Your Wishlist

เกิดใหม่ไปเป็นปะป๊าของแฝดหก (My sextuplets : 02 (75%))

Author: Oncloud69_

อยู่ ๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาในโลกที่คุ้นตา เป็นโลกในการ์ตูนเรื่องโปรด โลกที่ผู้ชายท้องได้แล้วผมดันท้องขึ้นมาเป็นปะป๊าของแฝดหกจอมซน โดยที่พ่อของเด็กนะเหรอ เหอะ..อย่าถามถึงเขาเลย เขาไล่ให้ผมไปทำแท้งด้วยซ้ำ!!

จำนวนตอน : 90

My sextuplets : 02 (75%)

  • 01/11/2565

เสียงของเขาจริงด้วย เสียงของอินทัช ผมไม่รู้หรอกว่าเสียงนั้นมาจากช่วงเวลาไหนขอแค่เขาไม่เป็นอะไรผมและไม่หายไปจากโลกของเขาผมก็เบาใจไปเปราะหนึ่ง

ถึงอย่างนั้นผมก็รีบหาทางเพื่อไปพบคุณให้ได้นะ ผมต้องเห็นกับตาตัวเองว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรแล้ว

 

สิบสี่นาฬิกา

 

เป็นเวลาที่แสนยาวนานมากสำหรับคนเฝ้ารออย่างผม หลังขึ้นมายังห้องเพื่อทานมื้อกลางวันจนหมดกล่องอย่างไม่น่าเชื่อ ผมก็เตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทางไปพบคุณนักวาด

หวังว่าคนนัดพบจะไม่ผิดสัญญา

ผมสะพายกระเป๋าตัวเก่ง หยิบคีย์การ์ดพร้อมออกเดินทางล่วงหน้าเผื่อรถติดและอาจจะทำให้ไปเลท ดังนั้นการไปถึงก่อนเวลานัดหมายมันก็น่าจะดีกว่า

ผมปิดประตูห้องแล้วเช็กดพื่อความแน่ใจว่าห้องล็อกเรียบร้อย

"เดี๋ยวก็กลับมานะ" ผมพูดกับตัวเองราวกับว่ากำลังรู้สึกเหมือนจะไม่ได้กลับมาห้องนี้อีก ใจผมมันโหวง ๆ อย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเมื่อจะได้พบเจอคนจากมิติอื่น

"ต้องได้กลับมาอยู่แล้วไหม ก็นี่มันห้องเรา ไม่มีใครมาแย่งอยู่แล้ว" เพราะนอกจากไอ้ลีวายก็ไม่มีใครรู้รหัสเข้าแล้ว

ผมลงมายังชั้นล่างก็มีรถแกร็ปมารับโดยไม่ต้องยืนรอให้เสียเวลา เจ้าของรถแกร็ปพูดคุยทักทายกันอย่างเป็นกันเองผมก็ได้แต่พูดคุยกันเขาเป็นบางครั้งจนความตื่นเต้นเริ่มมลายหายไป

การเดินทางในช่วงบ่ายนับว่าโชคดีเมื่อไม่มีฝนฟ้าเหมือนอย่างตอนเช้าและการจราจรก็ไม่ติดขัด ลุงขับรถก็ขับได้เพลินราวกับว่าทุกอย่างเป็นใจให้ผมได้ไปพบกับคุณนักวาด

ผมมองดูท้องฟ้าในประเทศตัวเองอยู่ด้วยความเฉยเมย ไม่ได้รู้สึกพิศวาสหรือหลงใหลให้เกิดอารมณ์สุนทรีย์ เมื่อตั้งแต่เกิดมาจนโตยี่สิบเจ็ดปีผมพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นพลเมืองของประเทศนี้อยู่แล้ว

ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม

เหมือนกับว่าผมกำลังมองหาอะไรบางอย่างที่เป็นที่ของผมอย่างแท้จริง แต่ผมไม่รู้ว่ามันคือที่ไหน

ผมต้องการหาคำตอบนั้น แล้วดูเหมือนว่าคำตอบนั้นน่าจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อผมได้เข้าใกล้และรู้จักกับคุณนักวาดคนนั้น

