กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
เมื่อเจียงหลีได้เห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสสำนัก ทำให้เขารู้ว่าความสำคัญของข่าวนี้ต่อสำนักชั่งจิงกู่ไม่ได้เกินความคาดหมายของเขา
ถ้ามองในมุมมองของพวกหยูป้านเซีย พวกเขาจะเห็นเพียงแค่ว่าเด็ก ๆ พวกนั้นเป็นเหมือนกับกองหินวิญญาณนับพันก้อน
แต่ทางสำนักมองในมุมที่กว้างไกลกว่านั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นไม่ใช่แค่หินวิญญาณ นอกจากนี้พวกเขาก็หวังว่าจะได้รับประโยชน์มากมายจากปรากฏการณ์นี้
ส่วนเจียงหลี ดูเหมือนว่าเขาจะคิดล้ำหน้าไปยิ่งกว่าทางสำนักเสียอีก
“เจียงหลี เจ้าทำได้ดีมาก คราวนี้เจ้าได้บังเอิญเจอกับโชคลาภครั้งใหญ่แล้ว”
“ตราบใดที่ไม่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น สำนักจะไม่มองข้ามเจ้าไปแน่นอน เจ้าอาจจะสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักทันทีที่กลับไปเลยก็ได้”
ในระหว่างนั้นเด็กหนุ่มส่งคืนหินวิญญาณสื่อสารให้ผู้อาวุโสเวิ่งที่มีอารมณ์เบิกบานมากกว่าเดิม
มันเป็นอย่างที่เขาคิด ความดีความชอบส่วนใหญ่มักจะตกเป็นของอีกฝ่าย เพราะท้ายที่สุดแล้ว เรื่องของชนชั้นจะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เปรียบเหมือนกับความแตกต่างระหว่างแม่ทัพกับพลทหารทั้งหลายที่เอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงฟาดฟัดกับศัตรู แต่ความดีความชอบส่วนใหญ่จะตกไปเป็นของแม่ทัพ
สำหรับสิ่งที่ผู้อาวุโสบอกว่าไม่มีอะไรผิดพลาดนั้นโดยส่วนมากเขาจะใช้เป็นข้ออ้างในการปัดความรับผิดชอบ...
“ท่านผู้อาวุโส ไม่ต้องกังวล สิ่งที่ข้าเล่าคือความจริงทั้งหมด ข้าไม่ได้โกหกตรงส่วนไหนเลย มันคงจะไม่มีปัญหาอะไร”
เจียงหลีรู้ดีว่าอีกฝ่ายกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องอะไรนอกจากความจริงของข้อมูล เขาจึงยืนยันประเด็นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าและสรุปได้ว่าไม่มีปัญหาที่ต้องเป็นห่วง
“ดีที่เจ้ามั่นใจ”
“มีอะไรอีกรึ? ไยเจ้าถึงทำหน้าตาแปลก ๆ ถ้าอยากพูดอะไรก็พูดมาสิ”
หลังจากผู้อาวุโสเวิ่งได้รับผลประโยชน์แล้ว เขาก็พูดชัดเจนกว่าครั้งที่แล้วมาก เขาเห็นการแสดงออกของลูกศิษย์ที่บ่งบอกว่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยังลังเล ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามออกมาแบบนั้น
“คือว่า…ท่านผู้อาวุโสเวิ่ง นอกจากการเข้าร่วมสำนักชั้นในแล้ว ข้ายังสามารถเลือกอะไรได้อีกหรือไม่?”
ทั้ง ๆ ที่เจียงหลียังไม่ได้รับความดีความชอบอะไร แต่เขาก็เริ่มกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว
"โอ้ ทำไมล่ะ? การเป็นศิษย์ในสำนักทำให้เจ้าได้รับประโยชน์มากมาย แค่นี้ยังทำให้เจ้าพึงพอใจไม่ได้หรือ?”
