เพียงชั่วอึดใจโหรวโหรวก็วิ่งไปถึงบ้านของลี่เฟิง วางของทั้งหมดลงบนโต๊ะ นั่งลงแล้วรินน้ำมาดื่มอย่างคุ้นเคย จากนั้นจึงเอ่ยว่า “พี่ลี่เฟิง ข้าเอาเกี๊ยวอร่อยๆมาให้ท่าน ท่านแม่ของข้าทำเองอร่อยมาก อาหารพวกนี้ท่านแม่ก็เป็นคนทำ ขนมนี่ท่านแม่ก็ทำเองเหมือนกัน ท่านรีบกินเร็วเข้า!"
ขณะที่พูดโหรวโหรวก็หยิบของกินทั้งหมดที่อยู่ในถุงออกมาให้ลี่เฟิงกิน
ลี่เฟิงมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้วนิ่งเงียบอยู่นาน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าภายใต้ท่าทีอันเย็นชาและไร้ความรู้สึกนั้น ความรู้สึกอบอุ่นได้แทรกซึมเข้าไปจนทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว
ตั้งแต่ได้พบนาง ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองเป็นที่สนใจใยดีเช่นนี้มาก่อนเลย เขาถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังเป็นทารก เป็นนายท่านที่บังเอิญมาเจอและรับเขาไปเลี้ยงดู ทว่านายท่านก็เป็นคนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายที่เอาแต่กินเหล้าทั้งวัน ยามเมามายก็ร่ำไห้ใคร่ครวญหาสตรีนางหนึ่ง ความเจ็บปวดเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังอย่างแสนสาหัส
นายท่านไม่ได้สนใจไยดีหรือพูดคุยกับเขามากนัก และจะสอนวิชายุทธให้เขาแต่ในยามที่สามารถครองสติได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น นายท่านมีวิชายุทธที่ยอดเยี่ยม และบอกว่าเขาไม่ต้องการนำวิชายุทธเหล่านี้ลงใต้ดินไปกับตัวเองด้วย ดังนั้นนายท่านจึงเคี่ยวกรำสั่งสอนเขาอย่างหนัก และหากเขาทำได้ไม่ดีก็จะถูกจับแขวนและเฆี่ยนตี เช่นนี้เขาจึงจำต้องร่ำเรียนอย่างหนักและเรียนรู้วิชายุทธทั้งหมดของนายท่านจนกระทั่งนายท่านดื่มเป็นครั้งสุดท้ายและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
แล้วเขาก็อยู่ลำพังคนเดียวในใต้หล้านี้
เขาคิดว่าตนเองจะใช้ชีวิตเช่นเดิมในบ้านดินหลังนี้ไปตลอดชีวิตและไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิดแปลกแต่ประการใด ทว่าต่อมาเขาได้พบกับเทพธิดาน้อยตนนี้ที่ใจดีกับเขาอย่างยิ่ง นางเรียกเขาว่าพี่ลี่เฟิงและพูดคุยหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อให้เขามีความสุข นางช่วยเขาทำงานและมักจะมองเขาด้วยท่าทีที่เป็นทุกข์ สายตาที่ทำให้หัวใจของเขาต้องสั่นไหว.....
เขาไม่เคยพบความเมตตาเช่นนี้มาก่อน และไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงต้องใจดีกับเขาเช่นนี้ด้วย? ไยถึงเป็นเขา? ในใจเขามีคำถามมากมาย ทว่าก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกอบอุ่นใจและความสุขที่นางมอบให้ได้ ไม่เช่นนั้นไยเขาถึงได้ไปยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่อาจควบคุมได้ คอยมองหาร่างที่ร่าเริงแจ่มใสนั้น รอคอยเสียงที่ใสแจ๋วราวกับกระดิ่ง หวังจะได้เห็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและสดใสของนาง...
