ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าฉาบด้วยแสงสีแดงเพลิง ควันไฟลอยสูงขึ้นจากปล่องไฟ เสียงสุนัขเห่าดังขึ้นเป็นครั้งคราว ประกอบกับเสียงที่ร่าเริงของพวกเด็กๆ ได้สะท้อนภาพอันสุขสงบและบรรยากาศที่อบอุ่น
หากเป็นยามปกติ หลี่เหอฮว๋าคงดื่มด่ำกับความงดงามของบรรยากาศเช่นนี้ไปด้วยอย่างแน่นอน ทว่าเวลานี้เธอกลับไม่คิดจะชื่นชมมันเลยแม้แต่น้อย ตัวเธอในตอนนี้แค่อยากกรีดร้องออกมาว่า ซวยแล้วฉัน~
เธอมองลานบ้านที่มีรั้วล้อมรอบตรงหน้า ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวตอนนี้ล้วนแปลกตาไปหมด มันแตกต่างไปจากโลกในยุคปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ในที่สุดหลี่เหอฮว๋าก็ตระหนักได้ว่าตนเองถูกแจ็กพอตใหญ่ทะลุมิติเข้าให้แล้ว
ทะลุมิติช่างเป็นคำที่น่ามหัศจรรย์อะไรอย่างนี้นะ มันคือสิ่งที่เธอเคยอ่านเจอก็แต่ในนิยายเท่านั้น ทว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะน่าเหลือเชื่อสักแค่ไหน ตัวเธอก็ได้ทะลุมิติมาแล้ว หลังจากที่สติแตกมาครึ่งค่อนวัน เธอก็จำต้องยอมรับความจริงว่าตนเองได้ทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณ แม้จะยังไม่รู้ว่ามาอยู่ในช่วงเวลายุคไหนก็ตาม
นอกจากความทรงจำที่เป็นของตัวเธอเองจริงๆ เธอก็ไม่รู้อะไรอีกเลย ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า หลังพยายามเค้นหาความทรงจำอยู่นาน เธอก็ยังคงคิดอะไรไม่ออกอยู่ดี
หลี่เหอฮว๋ากุมหน้าผากของตนเองพร้อมกับถอนหายใจออกมา ทำไมเธอจึงไม่มีความทรงจำใดๆ ของผู้อื่นมาบ้างเลย? แล้วความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมล่ะ? ทำไมเธอถึงไม่ได้รับการถ่ายทอดความทรงจำของร่างเดิมมาเลยสักนิด?
ความว่างเปล่านี้ทำให้เธอต้องเขกศีรษะตนเองด้วยความรู้สึกหงุดหงิด ได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง
ทันทีที่ก้มหน้าลงหลี่เหอฮว๋าก็มองเห็นรูปร่างของร่างปัจจุบันของตนเอง แล้วเธอก็ต้องเปล่งเสียงร้อง “โอ้” ออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
ไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้ง เธอก็รับสภาพเช่นนี้ไม่ได้อยู่ดี!
นี่ต้องมาอยู่ในร่างของใครกันว่ะเนี่ย? เหตุใดในยุคโบราณถึงได้มีหญิงรูปร่างอ้วนพีได้ถึงขนาดนี้อยู่ด้วย? มิใช่ว่าพวกผู้หญิงในหมู่บ้านต้องแทบมีไม่พอกินกันหรอกหรือ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สภาพความเป็นอยู่ดีมากจนถึงกับมีผู้ที่สามารถกินจุจนอ้วนพีได้ถึงขนาดนี้?
