อยู่ ๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาในโลกที่คุ้นตา เป็นโลกในการ์ตูนเรื่องโปรด โลกที่ผู้ชายท้องได้แล้วผมดันท้องขึ้นมาเป็นปะป๊าของแฝดหกจอมซน โดยที่พ่อของเด็กนะเหรอ เหอะ..อย่าถามถึงเขาเลย เขาไล่ให้ผมไปทำแท้งด้วยซ้ำ!!
อยู่ ๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาในโลกที่คุ้นตา เป็นโลกในการ์ตูนเรื่องโปรด โลกที่ผู้ชายท้องได้แล้วผมดันท้องขึ้นมาเป็นปะป๊าของแฝดหกจอมซน โดยที่พ่อของเด็กนะเหรอ เหอะ..อย่าถามถึงเขาเลย เขาไล่ให้ผมไปทำแท้งด้วยซ้ำ!!
เสียงของเขาจริงด้วย เสียงของอินทัช ผมไม่รู้หรอกว่าเสียงนั้นมาจากช่วงเวลาไหนขอแค่เขาไม่เป็นอะไรผมและไม่หายไปจากโลกของเขาผมก็เบาใจไปเปราะหนึ่ง
ถึงอย่างนั้นผมก็รีบหาทางเพื่อไปพบคุณให้ได้นะ ผมต้องเห็นกับตาตัวเองว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรแล้ว
สิบสี่นาฬิกา
เป็นเวลาที่แสนยาวนานมากสำหรับคนเฝ้ารออย่างผม หลังขึ้นมายังห้องเพื่อทานมื้อกลางวันจนหมดกล่องอย่างไม่น่าเชื่อ ผมก็เตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทางไปพบคุณนักวาด
หวังว่าคนนัดพบจะไม่ผิดสัญญา
ผมสะพายกระเป๋าตัวเก่ง หยิบคีย์การ์ดพร้อมออกเดินทางล่วงหน้าเผื่อรถติดและอาจจะทำให้ไปเลท ดังนั้นการไปถึงก่อนเวลานัดหมายมันก็น่าจะดีกว่า
ผมปิดประตูห้องแล้วเช็กดพื่อความแน่ใจว่าห้องล็อกเรียบร้อย
"เดี๋ยวก็กลับมานะ" ผมพูดกับตัวเองราวกับว่ากำลังรู้สึกเหมือนจะไม่ได้กลับมาห้องนี้อีก ใจผมมันโหวง ๆ อย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเมื่อจะได้พบเจอคนจากมิติอื่น
"ต้องได้กลับมาอยู่แล้วไหม ก็นี่มันห้องเรา ไม่มีใครมาแย่งอยู่แล้ว" เพราะนอกจากไอ้ลีวายก็ไม่มีใครรู้รหัสเข้าแล้ว
ผมลงมายังชั้นล่างก็มีรถแกร็ปมารับโดยไม่ต้องยืนรอให้เสียเวลา เจ้าของรถแกร็ปพูดคุยทักทายกันอย่างเป็นกันเองผมก็ได้แต่พูดคุยกันเขาเป็นบางครั้งจนความตื่นเต้นเริ่มมลายหายไป
การเดินทางในช่วงบ่ายนับว่าโชคดีเมื่อไม่มีฝนฟ้าเหมือนอย่างตอนเช้าและการจราจรก็ไม่ติดขัด ลุงขับรถก็ขับได้เพลินราวกับว่าทุกอย่างเป็นใจให้ผมได้ไปพบกับคุณนักวาด
ผมมองดูท้องฟ้าในประเทศตัวเองอยู่ด้วยความเฉยเมย ไม่ได้รู้สึกพิศวาสหรือหลงใหลให้เกิดอารมณ์สุนทรีย์ เมื่อตั้งแต่เกิดมาจนโตยี่สิบเจ็ดปีผมพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นพลเมืองของประเทศนี้อยู่แล้ว
ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม
เหมือนกับว่าผมกำลังมองหาอะไรบางอย่างที่เป็นที่ของผมอย่างแท้จริง แต่ผมไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน
ผมต้องการหาคำตอบนั้น แล้วดูเหมือนว่าคำตอบนั้นน่าจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผมได้เข้าใกล้และรู้จักกับคุณนักวาดคนนั้น
เราเป็นอะไรกันมาก่อน ทำไมเขาจึงได้รู้จักผมและสามารถสื่อสารแค่กับผมเพียงคนเดียว รถยังคงเคลื่อนบนทางด่วนผมปล่อยใจให้สงบ พยายามไม่คิดอะไรมากมาย แค่เจอคุณนักวาดก่อนผมจึงจะได้รู้คำตอบในสิ่งที่ผมกำลังตามหามาทั้งชีวิต
"ขอบคุณครับลุง" กระทั่งรถมาจอดตามจุดหมายปลายทาง ผมเอ่ยขอบคุณลุงแล้วก้าวลงจากรถด้วยหัวใจมุ่งมั่นสถานที่นัดหมายอยู่ข้างในสุดมุม ผมจำเป็นต้องเดินเข้าไปแล้วหวังว่าจะได้เจอกับคุณนักวาด
ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองเมื่อเดินไปยังที่หมายตรงหน้าโดยไม่ต้องพะวงว่าตัวเองจะมาสาย มีคนมากมายเดินมาซื้อของเก่า ๆ ที่มีคุณค่าทางจิตใจ บางคนก็เป็นนักสะสม บางคนก็มาเดินเล่นชมสินค้าเฉย ๆ บางคนมาเพื่อเก็บบรรยากาศ ถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย สถานที่แห่งนี้ผมผ่านมาหลายสิบรอบเนื่องจากเป็นสถานที่โปรดจึงได้จำได้ทุกร้านที่เดินผ่าน พ่อค้าแม่ค้าก็จำผมได้เหมือนกัน เราต่างยิ้มทักทายเป็นเรื่องปกติที่มีต่อกัน
กระทั่งมาหยุดอยู่หน้าร้านหนังสือร้านโปรด ผมค่อย ๆ เข้ามาในร้านที่มีผู้คนเกือบสิบคนอยู่ในโลกของตัวเอง เลือกและอ่านหนังสือโดยไม่มีใครสนใคร ผมมองเวลาก็แอบกังวลเมื่อไม่มีวี่แววว่าจะได้เจอกันหากคนยังพลุกพล่าน
"มีเมลก็ไม่รู้จักใช้ ทำอะไรอยู่กันแน่" มันนานแล้ว ขนาดผมนั่งอ่านหนังสือรอก็จวนจะเข้าเวลานัดพบแต่ไม่มีแม้แต่วี่แววว่าคนนัดพบจะปรากฏตัว
แม้ผมไม่สมาธิจะอ่านหนังสือ สนใจเพียงแต่มองหามิติที่อาจจะปรากฏทุกเมื่อ ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมายังไง ผมถึงได้กระวนกระวายแล้วเฝ้ารออยากเจอ
"จะมาจริง ๆ ใช่ไหม" พอมองนาฬิกาที่ข้อมือมันก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา ผมอยากรู้ว่าต้องนั่งรอไปนานแค่ไหน เมื่อทั้งวันผมเฝ้ารอจะเจอจนไม่เป็นอันทำอะไรทั้งนั้น
"ชักโมโหแล้วนะ!" รอจนคนในร้านเริ่มค่อย ๆ ออกไปนั่นยิ่งทำให้รู้ว่าเสียเวลาไปเท่าไร "อดทนไว้ไอ้หนึ่ง อดทนไว้" ถ้าไม่มีเรื่องของคุณอินทัชผมก็คงไม่ข่มใจนั่งรอเพื่อสอบถามอาการของเขา คนอะไรนัดแล้วไม่เห็นจะมาอย่างที่พูดเลย
เห้อ ผมชะเง้อมองแล้วมองอีก ตอนนี้คนในร้านไม่มีใครอีกนอกจากผม เวลาหมุนเวียน ผ่านมาสามชั่วโมง มันนานสำหรับคนนั่งรอหรือผมควรถอดใจกลับ ผมคงบ้าเองที่กล้ามาตามนัดทั้งที่อีเมลนั้นอาจจะเป็นอีเมลหลอกลวงก็ได้
ผมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้อย่างหมดหวัง อุตส่าห์เฝ้ารอมาทั้งวันและมาตามสัญญา ก็ไม่คิดว่าจะถูกหลอกปล่อยให้เก้อ ถือซะว่าเสียค่าโง่มาทั้งวันก็แล้วกัน
'เพียงหนึ่งเดียว'
เสียงเรียกอยู่ใกล้หูมาก ผมหันหลังไปตามเสียงแต่กลับไม่พบว่ามีใครอื่นนอกจากตัวเอง
"คุณเหรอ คุณนักวาด"
'เรียกผมว่าดิออร์'
เสียงนั่นดังขึ้นมา ผมรู้สึกว่ารอบตัวเย็นยะเยือกในเวลาไม่กี่นาที รอบข้างดูเงียบสงบราวกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง
"นั่นชื่อคุณ"
'ใช่'
"โอเค แต่คุณอยู่ที่ไหนผมมองไม่เห็นคุณ" ผมรู้สึกว่าตัวเองเผลอหายใจผิดจังหวะ ให้ยืนคุยคนเดียวอย่างนี้มันก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนที่กลัวผีหรือสิ่งลี้ลับต่าง ๆ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากันจริงความตื่นกลัวก็ปรากฏ ผมกำกระเป๋าไว้แน่น หากเกิดอะไรขึ้นผมพร้อมจะวิ่งหนีทุกเมื่อ
'ผมอยู่ตรงหน้าคุณ'
"แต่ผมมองไม่เห็นไง" เขาไม่รู้หรือไงว่ามันแอบหงุดหงิดเมื่อต้องคุยกับอากาศ
"เอาเถอะ คุณมาจากโลกมิติไหน ทำไมถึงได้ติดต่อกับผมได้ล่ะทั้งที่เราแทบไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ" เมื่อไม่ว่าจะพยายามมองหาแค่ไหนก็มองไม่เห็น ผมจึงต้องเข้าประเด็น อยากรู้เหตุผลที่เขานัดผมมาว่ามีเหตุผลอะไร
'คุณคือผม ผมคือคุณ เราคือหนึ่งเดียว'
"หนึ่งเดียวคือผมคนเดียว คุณคิดจะโกหกอะไรกันใช่ไหม" ผมรีบเถียงเมื่อชื่อของผมมันหมายถึงว่าตัวผมคนเดียวไม่มีหนึ่งเดียวคนที่สอง คนที่สาม
'ผมเปล่าโกหก บางเรื่องคุณอาจจะไม่เชื่อแต่ผมไม่มีเวลามาอธิบาย ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ' ผมขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อได้ยินคำร้องจากคนที่มองไม่เห็น เขามีเรื่องอะไรถึงต้องขอความช่วยเหลือจากผมในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
"ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมขอถามก่อนว่าอินทัชเป็นไงบ้าง เขาสบายดีแล้วใช่ไหม มีคนมาช่วยเขาใช่ไหม" ผมรัวคำถามใส่ในสิ่งที่อยากรู้ด้วยความร้อนรน ก่อนเขาจะให้ผมช่วยอะไรผมก็ขอถามถึงคนที่ผมเป็นห่วงก่อน ฝ่ายนั้นดูนิ่งเงียบไปช่วงนึง เพราะมองไม่เห็นผมจึงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร หรือทำหน้ายังไง
'ผมไม่รู้เพราะตอนนี้ในโลกการ์ตูนนั้นผมไม่ได้เป็นคนวาดแล้ว'
"หมายความว่ายังไง คุณขายงานให้คนอื่นทำต่อเหรอ"
'มันเลวร้ายกว่านั้น ผมถูกขโมยร่างไปจากวิญญาณตนหนึ่ง'
"ห๊ะ?"