ใบหน้าสีดอกกุหลาบของเวิ่งซานฉีแสดงออกว่าฉงนเล็กน้อยกับท่าทีของศิษย์พลางรู้สึกไม่พอใจด้วย โดยทั่วไปแล้ว การได้เข้าสำนักชั้นในเป็นความใฝ่ฝันของศิษย์นอกสำนักส่วนใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจียงหลีที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางเท่านั้น เขารู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้กำลังได้คืบจะเอาศอก
“ท่านผู้อาวุโส การประลองของสำนักชั้นนอกจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ไม่ใช่หรือ? ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตัวเองในการเข้าสู่สำนักชั้นใน”
เด็กหนุ่มไม่ได้สื่อออกไปว่าศิษย์พี่ในสำนักชั้นนอกนั้นมีแต่พวกขยะที่ไม่เอาไหน หรือสื่อว่าเขากลัวที่จะเสียรางวัลใหญ่จากโอกาสนี้ไป แต่เขาบอกว่าเขาต้องการพึ่งพาความพยายามของตนเองมากว่า
คำพูดพวกนี้ก็เป็นเหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน โดยที่คนพูดใช้ถ้อยคำนี้เป็นอุบาย ในขณะที่คนฟังกลับคิดว่ามันน่ายกย่อง
คำตอบของเจียงหลีทำให้ชายที่เป็นผู้อาวุโสตะลึงและการแสดงออกของเขาก็อ่อนโยนขึ้นมาก
คนพวกนี้ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขามั่นใจในความเชื่อของตนเองมากจนชอบประเมินผู้อื่นด้วยค่านิยมของตนเอง
แม้ว่าจะเป็นเพียงข้อเสนอแนะที่ไม่ได้รับการยอมรับ แต่ก็อาจทำให้คนที่อยู่สูงกว่าไม่พอใจได้ เพราะฉะนั้นก่อนที่สถานะของพวกเขาจะเท่ากันหรือเหนือกว่า เจียงหลียังคงต้องปฏิบัติตามความคิดเห็นของอีกฝ่าย
"โอ้? เจ้ามั่นใจมากว่าจะชนะการประลองของสำนักชั้นนอกหรือ?”
“ไม่สิ เดี๋ยวนะ หรือว่า…เจ้ามีความขัดแย้งกับศิษย์จากสำนักกระบี่อู่ซิงคนนั้น?”
ก่อนหน้านี้เวิ่งซานฉีไม่ได้ใส่ใจการกระทำที่แปลกประหลาดของหยิน ชิวและคำพูดสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ก่อนจากไปสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจเรื่องราวระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองขึ้นมาแล้ว
นักพรตของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานมีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่ง ก่อนหน้านี้เขาได้เชิญเจียงหลีเข้าร่วมการต่อสู้ จะเห็นได้ว่าลูกศิษย์คนนี้มีจุดประสงค์เดียวกันอย่างแน่นอน
“ในตอนแรกข้ามีความขัดแย้งเล็กน้อยกับศิษย์พี่หยินชิวก็จริง แต่ข้าไม่ได้ทำให้สำนักชั่งจิงกู่อับอาย”
เจียงหลีพูดพร้อมกับคำนับอย่างสุภาพ อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขามีความหมายที่ชัดเจนและไม่อ้อมค้อม
“เจ้าไม่ได้แพ้ให้กับศิษย์ของสำนักกระบี่อู่ซิงจริง ๆ หรือ?”