ร่างนี้น่าจะมีส่วนสูงอยู่ที่ประมาณ 160 เซนติเมตร แต่กลับมีน้ำหนักอย่างต่ำๆ ถึง 160 จิน* พวงแก้มเต็มไปด้วยก้อนเนื้อ ลำคอหายไปสิ้น ทุกส่วนล้วนมีแต่ก้อนเนื้อและไขมัน เมื่อลองนับดูอย่างถ้วนถี่แล้วพวงเนื้อบริเวณหน้าท้องนั้นนับได้ถึง 4 ชั้นด้วยกัน ขาทั้งสองข้างไม่ต่างไปจากขาของช้างเลย แค่ข้อเท้าก็มีขนาดใหญ่กว่าน่องของคนทั่วไปแล้ว อ้วนจนเกินบรรยายจริงๆ
*ราว 80 กิโลกรัม โดย 1 จินเท่ากับ 500 กรัม
สวรรค์ ต่อให้ต้องทะลุมิติมา แต่ต้องให้เธอมาอยู่ในร่างเช่นนี้ด้วยหรือ?
ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะรักษารูปร่างอันผอมเพรียวของตนเองไว้ให้ได้ ทุกคืนเธอจะกินแค่แอปเปิลเพียงผลเดียวเท่านั้น อีกทั้งยามใดที่มีเวลาว่างเธอก็จะหมั่นไปออกกำลังกายที่โรงยิมอยู่เสมอ เธอไม่เคยมีน้ำหนักเกินกว่า 95 จินเลยและเธอก็ภูมิใจในรูปร่างของตัวเองมาโดยตลอด แล้วดูตอนนี้สิ ช่างดีนัก เธอได้กลายร่างจากคนผอมเพรียวกลายเป็นคนตัวอ้วนลำบึกในชั่วพริบตา ช่างน่าปวดใจจริงๆ
ใครจะบอกเธอได้บ้างว่านี่คือที่ไหน? เจ้าของร่างเดิมเป็นใคร? นางมีชื่อแซ่ว่าอะไร? แล้วมีคนอื่นในครอบครัวอีกบ้างหรือไม่?
ในใจเธอมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย น่าเสียดายที่ไม่มีใครสามารถตอบคำถามเธอได้เลย
เธอรู้สึกตัวตื่นมาครึ่งค่อนวันแล้ว แต่ในห้องกลับมีแต่เธออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครโผล่หน้าเข้ามาในห้องเลยสักคน
เรื่องนี้ทำให้เธอคาดเดาว่าเจ้าของร่างเดิมน่าจะอาศัยอยู่เพียงลำพัง แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกหรือที่หญิงในยุคโบราณจะดำรงชีวิตอยู่เพียงลำพังคนเดียว? เจ้าของร่างเดิมเป็นหญิงม่ายหรือ? หรือว่าเป็นกำพร้าที่ทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตไปหมดแล้วทั้งคู่?
ไม่รู้ว่าเรื่องไหนที่ตรงกับการคาดเดาของเธอกันแน่
“โครก...” ในเวลานี้เกิดเสียงดังขึ้นจากท้องของเธอ หลี่เหอฮว๋าก้มมองหน้าท้องอ้วนของตน
ท้องร้องแล้ว
เธอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมานานมากแล้วและมัวแต่นั่งครุ่นคิดถึงเรื่องต่างๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องกินเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อท้องร้องออกมาเช่นนี้เธอก็พลันรู้สึกตัวว่าตนเองหิวมากและอยากจะหาอะไรมากิน
เรื่องที่สงสัยอยู่ก็ช่างมันไปก่อน ค่อยๆ หาคำตอบเอาภายหลัง ตอนนี้ต้องหาอะไรกินก่อน
หลี่เหอฮว๋ากุมท้องแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัวด้วยความยากลำบาก
ห้องครัวเป็นเรือนหลังคาหญ้าแฝกที่อยู่แยกออกไป ด้านในเป็นเตาแบบชนบทโดยทั่วไป ตรงกลางมีช่องปล่องไฟขนาดใหญ่ บนเตามีหม้อกระทะขนาดใหญ่สำหรับทำอาหารวางอยู่ 2 ใบ