เขาคงถูกมนต์สะกดของเทพธิดาตัวน้อยเข้าให้แล้ว
เมื่อเห็นลี่เฟิงมองดูของกินต่างๆ ด้วยสีหน้าสับสน โหรวโหรวก็ยื่นฝ่ามือเล็กๆ ออกไปโบกตรงหน้าเขาอย่างอดไม่ได้ “พี่ลี่เฟิง ท่านกำลังคิดอะไรอยู่? กินเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นหากทิ้งไว้นานรสชาติจะเสียไป”
ลี่เฟิงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง มองรอยยิ้มที่อ่อนหวานนุ่มนวลแล้วก็ก้มหน้าหยิบขนมขึ้นมากินหนึ่งชิ้น
พอเห็นว่าเขายอมกิน โหรวโหรวก็ดีใจมาก ถามขึ้นว่า “พี่ลี่เฟิง อร่อยหรือไม่?”
ลี่เฟิงเคี้ยวขนมในปากช้าๆ ความหอมหวานยังคงอบอวลอยู่ในปาก นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเคยกินมา
“อร่อย”
โหรวโหรวยิ่งดีใจมากไปกว่าเดิม รีบหยิบอาหารชนิดอื่นๆ ออกมาแล้วยื่นไปที่จ่อปากของเขา “อย่าเพิ่งกินแต่ขนม ยังมีอย่างอื่นให้ท่านกินด้วย”
เมื่อลี่เฟิงเห็นอาหารถูกยื่นมาป้อนที่ปากของตน ใบหูของเขาก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เปิดปากกินมันเข้าไป โหรวโหรวคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนุกไม่น้อย นางจึงหยิบของกินอร่อยๆ ออกมาป้อนเขาอีก ลี่เฟิงก็กินทุกอย่างที่นางป้อนและไม่เอ่ยปากออกมาว่าตนเองอิ่มแล้วหรือยัง พอโหรวโหรวเห็นว่าเขากินเข้าไปเยอะแล้วก็สัมผัสท้องของเขาและพบว่าท้องป่องของเขาออกมา นางจึงเลิกป้อนอย่างทันควัน “พี่ลี่เฟิง เลิกกินเถิด หากกินมากเกินไปท่านจะปวดท้องได้”
ลี่เฟิงเม้มริมฝีปากพลางพยักหน้า
โหรวโหรวหัวเราะคิกคัก นางรู้สึกว่าถึงแม้พี่ลี่เฟิงจะยังดูดุร้าย ทว่าสายตาของเขากลับอ่อนโยนเช่นเดียวกับบิดาของนาง เขาคงจะชอบนางเช่นเดียวกัน แต่ต่อให้เขาไม่ชอบนาง นางก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้เขาชอบนางให้ได้ อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่น่ารักมากคนหนึ่งนี่นา!
เช่นนั้นการที่จะให้พี่ลี่เฟิงไปอาศัยอยู่ที่บ้านของนางเพื่อให้เขาเป็นสามีเด็กของนางก็ไม่น่าจะมีปัญหาอันใด...ใช่หรือไม่?
โหรวโหรวกลอกตาแล้ววิ่งไปที่ห้องครัว รินน้ำมาสองถ้วย ส่งให้ลี่เฟิงถ้วยหนึ่ง “พี่ลี่เฟิงดื่มน้ำหน่อยเจ้าค่ะ”
ลี่เฟิงไม่รู้ว่าทำไม แม้ว่าตนจะไม่ได้กระหายน้ำมากนัก แต่ก็ยังคงดื่มน้ำลงไป
เมื่อเห็นว่าเขาดื่มเสร็จแล้ว โหรวโหรวก็เข้าไปยืนทางด้านหลังของลี่เฟิง ยกกำปั้นเล็กๆ ทั้งสองข้างทุบไหล่ให้เขา “พี่ลี่เฟิง ให้ข้าทุบหลังให้ท่านนะเจ้าคะ ท่านทำงานหนักทุกวันเชียว”
ลี่เฟิงที่ถูกนางทำให้ตื่นตะลึงพยายามหลีกเลี่ยงอย่างอึดอัดใจเป็นที่สุด “ไม่ต้อง ข้าไม่ได้ทำงานหนักอะไร หยุดทุบได้แล้ว”
ทว่าโหรวโหรวกดไหล่ของเขาลงและเริ่มทุบอีกครั้ง “ไอ๊หยา งานหนักมากจริงๆ ให้ข้าทุบหลังให้ท่านเถิด เรื่องนี้ข้าเก่งมากทีเดียว ข้ามักจะทุบหลังให้ท่านแม่อยู่บ่อยๆ” ทุกครั้งที่ร้องขอให้ท่านแม่ให้อภัยนาง นางจะทุบหลังให้ท่านแม่ กลอุบายนี้ได้ผลดีมาก นางจึงนำมาใช้อีก
ลี่เฟิงยื่นมือออกไปกั้น “โหรวโหรว ข้าไม่ต้องการจริงๆ”
เมื่อเห็นเขาต่อต้าน โหรวโหรวก็บุ้ยปากและพูดอย่างกระเง้ากระงอดว่า “พี่ลี่เฟิง หากท่านไม่ยอมให้ข้าทุบข้าจะโกรธแล้วนะ!"
