เมื่อแม่ม่ายวัย 45 ได้ย้อนเวลากลับมาใน ยุค 90…
เมื่อแม่ม่ายวัย 45 ได้ย้อนเวลากลับมาใน ยุค 90…
ถัดจากวันหวยออกไม่กี่วันก็เป็นวันพระใหญ่แถมยังเป็นวันเช็งเม้งในฐานะที่ตากับยายมีเชื้อสายจีนเต็มขั้น พอตอนเช้าทำบุญเลี้ยงพระเพลแล้วก็เดินทางไปกราบไหว้ฮวงซุ้ยบรรพบุรุษต่อเรียกว่าทั้งสองงานในวันนี้ล้วนจัดใหญ่จัดเต็มกันเลยทีเดียว ส่วนสารถีประจำบ้านก็คือคุณตาทองสุกคนเดิม
ทุกครั้งเมื่อมีคนถามว่าเอาเลขเด็ดมาจากไหน พวกเราจะพูดตรงกันว่ายายกิมฮวยฝัน พอถูกถามว่าได้เงินมาเท่าไหร่ ก็จะพูดปัดไปว่าหลังจากใช้หนี้แล้วก็เหลือเพียงนิดหน่อย แม้นแถวบ้านไม่เคยมีโจรขโมยจี้ปล้นแต่ก็ควรระวังภัยไว้ก่อน โชคดีที่ครอบครัวของตายายไม่เคยทำตัวมั่งมีหรูหราฟู่ฟ่าคนฟังจึงเชื่อสนิทใจ วัดดวงครั้งหน้าทุกคนในบ้านต่างมีแผนในใจและยังไม่ลืมที่จะสำรวจแหล่งรับซื้อเลขเด็ดโดยเน้นเส้นทางที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน
“อีเอิงงงง…อยู่บ้านมั้ย?”
เสียงตะโกนเรียกดังมาจากหน้าบ้านในเช้าวันหนึ่ง เมื่อชะโงกหน้าไปดูพบว่าเป็นสุนันทาเพื่อนสนิทในแก๊งค์ที่อยู่ทางบ้านใต้ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดหน้าบ้าน
“มึงเอารถเข้ามาจอดในบ้านนั่งรอบนแคร่ก่อน…เดี๋ยวกูลงไป” ปิยะลักษณ์ตะโกนบอกเพื่อนเพราะประตูหน้าบ้านเปิดไว้อยู่แล้ว
“อีทามึงมีอะไร?” เด็กหญิงถามเพื่อนสนิทก่อนวางข้าวเหนียวสังขยาลงตรงหน้าต้อนรับแขก
“กูจะมาถามมึงว่าวันสงกรานต์มึงจะไปเที่ยวงานวัดรึเปล่า ปีนี้มีสร้างโบสถ์ขนทรายเข้าวัดได้บุญใหญ่นะมึง!” สุนันทาคุยไปจ้วงขนมเข้าปากไป
“บ้านกูไปทุกปีอยู่แล้ว ปกติตอนขนทรายเข้าวัดจะมีแค่กูไปกับน้าชาย แต่ปีนี้สงสัยคงไปกันยกบ้านแหละ” ปิยะลักษณ์ใช้ขันน้อยตักน้ำเย็น ๆ ในกระติกส่งให้เพื่อนดื่มชื่นใจ
สุนันทารับน้ำมากินจนหมดขัน ก่อนถามต่อ “ได้ข่าวว่ายายมึงโชคดีถูกหวยเหรอ?”
“เออ แต่ยายถูกไม่เยอะหรอกใช้หนี้ใช้สินแล้วก็มีเงินเหลือไว้เก็บไว้ทำบุญนิดหน่อย แล้วมึงจะไปไหนต่อเนี่ยะ?”
“กูไม่ไปไหนแล้ว กูขี่มอไซด์เลาะถามอีหยุดกับ อีมิ้มแล้วก็มาหามึง ส่วนอีขวัญแม่งอยู่ไกลตั้ง ดงเศรษฐีโน่น มันคงไม่มาเล่นน้ำสงกรานต์ที่นี่…”
มิ้ม มธุรส ทา สุนันทา และสายหยุด สุภาณี อยู่ทางบ้านใต้ใกล้ ๆ กัน ส่วนบ้านของ ขวัญ ศิริขวัญ ต้องขึ้นไปทางบ้านเหนือ
“งั้นมึงก็ว่างดิ?”