แม้ว่าเตาดินแบบนี้จะมีใช้ไม่มากในยุคปัจจุบัน แต่ในฐานะที่เธอต้องบริหารจัดการเรื่องเกี่ยวกับอาหารมาโดยตลอดย่อมจะใช้เตาดินแบบนี้เป็น สำหรับเธอแล้วการใช้ฟืนทำอาหารไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นเลย
หลังมองไปรอบๆ ห้องก็เห็นตู้อาหาร ด้านในตู้มีเพียงข้าวกล้องสีคล้ำอยู่เกือบครึ่งถุงเท่านั้น ไม่มีอาหารอย่างอื่นอีก
ในขณะที่คิดอยู่ว่าจะทำอะไรดี ท้องก็ร้องขึ้นมาอีก ช่างเถอะ ข้าวกล้องก็ข้าวกล้อง ถึงจะดำเมี่ยมก็ช่าง หาอะไรมาใส่ท้องก่อน ไม่อย่างนั้นอาจหิวตายได้
ขั้นแรกต้องซาวข้าวก่อน หลังจากมองหาอยู่นาน เธอก็เจอหม้อที่ใช้สำหรับซาวข้าวได้ แต่หม้ออยู่ในสภาพดำปี๋ ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร มันสกปรกมากเสียจนเธอรู้สึกสะอิดสะเอียน
ดูเหมือนว่าก่อนจะทำอาหาร เธอคงต้องทำความสะอาดครัวเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงทำอาหารไม่ได้แน่
มีถังเก็บน้ำขนาดใหญ่อยู่ใกล้ๆ หลี่เหอฮว๋าเอื้อมมือไปเปิดฝาออกเพื่อจะตักน้ำ ทว่าในถังกลับไม่มีน้ำเหลืออยู่เลยสักหยด
“อ๊าย...” ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าเจ้าของร่างเดิมผู้นี้จะต้องเป็นคนที่ไร้รับผิดชอบมากแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้ห้องครัวสกปรกมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งในถังก็ไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย
เยี่ยมมาก ก่อนจะได้ทำความสะอาดครัวยังต้องไปหิ้วน้ำมาก่อนอีก
หลี่เหอฮว๋ายกถังหิ้วน้ำที่วางอยู่ข้างๆ ถังเก็บน้ำขึ้นมาแล้วเดินออกไปที่ประตู ในลานบ้านไม่มีบ่อน้ำ เธอจำเป็นต้องไปที่บ่อน้ำของหมู่บ้านเพื่อตักน้ำ
เมื่อเดินผ่านหน้าประตูออกมา หลี่เหอฮว๋าก็ชะงัก เบื้องหน้าเธอคือภาพของบ้านเรือนแบบโบราณที่อยู่ในชนบททั้งหมด ไม่ไกลออกไปมีพวกเด็กๆ กำลังเล่นกันอยู่และพวกเขาก็ใส่เสื้อผ้าในยุคโบราณ แม้จะรู้มาก่อนแล้วว่าตนเองได้ข้ามมิติมาในยุคโบราณ แต่เพิ่งจะในเวลานี้ที่เธอตระหนักอย่างแท้จริงว่านี่คือยุคโบราณ
ในขณะที่เธอกำลังตะลึงงันอยู่นั่นเอง เหล่าเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ไม่ไกลได้สังเกตเห็นเธอ พวกเขาต่างก็วิ่งเข้ามายังทิศทางที่เธอยืนอยู่ในทันที พวกเขาเข้ามาอยู่ในระยะที่ไม่ใกล้และไม่ไกลจากเธอมากจนเกินไป จากนั้นก็พากันชี้มาทางเธอพร้อมทั้งส่งเสียงตะโกน “นังหมูอ้วน นางเสือร้ายตัวแสบบ้านจาง...นังหมูอ้วน นางเสือร้ายตัวแสบบ้านจาง..”
หลี่เหอฮว๋า “...” นี่เด็กพวกนี้กำลังว่าเธอตัวอ้วนเป็นหมูอยู่ใช่ไหมเนี่ย? เป็นนางเสือร้าย? เป็นตัวแสบงั้นหรือ? แล้วบ้านจางคืออะไร?