ลี่เฟิง “...”
เมื่อเห็นว่าลี่เฟิงไม่ห้ามแล้ว โหรวโหรวก็หัวเราะคิกคักแล้วนวดหลังของเขาแรงขึ้น แสดงให้เห็นทักษะที่ดีในทุกๆ ด้านของนาง
เมื่อเห็นลี่เฟิงค่อยๆ ผ่อนคลายจากการทำตัวแข็งขืน โหรวโหรวก็กะพริบตา เลียริมฝีปากก่อนจะถามว่า “พี่ลี่เฟิง ข้าดีหรือไม่?”
ลี่เฟิง “...อืม”
โหรวโหรวหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ใช่แล้ว! ข้าจะบอกท่าน ข้าดี ข้าดีมากทีเดียว ไม่เพียงแต่ทุบหลังได้ แต่ข้ายังปีนต้นไม้ ขุดรังนก ยิงธนู เขียนอักษรและยังทำบัญชีเป็นอีกด้วย ข้ายัง...ข้ายัง...”
โหรวโหรวคิดไม่ออกอีกจึงเปลี่ยนเรื่องและพูดต่อไปว่า “นอกจากข้าแล้ว ครอบครัวของข้าก็ดีมากเช่นกัน อาหารที่ท่านแม่ของข้าทำก็อร่อยมาก ท่านพ่อของข้าก็แข็งแรงและเก่งกาจยิ่ง พี่ชายของข้าวาดภาพเก่งมาก ภาพเขียนของเขาสามารถทำเงินได้มากมาย ยังมีท่านอาของข้าก็ยอดมาก เขามีของดีๆ มากมาย...”
โหรวโหรวไล่เรียงข้อดีทั้งหมดของสมาชิกในครอบครัวนาง พยายามบอกกล่าวให้ลี่เฟิงรู้ว่าว่าคนในครอบครัวนางนั้นดีเพียงใด
ลี่เฟิงไม่รู้ว่า โหรวโหรวกำลังพูดถึงอะไร เขาแค่รับฟังนางเงียบ ๆ
หลังจากโหรวโหรวพูดถึงคนในครอบครัวเสร็จ นางก็เริ่มเล่าว่าที่บ้านของนางครึกครื้นและน่าสนใจอย่างไรบ้าง นางเล่าจนคอแห้งผากจึงดื่มน้ำเข้าไปจนหมดถ้วย เมื่อเช็ดปากแล้วนางก็มองไปที่ลี่เฟิงอย่างมีความหวัง “พี่ลี่เฟิงครอบครัวของข้าดีมากใช่หรือไม่"
ลี่เฟิงพยักหน้า เขารู้สึกได้ว่าคนในครอบครัวของนางล้วนเป็นคนดีและนางมีครอบครัวที่มีความสุขมาก
เมื่อเห็นลี่เฟิงพยักหน้า โหรวโหรวก็ปรบมืออย่างตื่นเต้น “พี่ลี่เฟิง ท่านก็มาอาศัยอยู่ด้วยกันกับข้าที่บ้านของข้าเถิด!"
ลี่เฟิง “...อะไรนะ?”
โหรวโหรวก้าวไปด้านหน้า เขย่ามือของลี่เฟิง จ้องมองเขาด้วยแววตาประกายวาววับ กล่าวว่า “พี่ลี่เฟิง ท่านอย่าอาศัยอยู่ลำพังคนเดียวเลย ไม่มีผู้ใดอยู่เป็นเพื่อนท่าน ท่านกลับบ้านไปพร้อมกับข้าเถิดนะ ต่อจากนี้ไปคนในบ้านข้าจะเป็นคนดูแลท่านเอง!"
