หลี่เหอฮว๋าตั้งครรภ์ในปีที่สองหลังการแต่งงานกับจางเถียซาน และได้ให้กำเนิดเด็กหญิงตัวน้อยในอีกสิบเดือนต่อมา
เรื่องที่หลี่เหอฮว๋าให้กำเนิดบุตรสาวนั้นทำให้คนรอบข้างต่างก็รู้สึกตกใจ ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกเสียจากทุกคนคิดว่าทารกในครรภ์ของหลี่เหอฮว๋าจะต้องเป็นเด็กผู้ชายอย่างไม่ต้องสงสัย
เหตุใดทุกคนจึงคิดเช่นนั้น? เนื่องจากขณะที่ตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์ของหลี่เหอฮว๋ามีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงอย่างยิ่ง นางเริ่มแพ้ท้องอย่างหนักในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ อาเจียนทุกสิ่งที่กินเข้าไปออกมา ไม่สามารถแม้แต่จะกลืนน้ำลาย ร่างกายต้องทนทรมานอย่างที่สุด ภายในเวลาไม่กี่เดือนรูปร่างของนางได้เปลี่ยนจากคนไม่อ้วนไม่ผอมกลายเป็นผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ดูราวกับจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อในยามที่มีลมพัดมา จางเถียซานรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมากจนเอ่ยปากว่าเขาจะไม่มีบุตรเพิ่มอีก และแน่นอนว่าหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่มีบุตรอีกจริงๆ
เมื่อหลี่เหอฮว๋าผ่านพ้นช่วงเวลาแพ้ท้องจนกินอาหารได้ในที่สุด ใครจะคิดว่าทารกในครรภ์เริ่มทำตัวร้ายกาจราวกับปีศาจ ในทุกๆ วันทารกน้อยจะฝึกมวยอยู่ในท้องของหลี่เหอฮว๋า ต่อยซ้ายเตะขวาไม่หยุด จนท้องของหลี่เหอฮว๋ามีก้อนเนื้อปูดโป่งออกมา ทำให้ผู้คนยากจะสงบจิตใจลงได้แม้แต่ตอนกำลังหลับใหลในยามค่ำคืนก็ตาม
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม้ว่าหลี่เหอฮว๋าจะผ่ายผอม แต่ครรภ์ของนางกลับมีขนาดที่ใหญ่เกินปกติ ราวกับมีหม้อขนาดใหญ่แปะติดอยู่บนร่างผอมบางของนางด้วย เห็นแล้วดูน่าสะพรึงไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงเชื่อว่าครรภ์นี้ของหลี่เหอฮว๋าจะต้องเป็นเด็กผู้ชายที่แข็งแกร่งและซุกซนมากเป็นแน่ และก็ไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
สุดท้ายหลี่เหอฮว๋าได้ให้กำเนิดบุตรสาวตัวน้อย เป็นเด็กผู้หญิงที่งดงามยิ่งนัก ใช่แล้ว งดงามมากจริงๆ ราวกับเทพธิดาตัวน้อยๆ
ต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ ที่ยามแรกเกิดจะดูเหมือนลิงตัวแดง เด็กหญิงตัวน้อยของครอบครัวจางกลับมีผิวสีขาวอ่อนนุ่ม ผมหนา คิ้วดกดำงดงามและขนตาที่ยาวกว่าของพวกผู้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นเครื่องหน้าของนางก็งดงามอย่างยิ่ง ทำให้ทุกคนไม่คิดสงสัยเลยว่าในยามที่แม่หนูน้อยผู้นี้เติบใหญ่ขึ้นนั้นนางจะน่าตื่นตะลึงสักเพียงใด