สีหน้าแสดงความประหลาดใจของเวิ่งซานฉีเหมือนกับสีหน้าของหยินชิวก่อนหน้านี้ แต่มันเป็นเรื่องปกติที่ศิษย์นอกสำนักมักจะถูกดูถูกเรื่องฝีมือ
พวกเขาถูกเหยียดหยามเพราะมีรากฐานทางจิตวิญญาณในระดับไม่สูงส่ง รวมไปถึงมีทรัพยากรและสถานะต่ำที่สุดในสำนักอีกด้วย
“ข้าไม่ได้คาดหวังว่าผลมันจะออกมาเป็นแบบนี้จริง ๆ ศิษย์ของสำนักกระบี่อู่ซิงใช่ว่าจะรับมือได้ง่าย ประกอบกับเจ้าเองก็เพิ่งเข้ามาในสำนักได้เพียงไม่กี่เดือน แล้วเจ้าก็มีความสามารถขนาดนั้นแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะมั่นใจมาก”
“ในเมื่อเจ้ามีความคิดเช่นนั้น ข้าก็มีข้อเสนอแนะ…”
หลังจากที่เจียงหลีได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสพูด ดวงตาของเขาก็สว่างไสวขึ้นและนิ่งคิดไปสักพัก
“ท่านผู้อาวุโสเวิ่ง ข้ามีเรื่องจะขอร้อง”
หากมีคนเป็นหนี้บุญคุณเรา ทางที่ดีเราควรเรียกร้องสิ่งตอบแทนทันที ไม่เช่นนั้นในภายหลังมันก็จะกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
เจียงหลีเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ดื่มเหล้าทุกวันอย่างเวิ่งซานฉี บางครั้งเขาก็อาจจะหลง ๆ ลืม ๆ ไปบ้าง
ในขณะนี้เด็กหนุ่มไม่มีเวลามากังวลเกี่ยวกับการทำให้ตัวเองอับอาย เขาคำนับพูดขอร้องผู้อาวุโสเวิ่งอีกครั้ง
"พูดมา ในฐานะผู้อาวุโส ข้าควรให้รางวัลแก่เจ้าก่อนล่วงหน้า”
นี่คือรางวัลที่เจียงหลีสมควรได้รับจากการมอบความดีความชอบของภารกิจนี้ให้ผู้อาวุโสเวิ่งซานฉี
“ท่านผู้อาวุโส ข้าต้องการเรียนรู้วิชาที่ทำให้ท่านมองเห็นและได้ยินโลกภายนอกผ่านหุ่นเชิด”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ วิชาควบคุมผีดิบทำให้เขาสามารถควบคุมผีดิบได้ก็จริงอยู่ แต่มันไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ร่วมกันได้
ตอนที่เขาอยู่ใกล้ผีดิบสีดำอาจจะพอทำได้บ้างและมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ตอนนี้เขาขึ้นฝั่งมาครึ่งวันแล้ว แต่อาการของผีดิบสีดำดูแปลก ๆ ไปราวกับว่ามันจมลงไปในบางสิ่ง แม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมมันไว้ แต่มันก็ไม่สามารถออกมาได้
จุดอ่อนของวิชาควบคุมผีดิบในด้านนี้มีมากเกินไป ถ้าเขาสามารถชดเชยส่วนนี้ได้… ทางที่ดีเขาควรหาทางแก้ไขให้ได้เร็วที่สุด แต่ก่อนอื่นเขาต้องหาผีดิบสีดำตัวนั้นให้เจอก่อน
“เจ้าต้องการที่จะเรียนรู้วิชาสัมผัสทั้ง 5 อย่างนั้นหรือ?” เวิ่งซานฉีถามอย่างประหลาดใจ
“เคล็ดวิชาสัมผัสทั้ง 5 นี้เป็นวิชาที่ไม่ธรรมดา การเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าไม่ใช้วิชานี้ควบคู่ไปกับวิชาหุ่นเชิด มันก็จะไม่มีประสิทธิภาพมากนัก”
“เจ้าหนู เจ้าเป็นคนเก่งเรื่องการค้าขายอยู่แล้ว เจ้ายังต้องการเรียนรู้วิชานี้จริง ๆ หรือ?”
