือนยายทวดเหมยที่เป็นแม่ของแกเว้ย…” ปิยะลักษณ์นึกถึงรูปยายทวดสมัยสาว ๆ ที่เคยเห็นตอนไปถูบ้านทำความสะอาดให้ แกเป็นอาหมวยที่มีดวงตากลมโตสุกใสใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักมาก ซึ่งบ้านยายทวดเหมยอยู่ติดกับบ้านตายายของเธอนี่ล่ะ เธอกับน้อง ๆ มักพากันไปช่วยทำความสะอาดให้อาทิตย์ละครั้งซึ่งยายทวดใจดีให้ค่าขนมตลอด ถึงยายทวดเหมยจะแก่มากแล้วแต่ก็ยังแข็งแรงและมีสายตาที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนแกชอบอยู่คนเดียวมากกว่าไปอยู่กับลูกหลานระหว่างบ้านสองหลังจึงต้องมีประตูเล็ก ๆ เพื่อให้ไปมาหาสู่กันได้สะดวก
พออธิบายไปแบบนี้เพื่อนทุกคนก็เลยเชื่อ…
“พวกมึงรู้ป้ะ ว่าล็อตตารี่ขี่จักรยานได้?” อยู่ดี ๆ มธุรสก็ถามขึ้นมา
“ล็อตตารี่อะไรวะ ? ขี่จักรยานได้” สุภาณีขมวดคิ้วทำหน้างง
“เออดิ ล็อตตารี่อะไรวะ?” สุนันทาสงสัยเหมือนกัน
“นั่นไง ตาลี่ขี่จักรยานมาล่ะ” มธุรสชี้ไปที่คุณตาบ้วนลี่ของเธอที่กำลังปั่นจักรยานเข้าวัดมา ซึ่งใคร ๆ ก็มักเรียกแกว่า ‘ตาลี่’
“ถุย! มึงนี่… มุกห้าบาทสิบบาทก็เอาเนอะ!” ทุกคนพากันอึ้งกับมุกตลกของมธุรส สุภาณีเลยเบิ๊ดกระโหลกเพื่อนไปทีนึงอย่างหมั่นไส้
“โน่น ๆ หนุ่มมึงเดินมาโน่นแล้วอีมิ้ม บอกให้มันพาพวกเราไปเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวเลย…” สุนันทาตาไวรีบสะกิดบอกเพื่อนเมื่อเห็นประเดิมพงษ์ลูกครูใหญ่สุดหล่อประจำโรงเรียนเดินมาแต่ไกล พอเห็นผู้ชายที่กำลังตามจีบเธอมุ่งตรงมาหามธุรสถึงกับขวยเขินหน้าแดงจมูกแดงทำให้หน้าตาสวยหวานยิ่งดูน่ารักมากขึ้นไปอีก
“เออ เอิง เรามีการ์ตูนเรื่องใหม่มาเยอะเลย เดี๋ยวเปิดเทอมเราเอามาให้เธอยืมอ่านนะ” ประเดิมพงษ์ทักทายปิยะลักษณ์แต่กลับส่งสายตาหวานฉ่ำไปทางมธุรส
ตั้งแต่ประเดิมพงษ์รู้ว่าปิยะลักษณ์ชอบอ่านการ์ตูนไทยเล่มละบาทก็มักหาโอกาสเอาหนังสือมาให้เธอยืมที่ห้องเรียนบ่อย ๆ เพื่อจะได้มีโอกาสมาพบหน้าพูดคุยกับเด็กหญิงที่ตนเองหมายปอง แม้ปิยะลักษณ์จะรู้ว่าเขาใช้เธอเป็นสะพานเพื่อมาจีบสาวแต่เธอก็แฮปปี้เพราะว่าเด็กชายคนนี้เป็นพ่อบุญทุ่มขนการ์ตูนมาให้อ่านทีเป็นร้อยเล่มอ่านจนตาแฉะไปหลายวัน
“ขอบใจนะหนุ่ย นั่งลงก่อนสิ” ปิยะลักษณ์เชิญนั่งอย่างมีน้ำใจแถมยังขยับให้มีที่ว่างข้างมธุรสอีกต่างหาก เด็กชายรีบนั่งลงทันที