ลี่เฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “โหรวโหรวอย่าพูดจาเหลวไหล”
โหรวโหรวทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ “เหลวไหลอันใดกัน! ท่านก็คิดว่าครอบครัวของข้าดีมากเหมือนกันมิใช่หรือ?”
ลี่เฟิงลูบศีรษะของนาง คิดว่านางคงยังไม่เข้าใจอะไรนัก จึงอธิบายด้วยความอดทน “ทำเช่นนั้นไม่ได้ มีเพียงคนในครอบครัวเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถอาศัยอยู่ด้วยกันได้ หากไม่ใช่คนในครอบครัวก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ข้าไม่ใช่คนในครอบครัวของเจ้า ข้ามีบ้านของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่อาจไปอยู่กับเจ้าได้เข้าใจหรือไม่?”
ทว่าโหรวโหรวกลับกะพริบดวงตาโตของนางแล้วพูดขึ้นว่า “ใครบอกว่าไม่ใช่คนในครอบครัว หากท่านมาเป็นสามีเด็กอุปถัมภ์ของข้าจะมิใช่คนในครอบครัวหรอกหรือ? ท่านอาข้าบอกว่าสามีเด็กอุปถัมภ์คือสามีตัวน้อยของข้า เมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นสามีของข้า! สามีก็คือคนในครอบครัว”
มีเสียงดัง“ตู้ม” และทั้งใบหน้าของลี่เฟิงก็ลุกเป็นไฟ หัวใจของเขาตื่นตระหนกไปหมด
โหรวโหรวยังคงกล่อมเขาต่อไป “พี่ลี่เฟิง หากท่านเป็นสามีเด็กของข้า ท่านก็มาอาศัยอยู่ในบ้านของข้าได้ ครอบครัวของข้าคือครอบครัวของท่าน พวกเราจะปฏิบัติต่อท่านอย่างดี ท่านไม่จำเป็นต้องทำงานหนักทุกวัน ไม่ต้องคิดหาหนทางหาเงินเพื่อทำให้ตนเองอิ่มท้องอีกต่อไป แล้วท่านยังเล่นกับข้าได้ทุกวันอีกด้วย ท่านคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ?”
ลี่เฟิง “...ไม่ โหรวโหรว เจ้ารู้หรือไม่ว่าสามีเด็กอุปถัมภ์หมายถึงอะไร? สตรีไม่อาจพูดจาเหลวไหลเช่นนี้ได้ เจ้ารู้หรือไม่?”
โหรวโหรวพยักหน้า “ข้ารู้สิ สามีเด็กอุปถัมภ์จะถูกเลี้ยงดูเพื่อให้มาเป็นสามีของข้า ข้าพูดเช่นนี้กับท่านคนเดียวเท่านั้น”
ใบหน้าของลี่เฟิงเริ่มร้อนระอุขึ้น เขาไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ คิดว่านางอาจยังไม่เข้าใจ นางยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจในเวลานี้ เป็นการดีที่จะปฏิเสธออกไปตรงๆ ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้า “โหรวโหรว ข้าไม่ต้องการเป็น... คราวหน้าอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก หากอยากเล่นกับข้าก็มาหาได้ทุกเมื่อ”
“หา? เพราะเหตุใดเล่า?” โหรวโหรวเริ่มวิตกพลางดึงแขนเสื้อของลี่เฟิง “ท่านก็บอกเองว่าข้าดีมิใช่หรือ แล้วไฉนท่านถึงไม่ต้องการเล่า?” เห็นๆ อยู่ว่ามีเด็กผู้ชายตั้งมากมายที่บอกว่าพวกเขาอยากเป็นสามีของนาง
ลี่เฟิงเม้มริมฝีปาก “เจ้าดีมาก แต่มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเป็น...”
โหรวโหรวเม้มริมฝีปากแล้วพึมพำว่า “ท่านก็แค่ไม่ต้องการเป็นสามีอุปถัมภ์ของข้าใช่หรือไม่? ท่านไม่ชอบข้า!"