'ผมถูกผลักออกจากร่างของตัวเอง โดยมีวิญญาณแกร่งตนนึงเข้าครอบครองร่างกายของผมอยู่ งานผมก็เลยไม่ได้เป็นเหมือนอย่างเดิม' ก็ว่าทำไมงานช่วงนี้ดูไม่ค่อยจะเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แปลกไปหน่อยหากจะพูดว่าถูกขโมยร่างไปโดยวิญญาณตนนึง ผมค่อนข้างจะไม่ค่อยอยากเชื่อ
'มันอาจจะดูน่าเหลือเชื่อ แต่ผมจะโกหกตัวเองไปทำไม เมื่อเราสองคนต่างเป็นคนเดียวกัน'
"คุณจะบอกว่าเราเหมือนกันแต่อยู่คนละมิติงั้นเหรอ ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง ครั้งก่อนตอนคุณเป็นวิญญาณไม่เห็นจะหน้าหมือนผมสักนิดเดียว" ผมจำใบหน้าของเขาไม่ค่อยจะชัดมากนัก แต่จำความรู้สึกกลัวและตกใจในตอนนั้นได้ดี
'นั่นก็เพราะพลังงานของผมมีน้อย ใช้มากไม่ได้ อย่างตอนนี้ที่ผมแอบลักลอบมาหาคุณมันทำให้ผมเสียพลังงานแล้วไม่สามารถปรากฏตัวให้คุณเห็นหน้าผม' คำอธิบายของเขาก็ไม่เชิงว่าจะไม่น่าเชื่อถือ ผมไม่เคยได้ข้ามมิติอย่างเขาจึงได้ไม่รู้ว่าหากข้ามมิติได้จะเสียพลังงานอย่างที่เขาบอกไว้หรือเปล่า คงต้องข้ามมิติสักครั้งผมถึงจะรู้คำตอบ
"แล้ว ที่คุณอยากให้ผมช่วยคืออะไร"
'กำจัดผมก่อนผมจะกลายเป็นปีศาจร้ายตามไอ่หมอนั้น'
"ให้กำจัดคุณยังไง ผมไปโลกของคุณไม่ได้ ผมไม่เคยทะลุมิติมาก่อน" คำขอร้องของเขาดูเกินกำลังที่ผมจะช่วยได้ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่คนจากมิติอื่นมาขอร้องให้กำจัดตัวเองทั้งที่ผมไม่สามารถไปยังโลกของเขา
"อีกอย่างนะ คุณบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเป็นตัวเราเองและเราจะฆ่ากันเองทำไม" แล้วใครมันจะไปกล้าฆ่าตัวเองในอีกมิติหนึ่งได้กันเล่า ผมเคยคิดว่าหากเจอตัวเองในมิติอื่นผมอยากเข้าไปสนิทสนมแล้วแบ่งปันเรื่องราวให้ฟังมากกว่าต้องมานั่งฆ่ากันอย่างที่เขาต้องการ เขาเงียบนิ่งครู่ใหญ่
'เพราะผมไม่อยากเป็นปีศาจ'
ใคร ๆ ก็ไม่อยากเห็นตัวเองเป็นปีศาจอยู่แล้ว ยิ่งหากรู้สึกตัวและรับรู้ว่าร่างกายของเรามีปีศาจครอบครองก็ย่อมอยากกำจัดปีศาจตนนั้นออกไป
แต่หากทำไม่ได้จริง ๆ ก็คงต้องสละร่างกายและชีวิตตัวเอง ดิออร์คงคิดไตร่ตรองมาดีอยู่แล้วถึงได้เลือกอย่างหลัง
"ทำไมต้องเป็นผม คุณก็ไปขอความช่วยเหลือจากตัวของเราจากมิติอื่นสิ" ผมสงสัย ในเมื่อเขาตามหาผมเจอก็แปลว่าเขาก็ต้องหาตัวเราจากมิติอื่น ๆ ได้เหมือนกัน
'เพราะเราเหลือกันแค่สองคนแล้วไง ผมจึงได้ติดต่อกับคุณได้คนเดียว' นั่นมันหมายความว่าตัวผมในมิติอื่นตายไปหมดแล้วงั้นเหรอ
'เด็กพวกนั้นกำลังจะเกิดมาแล้ว เด็ก ๆ ลูกของ-' เสียงของเขาหายเงียบไป
"หมายความว่าอะไร คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่" ผมรู้สึกร้อนรนถามออกไปเมื่อเขาพูดถึงเรื่องของเด็ก ๆ
ใช่เด็กแฝดหกพวกนั้นหรือเปล่า
"คุณ อยู่ไหมคุณ" ผมพยายามเรียกดังแค่ไหนแต่เหมือนว่าเขาจะไม่ตอบกลับมา
"ดิออร์ ผมไม่ได้ยินเสียงคุณเลย คุณยังอยู่หรือเปล่า"