“เดี๋ยวหลังสงกรานต์เอิงมันจะเข้ากรุงเทพฯแล้ว ถึงหนุ่ยไม่มีข้ออ้างเอาการ์ตูนมาให้มันแต่ก็มาเลี้ยงหนมพวกเราได้ตลอดนะ” สุนันทาแนะนำอย่างเปิดโอกาส
“เอิงจะไปอยู่กรุงเทพฯนานเลยเหรอ” ประเดิมพงษ์หันมาถามเพื่อนที่คุ้นเคยสุดในกลุ่ม
“คงอยู่ยันโตยันเรียนจบเลยน่ะแหล่ะ” ชาติที่แล้วเธอก็อยู่กรุงเทพฯยาวยันแต่งงานมีลูก
“ช่วงเทศกาลมึงก็กลับมาเที่ยวบ้างนะ มาเล่นน้ำสงกรานต์กับพวกกูเหมือนปีนี้ไง” สุนันทาไม่อยากให้เพื่อนรักหายหน้าหายตาไปเลย
“อืม กูหวังว่าถ้าได้กลับมากูจะไม่กลายเป็นหมาหัวเน่าเพราะพวกมึงชิงมีแฟนกันไปเสียหมดนะ” คำพูดของปิยะลักษณ์ทำให้เพื่อน ๆ มีรอยยิ้ม
“เอ้า! อีมิ้ม คนเขาอุตส่าห์มาหามึง ๆ ก็ชวนเขาคุยมั่งสิ อีนี่! นั่งอายม้วนหน้าแดงอยู่ได้!” สุภาณีบอกอย่างรำคาญเมื่อเห็นเพื่อนนั่งเขินบิดไปบิดมา ประเดิมพงษ์เห็นกิริยาอันน่ารักของเด็กหญิงจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ
“มิ้มอยากกินอะไร เดี๋ยวเราเลี้ยงพวกเธอเองคิดเสียว่าเลี้ยงส่งเอิงไปกรุงเทพฯ” เด็กชายถามอย่างใจป้ำ
“อาไรว๊า…ปากก็บอกเลี้ยงส่งเรา แต่ดันถามว่ามิ้มอยากกินอะไร ? มิ้มมันชอบกินผัดซีอิ้วฝีมือป้าเชียร ตอบแทนให้ก็ได้เอ้า!” ปิยะลักษณ์กลั้วหัวเราะทุกคนเลยพากันขำตาม
เด็กทั้งห้าจึงยกโขยงไปกินข้าวกลางวันที่บ้านลุงกำนัน เมื่อกินเสร็จแล้วปิยะลักษณ์จึงบอกกับประเดิมพงษ์ว่า
“ถ้าเราล้างรูปเมื่อไหร่ จะส่งมาให้ที่บ้านมิ้ม หนุ่ยก็มาเอารูปกับมิ้มแล้วกันนะ”
ประเดิมพงษ์ถูกใจคำพูดนี้ถึงกับยกนิ้วโป้งให้ ออกจากร้านข้าวทุกคนต่างแยกย้ายกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะพิธีขนทรายเข้าวัดจะเริ่มขึ้นตอนหนึ่งทุ่มตรง
บรรยากาศงานวัดตอนกลางคืนคึกคักไม่แพ้ตอนกลางวัน มัคนายกวัดเปิดเพลงบรรเลงดนตรีไทยเคล้าคลอเพิ่มบรรยากาศพร้อมกับแจ้งราย ละเอียดว่าทางวัดมีการทำบุญอะไรบ้าง และยังอธิบายอานิสงส์ของการทำบุญแต่ละประเภทด้วย
พวกผู้ชายต่างถือจอบมาจากบ้านเพื่อนำมากระทุ้งดินและทรายที่ถูกขนเข้ามาเทในโบสถ์ ให้มีความหนาแน่นทั้งยังใช้เกลี่ยให้พื้นมีความเรียบเสมอกันก่อนเทปูน ส่วนผู้หญิงจะยืนต่อแถวยาวจากกองทรายใหญ่ไปจนถึงภายในโบสถ์เพื่อรับส่งบุ้งกี๋ที่ใช้ขนทรายต่อจากกัน และบางส่วนก็ทำหน้าที่เสิร์ฟน้ำให้กับทุกคนที่มาช่วยงาน พิธีขนทรายเข้าวัดจะมียาวตลอดสามวันของช่วงเทศกาลสงกรานต์
•°・*.☆° .:*❅❀❅*:. °☆. *・°•
อ่าน NC และตอนพิเศษ!
E-BOOK
MEB : https://shorturl.asia/Fly8b