“เออกูโคตรว่างงงง…”
“งั้นไปชวนอีหยุดกับอีมิ้มไปขี่รถเล่นกัน เดี๋ยววันนี้กูเป็นเจ้ามือเองเติมน้ำมันให้ด้วย”
ตั้งแต่ปิดเทอมมาปิยะลักษณ์ไม่ได้เจอเพื่อนนานเป็นเดือนแล้ว ใครจะรู้ว่าชาติที่แล้วหลังผ่านช่วงสงกรานต์ไปไม่กี่วันพ่อกับแม่ก็มารับเธอกับน้อง ๆ ไปอยู่ที่กรุงเทพฯกระทันหัน ทำให้ไม่ได้มีโอกาสร่ำลาบรรดาเพื่อนสนิทเลย
“หูย… หูย… แม่มหาเศรษฐี แม่คนรวย” สุนันทาส่งเสียงแซว
“เออ สมพรปากนะมึง! กูจะประเดิมกล้องถ่ายรูปใหม่เว้ย! หากมึงยังไม่สวยกูให้โอกาสมึงแวะกลับไปแต่งตัวที่บ้านได้ เดี๋ยวกูจะเอาฟิล์มไปหลาย ๆ ม้วน”
ตั้งแต่เข้าเมืองครั้งที่แล้ว ปิยะลักษณ์ได้ซื้อกล้องถ่ายรูปพร้อมกับฟิล์มมาหลายโหล สมัยนี้ยังใช้กล้องใส่ฟิล์มแบบเสียบรูหนามเตยอยู่ซึ่งเธอสามารถใช้ได้อย่างชำนาญเพราะตอนมหาวิทยาลัยเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ส่วนกล้องคู่ใจในตอนนั้นก็เป็น Nikon fm10 ถ้าเข้ากรุงเทพฯก็ตั้งใจว่าจะซื้อกล้องแมนวลที่สามารถวัดแสงตั้งค่า ISO กับ F-Stop ได้ เพิ่มอีกสักตัว
สุดท้ายเด็กสี่คนกับรถมอเตอร์ไซด์คู่ชีพสองคันก็ลัดเลาะไปไกลถึงดงเศรษฐี
“ลมอะไรหอบพวกมึงมาถึงบ้านกูได้” ศิริขวัญถามขึ้นอย่างแปลกใจ หลังพาเพื่อน ๆ เข้ามาสวัสดีพ่อแม่ในบ้าน
“เดี๋ยวหลังสงกรานต์พ่อกับแม่จะมารับกูไปอยู่กรุงเทพฯ กูเลยอยากมาถ่ายรูปกับพวกมึงไว้เป็นที่ระลึก” ปิยะลักษณ์บอกเพื่อนไปตรง ๆ จะได้คลายความสงสัยกัน
“ปิดเงียบเลยนะมึง มิน่าล่ะ… วันนี้ถึงใจดีพาพวกกูเที่ยวแถมยังเลี้ยงขนมอีกต่างหาก” มธุรสต่อว่าเพื่อนอย่างไม่จริงจัง
“อ้าวนี่ขนมของมึง พวกกูช่วยกันเลือกแต่อีเอิงเป็นคนจ่าย” สุภาณีวางถุงใบใหญ่ลงตรงหน้าข้างในมีขนมหลายอย่าง
“เผื่อให้น้องมึงกินด้วย” สุนันทาเสริม
พอพ่อแม่ศิริขวัญเห็นเพื่อนลูกมาบ้านก็เข้าครัวทำอาหารมาเลี้ยงหลายอย่างโดยมีสุนันทากับสุภาณีที่ทำกับข้าวเก่งสุดเข้าไปช่วยในครัว ส่วนมธุรสกับศิริขวัญก็มาปูเสื่อตำส้มตำอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าบ้าน ในขณะที่ปิยะลักษณ์เดินไปเดินมาเก็บภาพทุกคน หากถ่ายรูปหมู่หรือรูปที่มีตนเองก็จะไหว้วานให้พ่อของเพื่อนช่วยถ่ายรูปให้
“เดี๋ยวกูอัดรูปมาให้พวกมึงคนละชุดให้เก็บไว้เป็นที่ระลึก ส่วนอีขวัญกูคงไม่ได้เอารูปมาให้มึงด้วยตัวเองแต่จะฝาก อีทาเอามาให้” ปิยะลักษณ์บอกเพื่อนทุกคน
“เออ กูขอบใจมึงมาก หวังว่ารูปคงจะไม่เบลอหรือถ่ายออกมาแล้วหัวขาดตีนขาดนะ” ศิริขวัญกลั้วหัวเราะ
“หากภาพมันเบลอหรือหัวมันขาดก็คงเป็นเพราะมึงนั่นล่ะอีขวัญ”
“ทำไมวะ?”
“ก็มึงมันขี้เหร่จนแม้แต่กล้องยังไม่อยากจะเห็นหน้ามันเลยถ่ายติดแค่ตัวกับขาที่ดูดีกว่าหน้าตามึงไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
คำพูดของปิยะลักษณ์ทำให้ทุกคนหัวเราะกันครื้นเครง แม้แต่พ่อกับแม่ของขวัญก็ยังขำตาม เพราะศิริขวัญเป็นเด็กหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักทุกคนจึงรู้ว่านี่เป็นเพียงการเย้าแหย่เท่านั้น หลังจากเม้าท์มอยไปกินไปจนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ทุกคนก็ยกมือไหว้ลาพ่อแม่เพื่อนกลับบ้าน
หลังจากวันนั้นปิยะลักษณ์ก็เข้าตัวเมืองไปกับน้าสาวอีกสามครั้งเพื่อเอาฟิล์มที่ถ่ายแล้วทั้งหมดไปล้าง เลือกรูป อัดเพิ่ม และใส่กรอบ
“หูย มึงขยายรูปใส่กรอบมาแจกพวกกูบานใหญ่มาก…” สุภาณีลากเสียงยาวอย่างตกตะลึง ตอนนี้ทุกคนยกเว้นขวัญได้มารวมตัวกันที่บ้านของมธุรส
“หมดหลายตังค์เลยดิมึง” สุนันทาพูดขึ้นอย่างเกรงใจ
“ถ้าแลกกับการที่รูปนี้จะหลอกหลอนพวกมึงไปจนตลอดชีวิตทำให้พวกมึงไม่ลืมกูมันก็คุ้ม” ปิยะลักษณ์ไม่วายพูดติดตลก เธออัดรูปใส่อัลบั้มมาให้เพื่อนคนละชุด และเลือกรูปที่ทุกคนดูดีที่สุดขยายเป็นบานใหญ่ใส่กรอบให้อีกคนละหนึ่งบาน
“เดี๋ยวกูจะแขวนไว้ในส้วมเลยมึง เวลาขี้ไม่ออกจะได้นั่งมองหน้าพวกมึง ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” มธุรสหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ
“กูกลัวมึงจะพานขี้ไม่ออกมากกว่า มีงคิดดูมีสายตาตั้งสี่คู่จ้องมองมึงอยู่ ถ้าเบ่งขี้ออกก็ให้มันรู้ไปสิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” สุภาณีโต้กลับ
“ไปกินข้าวเที่ยงบ้านลุงกำนันกัน เห็นว่าป้าเชียรแกเพิ่งเปิดขายน้ำแข็งใสเพิ่มด้วย” ปิยะลักษณ์ชวนเพื่อนทุกคนไปร้านขายอาหารตามสั่งประจำหมู่บ้านหลังจากนั่งหัวเราะกันจนพอใจแล้ว
“มึงเลี้ยง?” สุภาณีถาม
“เออ กูเลี้ยง”
“งั้นมึงรอนี่ก่อนเดี๋ยวกูกับอีหยุดเอารูปไปเก็บที่บ้านก่อนจะได้ไปเตร็ดเตร่กับพวกมึงสะดวก ให้ อีหยุดมันแวะไปเอามอไซด์ด้วย” สุนันทาบอก
“เออ ๆ เดี๋ยวกูกับอีมิ้มรอพวกมึงที่นี่แหละ”
“วันนี้มึงเอากล้องมาอีกดิ?” มธุรสชวนคุยระหว่างรอเพื่อนอีกสองคนกลับมา
“เออกูเอามา เดี๋ยวไว้กูไปล้างรูปที่กรุงเทพฯจะส่งกลับมาให้ตามที่อยู่ที่พวกมึงเขียนให้กูไว้”
“มึงก็โทรมาหากูบ้างนะ กูคงคิดถึงมึง” มธุรสเป็นคนเดียวที่มีโทรศัพท์บ้านเพราะมีฐานะดีสุด
“ได้สิ กูไม่ลืมพวกมึงหรอก”
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ปิยะลักษณ์ย้ำนักย้ำหนาไม่ให้เพื่อนทุกคนขาดการติดต่อกับเธอ และหากมีโอกาสไปกรุงเทพฯ ให้แวะไปหาบ้าง โดยเฉพาะสุนันทาที่วันหน้าต้องเข้ากรุงเทพฯและมีชีวิตที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ ซึ่งเธอก็ไม่ได้บอกในสิ่งที่เธอรู้ให้ใครฟัง
•°・*.☆° .:*❅❀❅*:. °☆. *・°•
อ่าน NC และตอนพิเศษ!
E-BOOK
MEB : https://shorturl.asia/Fly8b