เราเป็นอะไรกันมาก่อน ทำไมเขาจึงได้รู้จักผมและสามารถสื่อสารแค่กับผมเพียงคนเดียว รถยังคงเคลื่อนบนทางด่วนผมปล่อยใจให้สงบ พยายามไม่คิดอะไรมากมาย แค่เจอคุณนักวาดก่อนผมจึงจะได้รู้คำตอบในสิ่งที่ผมกำลังตามหามาทั้งชีวิต

"ขอบคุณครับลุง" กระทั่งรถมาจอดตามจุดหมายปลายทาง ผมเอ่ยขอบคุณลุงแล้วก้าวลงจากรถด้วยหัวใจมุ่งมั่นสถานที่นัดหมายอยู่ข้างในสุดมุม ผมจำเป็นต้องเดินเข้าไปแล้วหวังว่าจะได้เจอกับคุณนักวาด 

ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือ ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเองเมื่อเดินไปยังที่หมายตรงหน้าโดยไม่ต้องพะวงว่าตัวเองจะมาสาย มีคนมากมายเดินมาซื้อของเก่า ๆ ที่มีคุณค่าทางจิตใจ บางคนก็เป็นนักสะสม บางคนก็มาเดินเล่นชมสินค้าเฉย ๆ บางคนมาเพื่อเก็บบรรยากาศ ถ่ายรูปลงโซเชียลมีเดีย สถานที่แห่งนี้ผมผ่านมาหลายสิบรอบเนื่องจากเป็นสถานที่โปรดจึงได้จำได้ทุกร้านที่เดินผ่าน พ่อค้าแม่ค้าก็จำผมได้เหมือนกัน เราต่างยิ้มทักทายเป็นเรื่องปกติที่มีต่อกัน

กระทั่งมาหยุดอยู่หน้าร้านหนังสือร้านโปรด ผมค่อย ๆ เข้ามาในร้านที่มีผู้คนเกือบสิบคนอยู่ในโลกของตัวเอง เลือกและอ่านหนังสือโดยไม่มีใครสนใคร ผมมองเวลาก็แอบกังวลเมื่อไม่มีวี่แววว่าจะได้เจอกันหากคนยังพลุกพล่าน

"มีเมลก็ไม่รู้จักใช้ ทำอะไรอยู่กันแน่" มันนานแล้ว ขนาดผมนั่งอ่านหนังสือรอก็จวนจะเข้าเวลานัดพบแต่ไม่มีแม้แต่วี่แววว่าคนนัดพบจะปรากฏตัว

แม้ผมไม่สมาธิจะอ่านหนังสือ สนใจเพียงแต่มองหามิติที่อาจจะปรากฏทุกเมื่อ ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมายังไง ผมถึงได้กระวนกระวายแล้วเฝ้ารออยากเจอ

"จะมาจริง ๆ ใช่ไหม" พอมองนาฬิกาที่ข้อมือมันก็อดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นมา ผมอยากรู้ว่าต้องนั่งรอไปนานแค่ไหน เมื่อทั้งวันผมเฝ้ารอจะเจอจนไม่เป็นอันทำอะไรทั้งนั้น

"ชักโมโหแล้วนะ!" รอจนคนในร้านเริ่มค่อย ๆ ออกไปนั่นยิ่งทำให้รู้ว่าเสียเวลาไปเท่าไร "อดทนไว้ไอ้หนึ่ง อดทนไว้" ถ้าไม่มีเรื่องของคุณอินทัชผมก็คงไม่ข่มใจนั่งรอเพื่อสอบถามอาการของเขา คนอะไรนัดแล้วไม่เห็นจะมาอย่างที่พูดเลย

เห้อ ผมชะเง้อมองแล้วมองอีก ตอนนี้คนในร้านไม่มีใครอีกนอกจากผม เวลาหมุนเวียน ผ่านมาสามชั่วโมง มันนานสำหรับคนนั่งรอหรือผมควรถอดใจกลับ ผมคงบ้าเองที่กล้ามาตามนัดทั้งที่อีเมลนั้นอาจจะเป็นอีเมลหลอกลวงก็ได้

ผมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้อย่างหมดหวัง อุตส่าห์เฝ้ารอมาทั้งวันและมาตามสัญญา ก็ไม่คิดว่าจะถูกหลอกปล่อยให้เก้อ ถือซะว่าเสียค่าโง่มาทั้งวันก็แล้วกัน

'เพียงหนึ่งเดียว'