ลี่เฟิงปิดปากสนิท ไม่เอ่ยอะไร
โหรวโหรวจิตใจแห้งเหี่ยว ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ในตอนที่ลี่เฟิงกำลังคิดว่าจะให้โหรวโหรวกลับไปก่อน จู่ๆ โหรวโหรวก็โผเข้าไปกอดคอลี่เฟิง ทำท่าออดอ้อนเหมือนในยามที่ทำกับจางเถียซาน “พี่ลี่เฟิง เหตุใดท่านถึงไม่ยอมเป็นสามีเด็กของข้าเล่าเจ้าคะ ท่านไม่คิดว่าข้าน่ามองหรอกหรือ? ข้าไม่น่ารักกระนั้นหรือ ข้าไม่เฉลียวฉลาดหรือ?”
“พี่ลี่เฟิง เด็กผู้หญิงคนอื่นไม่มีใครน่ามองเท่ากับข้าหรอก เมื่อโตขึ้นท่านไม่อาจหาเทพธิดาตัวน้อยอย่างข้าได้เจอแน่ แล้วท่านจะเสียใจ~”
“พี่ลี่เฟิง พี่แค่ตกลงเท่านั้น ข้าเป็นแม่นางน้อยที่ดีเช่นนี้ ท่านได้เปรียบแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่ามีหลายคนที่จะต้องอิจฉาท่าน”
“พี่ลี่เฟิง...”
แม่หนูน้อยโหรวโหรวก่อกวนลี่เฟิงอยู่นานกว่าหนึ่งชั่วยาม ลี่เฟิงที่ยังคงยืนกรานไม่พยักหน้ารับปากนาง สุดท้ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสดงทักษะวิชาตัวเบาทะยานตัวหนีขึ้นไปบนหลังคา จากนั้นก็หายวับไปในอากาศโดยไม่ทิ้งร่องรอย ทิ้งให้โหรวโหรวกระทืบเท้าด้วยความโมโห
กระนั้นแม่หนูน้อยโหรวโหรวก็มีนิสัยไม่ระย่อท้อถอยต่อสิ่งใดง่ายๆ เมื่อนางตัดสินใจที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว นางจะทำอย่างดีที่สุด ด้วยเหตุนี้นางจึงกลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น และขัดขวางลี่เฟิงที่ไม่ทันระวังตัวได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้กลวิธีทุกรูปแบบ ทั้งออดอ้อน ทั้งทำท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งอาละวาด รวมถึงทำตัวเป็นอันธพาล ลี่เฟิงถูกบังคับให้ใช้วิชาตัวเบาหลบหนีออกไปอีกครั้ง
และเรื่องก็เป็นเช่นนี้ โหรวโหรวและลี่เฟิง คนหนึ่งไล่ตาม คนหนึ่งหลบหนี เป็นเช่นนี้ติดต่อกันนานเป็นเวลาหลายเดือน ตอนนี้คนในครอบครัวจางต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
จางเถียซานโกรธมากที่บุตรสาวสุดที่รักของตนเป็นคนเริ่มต้นอยากถูกเจ้าหมูตัวนี้ขย้ำ เช่นนี้จะได้อย่างไรกัน เขาเรียกตัวโหรวโหรวมาพูดคุยด้วยเหตุผลและโน้มน้าวให้นางล้มเลิกความคิดนี้ทุกวี่วัน ทว่าไม่อาจทำให้แม่หนูน้อยโหรวโหรวคล้อยตามได้
หลี่เหอฮว๋าเห็นเช่นนี้แล้วก็ยิ้มอย่างจนใจ บอกจางเถียซานไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ จางเถียซานรู้สึกมึนงง “เจ้าอยากให้เด็กอย่างโหรวโหรวก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาจริงๆ หรือ สามีเด็กอุปถัมภ์อะไรกัน เป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี”
หลี่เหอฮว๋ายิ้มและพูดว่า “ข้าไม่คิดว่าโหรวโหรวเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องราวและชอบก่อเรื่องแต่อย่างใด โหรวโหรวรู้ว่าการแต่งงานคืออะไร นางแค่ไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไร แต่ท่านก็เคยเห็นแล้วว่านางจัดการกับบรรดาเด็กผู้ชายที่มาตามตื๊อนางอย่างไรมิใช่หรือ?”