ทุกคนที่ได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยต่างก็ตกตะลึงและทำอะไรไม่ถูกอยู่เป็นนาน เมื่อพวกเขากลับมารู้สึกตัว สิ่งที่เหลืออยู่คือความรักใคร่เอ็นดูนางอย่างที่สุด ทั้งอยากจะพานางกลับบ้านไปด้วยในทันที
แม้แต่หลี่เหอฮว๋าผู้เป็นมารดาก็มักจะจ้องมองเจ้าตัวน้อยที่นางให้กำเนิดด้วยความรู้สึกมึนงง นางรู้สึกสับสนมากว่าไฉนนางถึงให้กำเนิดเด็กที่งดงามเช่นนี้ได้ แม้ว่านางและจางเถียซานจะหน้าตาดีทั้งคู่ แต่ก็ไม่ได้งดงามกระไรนักหนา หากมิใช่เพราะต้องผ่านความยากลำบากในตอนที่ให้กำเนิด นางคงสงสัยว่าเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ทว่าบุตรสาวตัวน้อยกับจางเถียซานและนางมีดวงตาที่ละม้ายคล้ายกันจึงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่านี่คือบุตรสาวแท้ๆ ของพวกเขา
กล่าวได้เพียงว่าบุตรสาวตัวน้อยในครอบครัวของพวกเขาช่างดีนัก ไม่เพียง แต่ได้ข้อดีของบิดามารดามาเท่านั้น แต่นางยังเป็นสีครามที่งดงามเสียยิ่งกว่าต้นครามเสียอีก
คนที่พูดจาใหญ่โตที่สุดในครอบครัวคือจางเถียซาน ตาเฒ่าผู้นี้ได้ลดสถานะของตนเองกลายมาเป็นทาสของบุตรสาวตั้งแต่คราแรกที่ได้เห็นบุตรสาวของตน ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เอาแต่กังวลว่าบุตรสาวของเขาจะถูกหมูของบ้านอื่นมาตามวอแว เขาไม่กล้าผ่อนคลายใจแม้แต่น้อย เขาระวังแม้กระทั่งกับเด็กอายุไม่กี่ขวบ และตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ให้ผู้ใดมาข้องแวะกับบุตรสาวที่น่ารักของตนอย่างเด็ดขาด
หลี่เหอฮว๋าทำได้เพียงแค่มองบิดาที่โง่เขลาผู้นี้และส่ายหัวอย่างจนใจ
เมื่อถึงเวลาตั้งชื่อบุตรสาวตัวน้อย จางเถียซานเค้นมันสมองในการเลือกชื่อมานับไม่ถ้วน ทว่าทุกครั้งที่นึกถึงชื่อหนึ่งขึ้นมาได้ เขาก็ปฏิเสธกับตัวเองโดยคิดว่ามันธรรมดาเกินไปและไม่คู่ควรกับบุตรสาวคนสำคัญของเขา ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกลากยาวจนผ่านไป 2 เดือนแล้วก็ยังเลือกชื่อออกมาไม่ได้เสียที ในที่สุดหลี่เหอฮว๋าก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ดึงสิทธิ์ในการตั้งชื่อบุตรสาวกลับคืนมา แล้วเลือกชื่อให้กับบุตรสาวด้วยตัวเอง
สิ่งที่หลี่เหอฮว๋าคิดไม่ซับซ้อน นางตั้งชื่อให้บุตรสาวไปตรงๆ ว่า จางโหรวโหรว* เหตุผลก็คือนางได้เห็นพฤติกรรมของบุตรสาวตอนที่อยู่ในครรภ์แล้วว่าแม่หนูน้อยผู้นี้ภายนอกดูเหมือนเทพธิดา ทว่าภายในอาจมิได้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อว่าโหรวโหรว โดยหวังว่าชื่อนี้จะทำให้นางเติบใหญ่ขึ้นมาเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