ชายสูงวัยเอ่ยถามพลางเหลือบมองไปที่สัญลักษณ์ศิษย์ลงทะเบียนของหอโอสถที่เจียงหลีแขวนไว้เพราะเสื้อผ้าของเขาเสียหายไปแล้ว
“ทักษะการหลอมโอสถนี้เพียงอย่างเดียวก็ทำให้นักพรตคนหนึ่งต้องใช้เวลาตลอดชีวิตในการศึกษามันแล้ว เจ้ายังต้องการเรียนรู้วิชาหุ่นเชิดอยู่อีกหรือ”
“ท่านผู้อาวุโส วิชาสัมผัสทั้ง 5 นี้มีประโยชน์อย่างอื่นสำหรับข้า ได้โปรดสอนข้าด้วยเถิด”
‘ทำไมผู้อาวุโสคนนี้ถึงได้เซ้าซี้นักนะ แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากต้องยืนยันกับเขาให้หนักแน่น’ เจียงหลีคิดกับตัวเอง
“เอาล่ะ นี่คือใบหยกสำหรับวิชาสัมผัสทั้ง 5 หากเจ้ามีคำถามอะไรก็ถามมาได้เลย ไม่ต้องลังเล”
ผู้อาวุโสเวิ่งซานฉีกล่าวจบแล้วก็หยิบใบหยกออกมาจากที่ไหนสักแห่งก่อนจะส่งให้ลูกศิษย์แบบขอไปที
หลังจากที่เด็กหนุ่มได้เรียนรู้เคล็ดวิชาใหม่ เขาก็ถามคำถามยาก ๆ มากมายกับอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็วิ่งไปที่เพิงพักใกล้ ๆ และนั่งลงก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกฝน
วิชาที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของธาตุหลักทั้ง 5 หรือหยินหยาง พวกมันเป็นวิชาที่ลึกลับของโลก ซึ่งมันรวมถึงคาถา ยันต์ลับ พิธีกรรมและทุกอย่างที่เป็นของนอกรีตก็รวมเข้าไปด้วยเช่นกัน
การฝึกฝนวิชาสัมผัสทั้ง 5 นี้ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกับที่ผู้อาวุโสเวิ่งซานฉีกล่าว อย่างน้อยความรู้ขั้นพื้นฐานก็สามารถเรียนรู้ได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาต้องการไปให้ถึงระดับเดียวกับผู้อาวุโสเวิ่งผู้ซึ่งสามารถส่งหุ่นหลาย 10 ตัวและควบคุมพวกมันได้ตลอดทั้งวัน การทำเช่นนี้ยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก
วิชาสัมผัสทั้ง 5 ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยที่ส่วนที่หนึ่งคือ ‘การร่ายคาถา’ และส่วนที่สองคือ ‘คาถาพันธนาการ’
ภายใต้สถานการณ์ปกติ นักพรตต้องประสานอินแล้วประทับตราบนทวารทั้ง 5 ของหุ่นหรือวัตถุอื่น ๆ ก่อน เสร็จแล้วก็สร้างเส้นทางและตัวเชื่อมโยงที่ทำให้ผู้ใช้วิชาสามารถเข้าไปในจิตใจของพวกมันได้
ด้วยการร่ายคาถาจากทวารหนึ่งไปยังอีกทวารหนึ่ง แล้วทวารทั้ง 5 จะเชื่อมต่อกัน จักมีผลให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 สอดประสานกัน
[เรียนรู้วิชาสัมผัสทั้ง 5 ระดับ 1 แล้ว]
[ใช้วิชาสัมผัสทั้ง 5 เพิ่มสถานะ: เสริมประสาทสัมผัสทั้ง 5]
[เสริมประสาทสัมผัสทั้ง 5 : ประสาทหูและตาเชื่อมโยงกัน ระยะเวลา: 3 วินาที] (− +)
บทที่ 49: การพัฒนาประสาทสัมผัสทั้ง 5
-------------------------------------------
อากิระ talk: มีบุญคุณกับคนขี้เมาก็ต้องรีบทวงแหละ ไม่งั้นอด ต้องหน้าหนาเข้าไว้นะน้องหลี 555555