นี่เป็นเรื่องจริง โหรวโหรวไม่เคยใส่ใจเด็กพวกนั้นเลย
“โหรวโหรวชอบเด็กคนนี้ แม้นางอาจจะไม่รู้ว่านี่เป็นความรักระหว่างชายหญิงหรือไม่ แต่เวลาจะบอกนางเอง หากโหรวโหรวสามารถทำให้เด็กคนนั้นมาอยู่ที่บ้านของเราได้จริงๆ เราก็จะเลี้ยงดูเขาเป็นบุตรบุญธรรม หากเด็กทั้งสองชอบพอกันเป็นคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่* นั่นย่อมเป็นเรื่องดี ต่อไปวันข้างหน้าเราจะได้ไม่ต้องมาวิตกกังวลถึงเรื่องการแต่งงานของโหรวโหรวอีก แต่หากสุดท้ายพวกเขาต่างมีผู้อื่นในใจ พวกเขาก็จะเป็นพี่น้องบุญธรรมต่อกัน เหมือนกับที่เรามีบุตรบุญธรรมเพิ่มเท่านั้นเอง ได้ยินจากโหรวโหรวว่าเด็กชายคนนี้ไม่มีทั้งบิดาและมารดา คิดเสียว่าเราช่วยเหลือเขาก็ได้ การต้องใช้ชีวิตอยู่ลำพังคนเดียวสำหรับเด็กคนหนึ่งแล้วเป็นเรื่องที่ยากเข็ญนัก”
*หมายถึงคู่รักที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก
ที่สำคัญที่สุดจากคำบอกเล่าของโหรวโหรว หลี่เหอฮว๋าสามารถบอกได้ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่ดีคนหนึ่ง เขามีความมานะบากบั่นและขยันขันแข็ง นางยินดีที่จะให้โอกาสเด็กคนนี้
เมื่อได้ยินดังนื้นจางเถียซานจึงเงียบเสียงลง หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาไม่ไปเกลี้ยกล่อมโหรวโหรวอีกเลยและปล่อยตามใจนาง
ไม่รู้เหมือนกันว่าโหรวโหรวทำได้อย่างไร แต่ในช่วงวันปีใหม่ของปีนั้น ในที่สุดนางก็พาลี่เฟิงกลับมาด้วยได้สำเร็จ
“ท่านพ่อท่านแม่ ท่านย่า ท่านอา ท่านอาสะใภ้ ท่านพี่ ข้ากลับมาพร้อมกับสามีเด็กของข้าแล้วเจ้าค่ะ!”
ทั้งครอบครัวหันไปมองหน้ากันอย่างตกตะลึง เมื่อมองไปที่ประตูก็เห็นโหรวโหรวทยืนตื่นเต้นดีใจอยู่ ข้างๆ นางเป็นเด็กชายคนหนึ่งที่มีสีหน้าไร้อารมณ์ พวกเขาถึงกับพูดไม่ออก
สุดท้ายหลี่เหอฮว๋าเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาแล้วดึงตัวลี่เฟิงที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงประตูให้เข้าไปข้างใน “เด็กดี เข้ามาสิ ได้เวลากินข้าวแล้ว”
ลี่เฟิงตัวแข็งทื่อ เขาถูกดึงตัวเข้าไปที่โต๊ะอาหารในห้องด้วยมือที่อ่อนนุ่มและอบอุ่นของหลี่เหอฮว๋า สายตาของเขามองนิ่งไปที่โต๊ะอาหารโดยไม่เหลือบสายตาไปที่อื่นเลย
โหรวโหรวยิ้มกว้างพลางตบไหล่ของลี่เฟิง “พี่ลี่เฟิงไม่ต้องกลัว ครอบครัวของข้าดีมาก”
หลี่เหอฮว๋าเคาะจมูกเล็กๆ ของแม่หนูน้อยตัวเหม็น ไม่รู้ว่านางทำได้อย่างไร ทว่านางก็พาคนกลับมาได้จริงๆ
โหรวโหรวย่นจมูกเล็กๆ ด้วยท่าทีภาคภูมิใจ ตัดสินใจว่าจะไม่บอกผู้ใด เรื่องนี้เป็นความลับระหว่างนางกับพี่ลี่เฟิง