หลี่เหอฮว๋าไม่รู้สึกโกรธแต่อย่างใด เธอรู้ว่าคนที่เด็กพวกนี้กำลังก่นด่าอยู่คือเจ้าของร่างเดิมไม่ใช่เธอ ถึงกระนั้นคำพูดของเด็กๆ ก็ทำให้เธอต้องคาดเดา เจ้าของร่างเดิมเป็นนางเสือร้ายตัวแสบอย่างที่เด็กๆ พูดจริงๆ น่ะหรือ? เช่นนั้นนางก็เป็นคนนิสัยแย่น่ะสิ
พวกเด็กๆ ที่ตะโกนกันอยู่เห็นหลี่เหอฮว๋ายืนนิ่งไม่ได้ถอดรองเท้าขึ้นมาแล้ววิ่งไล่พวกเขาอย่างที่เคยเป็นก็รู้สึกแปลกใจมาก พวกเขาจึงหยุดตะโกนแล้วหันมามองหน้ากัน
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง? เหตุใดนางถึงไม่วิ่งไล่ตามด่าพวกเราแล้วล่ะ?” เด็กตัวเล็กคนหนึ่งหันไปถามเพื่อนที่อยู่รอบๆ
ทุกคนรู้สึกแปลกใจมาก ปกติทุกครั้งที่พวกเขาทำเช่นนี้ หญิงตัวอ้วนผู้นี้จะวิ่งไล่ตีพวกเขามาโดยตลอด แม้ว่านางจะตัวอ้วนเกินกว่าจะวิ่งไล่ตามพวกเขาได้ทัน แต่เมื่อใดก็ตามที่นางหยุดวิ่ง นางก็จะตะโกนก่นด่าไล่หลังพวกเขาด้วย
แต่วันนี้กลับเกิดอะไรขึ้น?
เด็กอีกคนอดเสนอความคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า “หรือไม่พวกเราตามไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่?”
เด็กคนหนึ่งรีบปฎิเสธทันที “ไม่เอาหรอก ถ้าถูกนางจับตัวได้ต้องแย่แน่ๆ นางมือหนักจะตาย ตอนที่เหวินหลินถูกตีพวกเจ้าก็เห็นแล้วนี่”
เมื่อนึกถึงท่าทางหวาดกลัวของเหวินหลินขึ้นมาได้ พวกเด็กๆ ต่างก็รู้สึกหนาวสั่นไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไป ได้แต่ยืนมองอยู่ที่เดิม
หลี่เหอฮว๋า “...” เยี่ยม เธอได้รู้เรื่องเจ้าของร่างเดิมมากขึ้นอีกนิดนึงแล้ว แต่ไม่ใช่เรื่องดีๆ เลย
กระนั้นการได้เจอพวกเด็กๆ เหล่านี้ทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าตนเองควรจะถามเรื่องต่างๆ ที่อยากรู้กับพวกเด็กๆ เพราะพวกเขาคงจะไม่นึกสงสัยอะไร
คิดแล้วหลี่เหอฮว๋าก็ปรับสีหน้าของตนเอง ปั้นรอยยิ้มที่คิดว่าเป็นท่าทางที่ดูใจดีและเป็นมิตรที่สุดออกมาแล้วสาวเท้าเข้าไปหาพวกเด็กๆ “เด็กๆ ข้ามีเรื่องอยากจะถาม...”
ก่อนที่นางจะพูดจบ พวกเด็กๆ ก็วิ่งแตกฮือราวกับได้เจอสัตว์ประหลาด พวกเขาวิ่งไม่หยุดพร้อมกับตะโกนว่า “หนีเร็ว นางตัวร้ายตามมาแล้ว!”