*โหรว (柔) หมายถึง อ่อนนุ่ม อ่อนโยน
อย่างไรก็ตาม ชื่อโหรวโหรวไม่อาจช่วยบุตรสาวตัวน้อยของครอบครัวจางไว้ได้ แม่หนูน้อยคนนี้เติบโตขึ้นอย่างตามใจตัวเองและกลายเป็นปีศาจน้อยที่ซุกซนไร้ระเบียบแบบแผนซึ่งทำให้หลี่เหอฮว๋ารู้สึกเป็นกังวลอย่างที่สุด
ทุกครั้งที่หลี่เหอฮว๋าเห็นบุตรสาวที่มีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดาตัวน้อย ทว่ากลับทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ตนต้องรู้สึกคันฟัน หลี่เหอฮว๋าก็แทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปตีบั้นท้ายของนาง ทว่าทุกคนในครอบครัวก็ต่างรักใคร่เอ็นดูนางจนหลี่เหอฮว่าไม่อาจทำอะไรดาวน้อยผู้นี้ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
สำหรับแม่หนูน้อยจางโหรวโหรว นางเป็นปีศาจมาตั้งแต่ยังเล็ก นางรู้เห็นว่าคนเดียวที่ลงโทษเฆี่ยนตีนางก็มีเพียงมารดาของตนเท่านั้น ดังนั้นในยามที่ก่อเรื่อง นางจะทำท่าเลียริมฝีปากอย่างน่าสมเพช ดวงตารื้น เห็นแล้วทั้งน่าสงสารและน่าเอ็นดู นางจะคอยหลบซ่อนตัวอยู่ด้านหลังบิดา พี่ชาย ท่านย่าหรือท่านอาของตนพร้อมกับมองไปที่มารดาของตนอย่างร้องขอความเมตตาด้วยท่าท่าทางที่รู้ตัวว่าตนเองทำผิด “ท่านแม่ โหรวโหรวรู้ตัวแล้วว่าทำผิด ยกโทษให้โหรวโหรวด้วย อย่าตีก้นโหรวโหรวได้หรือไม่เจ้าคะ?”
หลี่เหอฮว๋าไม่ได้หลงกลภาพลักษณ์ที่น่าสมเพชของดาวปีศาจน้อยผู้นี้ ทว่าบ่อยครั้งก่อนที่นางจะได้ลงมือทำอะไร คนอื่นๆ ที่ไม่อาจทนเห็นภาพที่น่าสงสารและน่าเอ็นดูของแม่หนูน้อยผู้นี้ได้ก็จะคอยปลอบแม่หนูน้อยว่า “ที่รักเจ้าไม่ต้องกลัวนะ” จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมไม่ให้หลี่เหอฮว๋าเข้มงวดมากเกินไปจนทำให้เด็กๆ รู้สึกกลัว และไม้เรียวที่อยู่ในมือของหลี่เหอฮว๋าก็จะถูกดึงออกไปทันทีเช่นกัน แล้วนางก็ไม่สามารถตีได้อีก
หลี่เหอฮว๋าโมโหจนคันฟัน เมื่อรู้ว่าช่วงเวลาระหว่างวันมีคนอยู่ด้วยมากเกินกว่าที่จะเคลื่อนไหวอะไรได้ นางจึงเก็บตัวและรอจนถึงเวลากลางคืนแล้วค่อยสะสางบัญชีกับปีศาจน้อยตัวนี้อีกครั้ง
จางหลินซื่อเป็นห่วงจางชิงซาน นางจึงเลือกอาศัยอยู่กับจางชิงซาน ดังนั้นในเวลากลางคืนที่บ้านจึงมีเพียงจางเถียซานและชูหลินเท่านั้น สองคนนี้ไม่อาจห้ามไม่ให้หลี่เหอฮว๋าสอนบทเรียนให้กับบุตรสาวของนางได้