หลังอาหารหลี่เหอฮว๋าจัดห้องพักให้กับหลี่เฟิง และในตอนค่ำนางได้พูดคุยกับเด็กชายผู้นี้ตามลำพัง หลังจากที่ได้คุยกันแล้ว หลี่เหอฮว๋ารู้สึกประทับใจในตัวเด็กชายผู้นี้ ถึงกับรู้สึกว่าหากในอนาคตโหรวโหรวสามารถแต่งงานกับเด็กชายผู้นี้ได้จริงๆ ตลอดชีวิตของนางคงต้องมีความสุขอย่างมากเป็นแน่
นางมิได้บอกผู้อื่นว่าพวกตนคุยอะไรกัน แต่หลังจากนั้นลี่เฟิงก็อาศัยอยู่ที่นี่ หลี่เหอฮว๋าเริ่มสอนให้ลี่เฟิงหัดอ่านเขียนและทำบัญชี และสอนทักษะการทำอาหารที่นางได้เรียนรู้มาตลอดทั้งชีวิตให้แก่โหรวโหรว
หลี่เหอฮว๋าไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องสามีเด็กอุปถัมภ์อีกเลย และปฏิบัติต่อลี่เฟิงในฐานะที่เป็นบุตรบุญธรรมของตนเท่านั้น นางจะพูดว่าลี่เฟิงเป็นบุตรชายอีกคนหนึ่งของครอบครัว แม้แต่โหรวโหรวก็เรียกเขาว่าพี่ชาย เมื่อเวลาผ่านไปคนในครอบครัวต่างก็ปฏิบัติต่อลี่เฟิงเหมือนเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัว
ลี่เฟิงปฏิบัติต่อโหรวโหรวเป็นอย่างดี ทว่าก็ยังแตกต่างจากความใจดีที่ชูหลินมีต่อโหรวโหรว ลี่เฟิงรักใคร่เอ็นดูโหรวโหรวมากกว่าทุกคนในครอบครัว ในยามที่โหรวโหรวได้รับบาดเจ็บ ลี่เฟิงจะกระวนกระวายใจและคอยปลอบโยนนางตลอดทั้งคืนโดยไม่หลับไม่นอน หากผู้ใดมีความคิดเป็นอื่นกับโหรวโหรวหรือต้องการกลั่นแกล้งโหรวโหรว ลี่เฟิงจะจัดการกับพวกเขาอย่างที่คนพวกนั้นไม่กล้าโผล่หน้ากลับมาให้เห็นอีกเลย
แต่กระนั้นลี่เฟิงก็เป็นคนที่ปฏิบัติต่อโหรวโหรวอย่างเข้มงวดที่สุดในครอบครัว ในยามที่โหรวโหรวซุกซนและทำเรื่องผิด ลี่เฟิงจะสั่งสอนโหรวโหรวอย่างรุนแรง ต่อให้โหรวโหรวทำตัวออดอ้อนก็ไม่ได้ผล หลี่เหอฮว๋าเองในบางครั้งยังไม่อาจต้านทานการโจมตีเช่นนี้ของโหรวโหรวได้ ทว่าลี่เฟิงสามารถทำได้
เป็นเรื่องแปลกที่จะบอกว่าโหรวโหรวที่ซุกซนและขวัญกล้าไม่ฟังคำพูดของหลี่เหอฮว๋า แต่กลับเชื่อฟังลี่เฟิงมากที่สุด ลี่เฟิงเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถอบรมสั่งสอนโหรวโหรวได้อย่างดี นอกจากหลี่เหอฮว๋า เขาเป็นอีกคนที่โหรวโหรวสนิทสนมด้วยมากที่สุด กระทั่งจางเถียซานและชูหลินก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ ทำให้นัยน์ตาของคนทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอิจฉา
บางครั้งหลี่เหอฮว๋าก็สงสัยว่านี่คือโชคชะตาใช่หรือไม่
นางอยากเห็นจริงๆ ว่ากาลเวลาจะนำพาเด็กสองคนนี้ไปอยู่ ณ ที่จุดใด