หลี่เหอฮว๋าพูดไม่ออก ไม่กล้าขยับเท้าก้าวตามไป
เดิมทีกลุ่มเด็กที่วิ่งหนีไปคิดว่าจะเห็นนางวิ่งไล่ตามพวกตนมา ทว่าเมื่อวิ่งไปจนสุดทางแล้วถึงได้พบว่านางไม่ได้ไล่ตามมาแต่อย่างใด พวกเขาก็อึ้งงันไปอีกครั้ง
พวกเด็กๆ หันมามองหน้ากันแล้วเดินกลับไปทางเดิมช้าๆ เมื่อเห็นว่านางยังคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน พวกเขาจึงเดินเข้าไปใกล้นางอีกนิดกระทั่งอยู่ในระยะที่คิดว่าปลอดภัยไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปก็หยุดฝีเท้า
หลี่เหอฮว๋ายังคงยืนนิ่ง เธอต้องการจะดูว่าเจ้าเด็กวายร้ายพวกนี้จะทำอะไรต่อไป
ต่างฝ่ายต่างก็สงบนิ่ง สุดท้ายเป็นพวกเด็กๆ ที่อดรนทนไม่ไหว เด็กคนหนึ่งที่ดูแข็งแรงเป็นพิเศษชี้มาที่หลี่เหอฮว๋าพลางเอ่ยถามว่า “นังอ้วน เหตุใดเจ้าถึงไม่เข้ามาไล่ตีพวกข้าล่ะ?”
หลี่เหอฮว๋ายังคงนิ่งเฉยราวกับไม่ได้ยินอะไร
เด็กคนนั้นรีบถามขึ้นอีกว่า “นังอ้วน เจ้าปัญญาอ่อนไปแล้วหรือ!”
เห็นท่าทางนั้นแล้ว หลี่เหอฮว๋าก็กลอกตาเบ้ปาก เธอแกล้งแสดงท่าดูแคลนพร้อมกับกล่าวว่า “พวกเจ้าน่ะสิปัญญาอ่อน ข้าไม่อยากจะพูดกับคนโง่เง่า!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้พวกเด็กๆ ต่างก็โกรธเกรี้ยวกล่าวสวนกลับไปว่า “เจ้าว่าใครโง่เง่า! เจ้าสิโง่เง่า!”
หลี่เหอฮว๋ากลอกตาพลางแสดงท่าดูถูกเหยียดหยามยิ่งกว่าเดิม “พวกเจ้าไม่ใช่คนโง่เง่าอย่างนั้นหรือ? ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะถามพวกเจ้า พวกเจ้ารู้ชื่อของข้าหรือไม่?”
เด็กชายคนหนึ่งยืดหน้าตอบทันที “จะไม่รู้ได้อย่างไร เจ้าชื่อหลี่เหอฮว๋า!”
หลี่เหอฮว๋าแอบตกตะลึง เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจ้าของร่างเดิมจะชื่อหลี่เหอฮว๋าเหมือนกันกับตน เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ?
หลี่เหอฮว๋าสะกดกลั้นความสงสัยในใจไว้แล้วแกล้งทำเป็นหงุดหงิดที่พวกเขาตอบคำถามของตนได้ เธอเอ่ยถามต่อไปว่า “เช่นนั้น พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าบ้านข้ามีคนอยู่ทั้งหมดกี่คน?”
เด็กคนหนึ่งในกลุ่มตอบกลับทันทีว่า “บ้านเจ้ามี 2 คน”
เด็กอีกคนรีบแย้งขึ้นว่า “ไม่ใช่ไม่ใช่ บ้านนางมีคนอยู่ 3 คน”
จากนั้นก็มีเด็กอีกคนก้าวออกมาแย้งว่า “ไม่ถูก บ้านนางมีคนทั้งหมด 5 คนต่างหากเล่า”
หลี่เหอฮว๋ารู้สึกสับสน เจ้าของร่างเดิมไม่ได้อยู่ลำพังคนเดียวหรอกหรือ? เหตุใดดูเหมือนว่าจะมีคนในครอบครัวอยู่ด้วยหลายคน? แล้วคนที่เหลือเล่า? เกือบตลอดทั้งวันเธอไม่เห็นคนในครอบครัวเลยสักคน
หลี่เหอฮว๋าอยากจะถามต่อ ทว่าทันใดนั้นก็มีหญิงคนหนึ่งรี่เข้ามาขัด “หลี่เหอฮว๋า! เจ้ากำลังทำอะไรน่ะ? เจ้าคิดจะรังแกพวกเด็กๆ อีกแล้วหรือไง!”