มิใช่ว่าหลี่เหอฮว๋าไม่รักบุตรสาวตัวน้อย ตรงกันข้ามนางรักมากเกินไปด้วยซ้ำ นางจึงกลัวว่าบุตรสาวของตนจะเสียคนและกลัวว่าอุปนิสัยของบุตรสาวจะผิดเพี้ยนไปเพราะความงามของตัวเอง ดังนั้นเมื่อบุตรสาวทำผิด นางจึงไม่เคยหาข้ออ้างว่าเป็นเพราะบุตรสาวยังเล็กและปล่อยนางโดยไม่ลงโทษ หลี่เหอฮว๋าจะชี้ให้เห็นความผิดและลงโทษไปตามความผิดนั้น จนกว่านางจะรู้ตัวอย่างแท้จริงว่าตนเองกระทำผิด ต่อให้แม่หนูน้อยร้องไห้อย่างโศกเศร้า นางก็อดทนอดกลั้นต่อความลังเลที่เกิดขึ้นในหัวใจและไม่เคยประนีประนอม
วิธีการสอนของหลี่เหอฮว๋าที่มีให้บุตรสาวตัวน้อยคือบอกเหตุผลกับนางก่อน จากนั้นจะให้นางไปยืนที่มุมห้องเพื่อเป็นการลงโทษ หรือให้นางยื่นมือเล็กๆออกมาตี ในเวลานี้บิดาและพี่ชายที่รักแม่หนูน้อยจะเฝ้ามองดูอย่างไม่เป็นสุข ทว่าไม่กล้าเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเพราะพวกเขารู้ว่าหลี่เหอฮว๋าไม่อนุญาตให้ปกป้องนางในเวลาที่ตนกำลังสั่งสอนบุตรสาวตัวน้อย
ภายใต้การสั่งสอนอบรมของหลี่เหอฮว๋า แม่หนูน้อยเป็นเด็กที่ซื่อตรง นางชัดเจนอย่างยิ่งกับสิ่งถูกผิด นางจะไม่ทำสิ่งที่เป็นภัยต่อผู้อื่น และจะไม่ทำในสิ่งที่ทำให้หลี่เหอฮว๋ารู้สึกโกรธ แต่อาจเป็นเพราะด้วยนิสัยใจคอตามธรรมชาติของแม่หนูน้อยนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากชูหลินที่เป็นคนเงียบๆ และเก็บตัว นางเป็นคนซุกซนและไม่อาจสงบเสงี่ยมได้ นางหลงใหลในสิ่งอย่างเช่น ปีนต้นไม้และเก็บไข่นกบนหลังคา
หลี่เหอฮว๋ารู้ว่านี่คือธรรมชาติของเด็กและเป็นธรรมชาติของบุตรสาวตนด้วยเช่นกัน นางไม่ต้องการทำลายนิสัยที่เป็นธรรมชาตินี้และบังคับให้บุตรสาวเป็นหญิงที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมตามแบบแผนของยุคนี้ ดังนั้นในยามที่คนนิสัยซุกซนผู้นี้ทำสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย นางก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็นและปล่อยผ่านไป
แม่หนูน้อยจางโหรวโหรวค่อยๆ เรียนรู้ถึงขีดจำกัดที่มารดาของตนกำหนดไว้ ดังนั้นทุกครั้งที่ซุกซน นางมักจะทำในขอบเขตนั้นและจะไม่ปล่อยให้มารดาโมโหและตีนางได้ ดังนั้นจึงน้อยครั้งนักที่นางจะถูกลงโทษ นางได้กลายเป็นวายร้ายซุกซนที่ประสบความสำเร็จยิ่ง
แม้ว่าแม่หนูจางโหรวโหรวจะเป็นดาวดวงน้อยจอมก่อเรื่องที่แสนซุกซน ทว่านั้นมิได้เป็นการปิดกั้นนางจากการเป็นที่ชื่นชอบของผู้คน ไม่เพียงแต่ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่ชื่นชอบนาง ทว่าบรรดาเด็กๆ ที่ได้เห็นนางต่างก็ชื่นชอบนางเช่นกัน เด็กชายตัวน้อยมักชอบเดินตามหลังนาง คนทางซ้ายพูดว่า “น้องสาว ข้าเอาขนมมาให้เจ้า” คนทางขวาบอกว่า “น้องสาว ข้าเอาตุ๊กตาผ้าเด็กผู้หญิงมาให้เจ้า” อีกคนก็พูดว่า “น้องสาว เจ้ามาเล่นกับข้าเถิด” และอีกคนหนึ่งพูดว่า “น้องสาว ที่บ้านข้ามีม้าไม้ตัวใหญ่ด้วย ไปเล่นกันเถิด”