เวลาผ่านพ้นปีแล้วปีเล่า ลี่เฟิงกลายเป็นคนซื่อตรงและเด็ดเดี่ยวเฉกเช่นชายหนุ่มที่ไม่ระย่อท้อถอยต่อสิ่งใด และกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว เขาเข้าไปช่วยงานกิจการร้านอาหารเพื่อให้หลี่เหอฮว๋าและจางเถียซานได้พักผ่อนและออกท่องเที่ยวได้อย่างสงบสุข ร้านอาหารทำเงินได้มากมายภายใต้การบริหารงานของเขา
สำหรับโหรวโหรว นางดูงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ ประโยคที่กล่าวว่ามัจฉาจมวารี*มิได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าหลังจากที่เติบใหญ่ขึ้นมาโหรวโหรวจะเปิดเผยตัวตนของนางน้อยครั้งมาก ทว่านางก็ยังดึงดูดบุรุษที่อยู่ในวัยเหมาะสมมาขอแต่งงานมากมายนับไม่ถ้วน ธรณีประตูร้านอาหารของครอบครัวจางถูกแม่สื่อเหยียบย่ำจนแทบทรุด ทว่าหลี่เหอฮว๋าเอาแต่ส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่คิดยกโหรวโหรวให้แก่ผู้อื่น คนภายนอกต่างก็รู้สึกงุนงง หลี่เหอฮว๋าได้แค่ยิ้มและไม่พูดอะไร จนกระทั่งโหรวโหรวมีอายุได้สิบแปดปี หลี่เหอฮว๋าก็เรียกนางเข้าไปในห้องและถามว่า “โหรวโหรว เจ้าอยากแต่งให้ผู้ใด”
*มาจากโครงชมความงามของสี่สาวงามของจีน เป็นการเปรียบเปรยว่าแม้แต่ปลาเมื่อเห็นความงามยังลืมแหวกว่ายจนต้องจมน้ำตาย
โหรวโหรวมือไพล่หลัง เม้มปากและยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านแม่ แน่นอนว่าข้าย่อมอยากแต่งงานกับสามีเด็กอุปถัมภ์ของข้า”
หลี่เหอฮว๋ายิ้มพลางโบกมือไล่ให้สาวน้อยไร้ยางอายผู้นี้ออกไปโดยเร็ว
หลี่เหอฮว๋าได้ถามคำถามนี้กับลี่เฟิงเช่นเดียวกัน ลี่เฟิงตอบว่า “ท่านแม่ ข้าเคยพูดเมื่อสิบปีก่อนว่าตราบใดที่โหรวโหรวต้องการข้า ข้าจะแต่งงานกับนาง หากนางไม่ต้องการข้า ข้าก็จะอยู่ข้างหลังคอยปกป้องนางตลอดไป เวลานี้ คำตอบของข้ายังคงเหมือนเดิมขอรับ”
หลี่เหอฮว๋ายิ้มอย่างเข้าใจเช่นกัน บุตรสาวของนางก็เฉกเช่นเดียวกับนางที่มีบุรุษผู้หนึ่งยินดีจะอยู่เคียงข้างและทะนุถนอมนางไปตลอดชีวิต โชคดีนัก!
เมื่อจางโหรวโหรวอายุใกล้ 20 ปี ภายใต้การอุปถัมภ์ของหลี่เหอฮว๋าและจางเถียซาน ทั้งสองคนได้แต่งงานกัน หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็ทำอาหารและจัดการดูแลเรื่องต่างๆ ในร้านอาหาร ร้านอาหารของครอบครัวจางเจริญรุ่งเรืองจนแม้แต่ผู้ที่อยู่ในเมืองหลวงก็ต้องเดินทางมาที่นี่ด้วยความชื่นชม
ทว่าปีนี้ชูหลินผู้ซึ่งกลายเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพและเขียนอักษรมีอายุ 25 ปีแล้ว กระนั้นเขายังคงตัวคนเดียว สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือการวาดภาพและเขียนอักษรภาพ
※※※※※※※※※※※※