ผู้พูดเป็นหญิงอายุราวๆ 30 ปี นางอุ้มตัวเด็กไว้พร้อมกับจ้องหน้ามาที่เธอราวกับกำลังมองตัวร้ายที่น่ารังเกียจอยู่
“ข้า...” หลี่เหอฮว๋าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
พอเห็นเธอพูดไม่ออก หญิงผู้นั้นก็คิดว่าเธอทำความผิดจริง นางจึงแค่นเสียงอย่างเย็นชาแล้วพูดกับพวกเด็กๆ ว่า “รีบกลับบ้านเร็วเข้า อย่าไปกวนโมโหนาง ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกนางตีจนตายได้!” หลังกล่าวจบนางก็ดึงตัวลูกของตัวเองกลับบ้านไป
หลี่เหอฮว๋าถูกทิ้งให้ยืนนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออกอยู่ด้านหลัง
ช่างเถิด ครั้งหน้ายังมีโอกาสให้ถามข่าวอีก ไปตักน้ำมาก่อนดีกว่า
พอคิดถึงเรื่องหาบน้ำขึ้นมาได้ หลี่เหอฮว๋าก็ชะงักอีกครั้ง จากนั้นก็ตบศีรษะของตัวเองอย่างแรง ยังไม่ทันได้ถามเลยว่าบ่อน้ำอยู่ตรงไหน แล้วเธอจะไปตักน้ำได้จากที่ไหนล่ะ?
พอมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นใครเลยสักคน ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาอาหารเย็นของแต่ละบ้านแล้ว คงจะไม่สามารถหาคนมาถามเรื่องบ่อน้ำได้ เช่นนั้นคงต้องหาด้วยตัวเองแล้ว
หลี่เหอฮว๋าเดินถือถังน้ำไปตามถนนในหมู่บ้าน เมื่อเดินไปจนสุดทางด้านหนึ่งแล้วไม่พบบ่อน้ำ เธอจึงหันหลังเดินกลับไปในทิศทางตรงกันข้าม ครั้งนี้โชคดีที่เธอเจอต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและบ่อน้ำก็อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น
หลี่เหอฮว๋ารีบดึงเชือกที่ติดกับบ่อน้ำขึ้นมาผูกเข้ากับถังไม้ จากนั้นก็ปล่อยถังลงไปในบ่อ พอตักน้ำได้จนเกือบเต็มถัง เธอก็ดึงถังขึ้นมา
เธอพยายามดึงเชือกถังไม้ขึ้นอยู่นาน แต่ถังน้ำมีน้ำหนักมากเกินไป
หลี่เหอฮว๋ามองร่างกายของร่างนี้พร้อมกับอดที่จะรู้สึกอดสูตัวเองไม่ได้ ร่างกายที่มีเนื้อหนังเต็มแน่น ทว่าแค่จะยกถังน้ำขึ้นมายังทำไม่ไหวเลย
ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเทน้ำในถังออกไปบ้าง กระทั่งน้ำเหลือเพียงครึ่งถังเธอจึงยกมันขึ้นมาได้
พอยกถังน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ขอบบ่อได้ หลี่เหอฮว๋าก็หอบแฮ่ก เธอยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก หลังพักเหนื่อยสักครู่ เธอก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถังน้ำขึ้นเต็มแรงแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม
ทว่าเมื่อกลับมาถึงบ้าน น้ำในถังก็เหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น