เสียงเรียกอยู่ใกล้หูมาก ผมหันหลังไปตามเสียงแต่กลับไม่พบว่ามีใครอื่นนอกจากตัวเอง

"คุณเหรอ คุณนักวาด"

'เรียกผมว่าดิออร์'

เสียงนั่นดังขึ้นมา ผมรู้สึกว่ารอบตัวเย็นยะเยือกในเวลาไม่กี่นาที รอบข้างดูเงียบสงบราวกับว่าทุกอย่างหยุดนิ่ง

"นั่นชื่อคุณ"

'ใช่'

"โอเค แต่คุณอยู่ที่ไหนผมมองไม่เห็นคุณ" ผมรู้สึกว่าตัวเองเผลอหายใจผิดจังหวะ ให้ยืนคุยคนเดียวอย่างนี้มันก็รู้สึกแปลกเหมือนกัน แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนที่กลัวผีหรือสิ่งลี้ลับต่าง ๆ แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากันจริงความตื่นกลัวก็ปรากฏ ผมกำกระเป๋าไว้แน่น หากเกิดอะไรขึ้นผมพร้อมจะวิ่งหนีทุกเมื่อ

'ผมอยู่ตรงหน้าคุณ'

"แต่ผมมองไม่เห็นไง" เขาไม่รู้หรือไงว่ามันแอบหงุดหงิดเมื่อต้องคุยกับอากาศ

"เอาเถอะ คุณมาจากโลกมิติไหน ทำไมถึงได้ติดต่อกับผมได้ล่ะทั้งที่เราแทบไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ" เมื่อไม่ว่าจะพยายามมองหาแค่ไหนก็มองไม่เห็น ผมจึงต้องเข้าประเด็น อยากรู้เหตุผลที่เขานัดผมมาว่ามีเหตุผลอะไร

'คุณคือผม ผมคือคุณ เราคือหนึ่งเดียว'

"หนึ่งเดียวคือผมคนเดียว คุณคิดจะโกหกอะไรกันใช่ไหม" ผมรีบเถียงเมื่อชื่อของผมมันหมายถึงว่าตัวผมคนเดียวไม่มีหนึ่งเดียวคนที่สอง คนที่สาม 

'ผมเปล่าโกหก บางเรื่องคุณอาจจะไม่เชื่อแต่ผมไม่มีเวลามาอธิบาย ผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ' ผมขมวดคิ้วแปลกใจเมื่อได้ยินคำร้องจากคนที่มองไม่เห็น เขามีเรื่องอะไรถึงต้องขอความช่วยเหลือจากผมในเมื่อเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

"ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมขอถามก่อนว่าอินทัชเป็นไงบ้าง เขาสบายดีแล้วใช่ไหม มีคนมาช่วยเขาใช่ไหม" ผมรัวคำถามใส่ในสิ่งที่อยากรู้ด้วยความร้อนรน ก่อนเขาจะให้ผมช่วยอะไรผมก็ขอถามถึงคนที่ผมเป็นห่วงก่อน ฝ่ายนั้นดูนิ่งเงียบไปช่วงนึง เพราะมองไม่เห็นผมจึงไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร หรือทำหน้ายังไง

'ผมไม่รู้เพราะตอนนี้ในโลกการ์ตูนนั้นผมไม่ได้เป็นคนวาดแล้ว'

"หมายความว่ายังไง คุณขายงานให้คนอื่นทำต่อเหรอ"

'มันเลวร้ายกว่านั้น ผมถูกขโมยร่างไปจากวิญญาณตนหนึ่ง'

"ห๊ะ?"

'ผมถูกผลักออกจากร่างของตัวเอง โดยมีวิญญาณแกร่งตนนึงเข้าครอบครองร่างกายของผมอยู่ งานผมก็เลยไม่ได้เป็นเหมือนอย่างเดิม' ก็ว่าทำไมงานช่วงนี้ดูไม่ค่อยจะเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แปลกไปหน่อยหากจะพูดว่าถูกขโมยร่างไปโดยวิญญาณตนนึง ผมค่อนข้างจะไม่ค่อยอยากเชื่อ

'มันอาจจะดูน่าเหลือเชื่อ แต่ผมจะโกหกตัวเองไปทำไม เมื่อเราสองคนต่างเป็นคนเดียวกัน' 