ฉะนั้น ด้านหลังของแม่หนูน้อยจึงมักจะเห็นเด็กชายตัวเล็กๆ จำนวนมากขอร้องให้แม่หนูน้อยไปเล่นด้วย
เมื่อเผชิญกับปรากฏการณ์นี้ จางเถียซานผู้ซึ่งหมกหมุ่นกับบุตรสาวและชูหลินผู้ซึ่งคลั่งไคล้น้องสาวจึงวิตกกังวลอย่างมาก เมื่อพวกเขาจับตัวแม่หนูน้อยมาได้ก็สั่งสอนไม่ให้นางสนใจเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ เหล่านั้นและบอกไม่ให้นางรับของขวัญจากผู้อื่น รวมทั้งสอนไม่ให้นางพูดคุยกับคนแปลกหน้าด้วย สรุปง่ายๆ แม่หนูน้อยเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองมาจากคนทั้งสอง และนางจะไม่รับของขวัญจากผู้อื่นเว้นเสียแต่ว่าบิดามารดาของนางเอ่ยปากว่ารับได้
หลี่เหอฮว๋ามีความสุขที่ได้เห็นความสำเร็จนี้
กระนั้นก็ตาม หลี่เหอฮว๋าไม่คาดคิดเลยว่าต่อให้บุตรสาวของนางฉลาดและระมัดระวังเพียงใด ทว่ารูปลักษณ์ของแม่หนูน้อยก็ยังน่าดึงดูดเกินไปและทำให้คนอื่นเกิดความคิดโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเด็กหญิงอายุได้ 5 ขวบ นางถูกกลุ่มค้ามนุษย์บังคับวางยาและลักพาตัวไปในขณะที่ผู้ใหญ่ไม่ทันระวัง
เหตุการณ์นี้ทำให้ครอบครัวจางเหมือนพังครืนลงทันใด จางหลินซื่อร้องไห้จนหมดสติไป
ชีวิตของหลี่เหอฮว๋าเกือบดับสูญ แข้งขาอ่อนแรงจนไม่สามารถลุกขึ้นได้จางเถียซานสะกดกลั้นจิตใจแล้วติดต่อสหายจากทุกสาขาอาชีพเพื่อค้นหาตัวไปทั่วเมือง จากนั้นก็ไปหาท่านเจ้าเมืองเพื่อขอความช่วยเหลือ
เจ้าเมืองคนปัจจุบันไม่ใช่ฮั่วอี้อีกแล้ว ฮั่วอี้ได้เลื่อนตำแหน่งและโยกย้ายไปยังเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อน กระนั้นเจ้าเมืองคนปัจจุบันก็เป็นคนในตระกูล ฮั่ว ก่อนจากไปฮั่วอี้ได้ทักทายและเอ่ยปากฝากฝังให้ช่วยดูแลหลี่เหอฮว๋าและคนอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ท่านเจ้าเมืองจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก ระดมกองกำลังทั้งหมดเพื่อค้นหาแม่หนูน้อยโหรวโหรว
เคราะห์ดีก่อนที่ผู้ค้ามนุษย์จะทันมีเวลาออกจากเมือง ทีมค้นหาของกองกำลังก็พบตัวแม่หนูน้อยภายในบ้านส่วนตัวแห่งหนึ่งภายในเวลาไม่ถึงวัน ในตอนนี้แม่หนูน้อยได้ผูกจับมัดไว้ พวกมันตั้งใจจะขายนางให้กับหอนางโลมที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงในราคาที่สูงลิ่ว
จางเถียซานโกรธจนแทบคลั่ง เขาทำร้ายพ่อค้ามนุษย์ปางตายก่อนจะส่งมอบตัวให้ทางการ คนเหล่านี้คงถูกจองจำในคุกและไม่มีวันได้ออกมาอีกเลยในชีวิตนี้
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หลี่เหอฮว๋าก็ครุ่นคิดอย่างหนัก บุตรสาวของนางเป็นคนที่สวรรค์โปรดปรานและประทานความงามที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป แต่ในขณะเดียวกันก็มอบอันตรายที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปให้ด้วยเช่นกัน นางต้องการเพียงให้บุตรสาวของตนได้ใช้ชีวิตที่สงบสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรงเท่านั้น
สิ่งแรกที่หลี่เหอฮว๋าตัดสินใจทำคือให้บุตรสาวร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หลี่เหอฮว๋าหวังให้บุตรสาวของตนจะสามารถปกป้องและช่วยเหลือตัวเองได้ในยามที่ตกอยู่ในอันตรายแทนที่จะรอคอยความตายเท่านั้น ดังนั้นหลี่เหอฮว๋าจึงหาอาจารย์หญิงมาสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับแม่หนูน้อยโหรวโหรวโดยตรงที่บ้าน
เดิมทีแม่หนูน้อยโหรวโหรวเป็นคนอยู่ไม่สุข มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นมากอยู่แล้ว นางจึงมิได้อึดอัดใจแม้แต่น้อยกับการฝึกศิลปะการต่อสู้ ตรงกันข้ามนางกระตือรือร้นและฝึกฝนกับอาจารย์อย่างจริงจังอย่างมาก แม้แต่เรื่องที่โปรดปรานอย่างการปีนต้นไม้หรือจับไข่นกนางก็ไม่สนใจที่จะทำมันอีกต่อไป
การฝึกศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งที่หนักหนายิ่ง บางครั้งแม่หนูน้อยก็เหนื่อยล้าเกินกว่าจะทนความเจ็บปวดได้ แต่ด้วยการอบรมสั่งสอนและการให้กำลังใจของหลี่เหอฮว๋า นางจึงอดทนไปได้และไม่ทำตัวเกเร
อีกทั้งแม่หนูน้อยก็มีพรสวรรค์ในการฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างมาก นางแข็งแกร่งไม่น้อย ในเวลาไม่ถึง 3 ปีนางสามารถเอาชนะบุรุษที่รุมล้อมนางสองคนได้ด้วยมือเปล่า ถึงตอนนี้หลี่เหอฮว๋าจึงรู้สึกวางใจลงได้
แต่เมื่อแม่หนูน้อยเติบใหญ่และงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของหลี่เหอฮว๋าก็ต้องลอยค้างเติ่งขึ้นอีกครั้ง นางงดงามจนพวกเด็กผู้ชายที่ในวัยเดียวกันพากันใฝ่หาถึงนาง หลี่เหอฮว๋ารู้ว่าวันหนึ่งบุตรสาวของนางจะต้องแต่งงานกับใครสักคน แต่ในฐานะของคนเป็นแม่ นอกจากความรู้สึกไม่เต็มใจแล้ว นางยังรู้สึกกังวลเรื่องของยุคสมัยอีกด้วย
นี่คือยุคที่บุรุษเป็นใหญ่ เป็นยุคที่ไม่มีความเป็นธรรมต่อสตรีอย่างที่สุด สตรีไม่มีสิทธิ์มีเสียงและไม่มีอิสระ ต้องยอมจำนนต่อบุรุษและปฏิบัติตามสิ่งที่เรียกว่าสามคล้อยตามสี่คุณธรรม ในยุคนี้เป็นเรื่องปกติที่บุรุษจะมีสามภรรยาสี่อนุ ทว่าสตรีต้องยึดมั่นหนักแน่น หลี่เหอฮว๋าไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ กระนั้นนางก็ไม่มีอำนาจที่จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ทว่านางไม่ต้องการให้บุตรสาวของตนต้องตกเป็นเหยื่อในสังคมศักดินาเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ หลี่เหอฮว๋าจึงสอนให้แม่หนูน้อยโหรวโหรวหัดพึ่งพาตนเองได้ตั้งแต่ยังเล็กและยังสอนถึงแนวคิดที่ว่า “บุรุษควรเสมอต้นเสมอปลาย สามภรรยาสี่อนุเป็นสิ่งที่ไม่อาจยินยอมได้” ดังนั้นในความคิดของแม่หนูน้อยโหรวโหรวจึงไม่มีความอ่อนน้อมผ่อนตามแบบสตรีโบราณ และมีมุมมองของหญิงสาวสมัยใหม่ในเรื่องของชีวิตและความรัก ดังนั้นยามที่บรรดาเด็กผู้ชายที่แก่แดดตั้งแต่อายุยังน้อยบอกมานางว่าพวกเขาชอบนางและต้องการจะแต่งงานกับนางในอนาคต แม่หนูน้อยโหรวโหรวจะยิ้มและตั้งคำถามกับพวกเขาไปว่า “เจ้าคิดว่าบุรุษที่มีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไม่?”
การศึกษาในยุคโบราณทำให้เด็กผู้ชายรู้สึกว่าสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่ง ผู้ที่มีภรรยาเพียงคนเดียวเป็นเพราะครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นยากจนเกินกว่าจะเลี้ยงดูหลายคนได้ หากพวกเขาสามารถเลี้ยงดูไหวก็ย่อมสามารถมีภรรยาได้มากเท่าที่ต้องการ คำตอบของเด็กชายเหล่านี้จึงทำให้แม่หนูน้อยโหรวโหรวไล่ทุบตีพวกเขาอย่างรุนแรง นางน่ากลัวเสียจนไม่มีใครกล้ามาพูดจาอีกเลยว่าพวกเขาต้องการจะแต่งงานกับนาง
แม้ว่าเรื่องนี้จะค่อนข้างรุนแรง แต่ทุกคนในครอบครัวต่างก็คิดว่าเป็นเรื่องดี เช่นนี้จะได้ไม่ต้องกังวลใจว่าจะมีผู้ใดมารังแกแม่หนูน้อยอีก
หลี่เหอฮว๋ายังได้พูดคุยกับจางเถียซานว่าบุคคลเช่นใดที่จะแต่งงานกับโหรวโหรวในอนาคต หลี่เหอฮว๋าต้องการให้ทั้งชูหลินและโหรวโหรวพบกับคนที่พวกเขาชื่นชอบจริงๆ ทว่าในยุคนี้สตรีไม่ก้าวเท้าออกนอกบ้าน ชายหญิงไม่อาจทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งก่อนการแต่งงานได้ และเป็นเรื่องยากมากที่พวกเขาจะตกหลุมรักกันได้อย่างอิสระ หลี่เหอฮว๋าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากคงต้องเลือกภรรยาที่ดีให้กับชูหลินตามความคิดเห็นของเขา และเตรียมเลือกสามีที่ดีให้กับโหรวโหรว
จางเถียซานไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเกี่ยวกับชูหลิน สิ่งที่เขากังวลคือโหรวโหรว ในสายตาของทาสบุตรสาวผู้นี้ ไม่มีเจ้าคนต่ำช้าคนใดที่ดีพอสำหรับลูกน้อยของตนเอง เขาไม่วางใจที่จะมอบนางให้แก่ผู้ใดทั้งสิ้น เป็นเรื่องยากสำหรับหลี่เหอฮว๋าที่จะปรึกษาเรื่องนี้กับเขาได้
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อนว่าแม่หนูน้อยโหรวโหรวจะเกิดตกหลุมรักอย่างอิสระจริงๆ ในตอนที่นางได้อายุแปดขวบ นางได้พาสามีเด็กกลับมาที่บ้าน