"คุณจะบอกว่าเราเหมือนกันแต่อยู่คนละมิติงั้นเหรอ ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง ครั้งก่อนตอนคุณเป็นวิญญาณไม่เห็นจะหน้าหมือนผมสักนิดเดียว" ผมจำใบหน้าของเขาไม่ค่อยจะชัดมากนัก แต่จำความรู้สึกกลัวและตกใจในตอนนั้นได้ดี

'นั่นก็เพราะพลังงานของผมมีน้อย ใช้มากไม่ได้ อย่างตอนนี้ที่ผมแอบลักลอบมาหาคุณมันทำให้ผมเสียพลังงานแล้วไม่สามารถปรากฏตัวให้คุณเห็นหน้าผม' คำอธิบายของเขาก็ไม่เชิงว่าจะไม่น่าเชื่อถือ ผมไม่เคยได้ข้ามมิติอย่างเขาจึงได้ไม่รู้ว่าหากข้ามมิติได้จะเสียพลังงานอย่างที่เขาบอกไว้หรือเปล่า คงต้องข้ามมิติสักครั้งผมถึงจะรู้คำตอบ

"แล้ว ที่คุณอยากให้ผมช่วยคืออะไร"

'กำจัดผมก่อนผมจะกลายเป็นปีศาจร้ายตามไอ่หมอนั้น'

"ให้กำจัดคุณยังไง ผมไปโลกของคุณไม่ได้ ผมไม่เคยทะลุมิติมาก่อน" คำขอร้องของเขาดูเกินกำลังที่ผมจะช่วยได้ มันไม่แปลกไปหน่อยหรือที่คนจากมิติอื่นมาขอร้องให้กำจัดตัวเองทั้งที่ผมไม่สามารถไปยังโลกของเขา

"อีกอย่างนะ คุณบอกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเป็นตัวเราเองและเราจะฆ่ากันเองทำไม" แล้วใครมันจะไปกล้าฆ่าตัวเองในอีกมิติหนึ่งได้กันเล่า ผมเคยคิดว่าหากเจอตัวเองในมิติอื่นผมอยากเข้าไปสนิทสนมแล้วแบ่งปันเรื่องราวให้ฟังมากกว่าต้องมานั่งฆ่ากันอย่างที่เขาต้องการ เขาเงียบนิ่งครู่ใหญ่

'เพราะผมไม่อยากเป็นปีศาจ'

ใคร ๆ ก็ไม่อยากเห็นตัวเองเป็นปีศาจอยู่แล้ว ยิ่งหากรู้สึกตัวและรับรู้ว่าร่างกายของเรามีปีศาจครอบครองก็ย่อมอยากกำจัดปีศาจตนนั้นออกไป 

แต่หากทำไม่ได้จริง ๆ ก็คงต้องสละร่างกายและชีวิตตัวเอง ดิออร์คงคิดไตร่ตรองมาดีอยู่แล้วถึงได้เลือกอย่างหลัง

"ทำไมต้องเป็นผม คุณก็ไปขอความช่วยเหลือจากตัวของเราจากมิติอื่นสิ" ผมสงสัย ในเมื่อเขาตามหาผมเจอก็แปลว่าเขาก็ต้องหาตัวเราจากมิติอื่น ๆ ได้เหมือนกัน

'เพราะเราเหลือกันแค่สองคนแล้วไง ผมจึงได้ติดต่อกับคุณได้คนเดียว' นั่นมันหมายความว่าตัวผมในมิติอื่นตายไปหมดแล้วงั้นเหรอ

'เด็กพวกนั้นกำลังจะเกิดมาแล้ว เด็ก ๆ ลูกของ-' เสียงของเขาหายเงียบไป

"หมายความว่าอะไร คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่" ผมรู้สึกร้อนรนถามออกไปเมื่อเขาพูดถึงเรื่องของเด็ก ๆ  

​​​​​​ใช่เด็กแฝดหกพวกนั้นหรือเปล่า 

"คุณ อยู่ไหมคุณ" ผมพยายามเรียกดังแค่ไหนแต่เหมือนว่าเขาจะไม่ตอบกลับมา

"ดิออร์ ผมไม่ได้ยินเสียงคุณเลย คุณยังอยู่หรือเปล่า"

 

 

 

10/10/2022
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป