กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“เจ้าคือเด็กจากสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซาน เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
หลังจากที่เจียงหลีและหยินชิวใช้เวลาล่องเรือไปตามแม่น้ำอยู่นาน พวกเขาก็เห็นร่างที่สวมเสื้อคลุมสีขาวถือไม้ไผ่หยินหยางพลางแทงลงไปในน้ำเป็นระยะ ๆ
ขณะที่ทั้งคู่ล่องเรือเข้าไปใกล้ พวกเขาก็ตระหนักว่ามันเป็นหุ่นเชิดไม้ที่กำลังขมวดคิ้วอยู่
เมื่อหุ่นไม้เห็นเด็กหนุ่มทั้งสองมาถึง มันก็เช็ดเหงื่อที่ไม่มีจริงบนใบหน้าออกเหมือนมนุษย์แล้วหันมาพูดกับพวกเขา
เจียงหลีดีใจที่ได้เห็นหุ่นกระบอกที่คุ้นเคย อีกทั้งเสียงที่เขาได้ยินก็คุ้นหูมาก เพราะตอนนี้เขาได้พบกับคนรู้จักแล้ว
“ท่านผู้อาวุโสเวิ่งซานฉี ข้าเป็นศิษย์ของสำนักช่างจิงกู่ นามว่าเจียงหลี ศิษย์พี่หยินชิวช่วยพาข้ามาส่งที่นี่”
หุ่นไม้ที่ได้ยินเช่นนั้นเกาหัวด้วยความงุนงง “เจียงหลี… ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน…”
‘…อ้าว สรุปแล้วท่านจำข้าได้จริงไหมเนี่ย’ เด็กหนุ่มอดนึกสงสัยไม่ได้
“ท่านผู้อาวุโส ข้ามีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่ ท่านเคยให้คำแนะนำแก่ข้ามาก่อน” เจียงหลีย้อนรำลึกความหลังที่พวกเขาพบกันเผื่อว่าอีกฝ่ายจะนึกออก
“โอ้ ใช่ๆๆ ข้าจำได้แล้ว มีศิษย์นามว่าเจียงหลีจริง ๆ นี่เจ้ารับภารกิจคนเดียวหรือ? ไม่ได้มีผู้อาวุโสเป็นผู้นำกลุ่มหรือ?”
เจียงหลีคาดว่าผู้อาวุโสเวิ่งซานฉีอาจจะดื่มหนักเกินไปเพราะในขณะที่อีกฝ่ายพูดกับเขา หุ่นไม้กำลังทำท่ากอดไหสุราด้วยสภาพที่เมามายเหมือนคนไม่มีสติ
“ช่างเถอะ ๆ ตอนนี้ข้าขาดคนพอดี รีบมาช่วยข้าเร็วเข้า”
“หยินชิว เจ้าคงลำบากที่ต้องมาดูแลลูกศิษย์ของสำนักชั่งจิงกู่ของข้า น้ำใจนี้ข้าจำไว้แล้ว ข้าจะต้องชมเชยเจ้าต่อหน้าลุงเจ้าแน่นอน”
หุ่นกระบอกพูดจบแล้วก็โบกมือไล่ศิษย์สำนักอื่นอย่างสุภาพ
การแสดงออกอย่างชัดเจนของผู้อาวุโสต่างสำนักย่อมทำให้หยินชิวเห็นเจตนาของอีกฝ่าย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจใด ๆ ออกมา
“ท่านผู้อาวุโสเวิ่ง ท่านอย่าเกรงใจไปเลย ในเมื่อหมดธุระแล้ว หยินชิวผู้นี้ขอตัวลาไปก่อน”
ทันทีที่เด็กหนุ่มกล่าวจบ เขาก็โยนเสาไม้ไผ่ไปทางเจียงหลี ก่อนที่กระบี่หงเวหาที่อยู่ด้านหลังของเขาจะลอยขึ้นไปบนฟ้า จากนั้นนักพรตผู้ใช้กระบี่ที่สง่างามก็กระโดดขึ้นไปเหยียบกระบี่ของตนแล้วไพล่มือไว้ด้านหลังขณะที่เขาบินเรียบไปตามผิวน้ำ พร้อมกับทิ้งประโยคสุดท้ายไว้
“ศิษย์น้องเจียงหลี ไว้เรามาประมือกันอีกวันหลัง~”
แล้วศิษย์สำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานก็ขี่กระบี่ไปด้วยท่วงท่าอันไร้ที่ติ...
ยามที่กระบี่พุ่งผ่านอากาศ ความคมของมันสามารถตัดได้แม้กระทั่งเหล็กที่แข็งที่สุด!
นี่คือการฝึกตนจนถึงขั้นเป็นเซียนอย่างแท้จริง!
ในทางกลับกัน เมื่อไม่มีหยินชิวคอยช่วยรักษาสมดุลของเรือลำเล็ก เจียงหลีก็เริ่มเอนเอียงไปทางซ้ายทีขวาที แล้วเขาก็รีบเหวี่ยงเสาไม้ไผ่หนาไปรอบ ๆ ราวกับคานทรงตัว
ถ้าไม่ใช่เพราะเวิ่งซานฉีควบคุมหุ่นไม้ให้ไปเหยียบเรือเล็กลำนั้น เด็กหนุ่มอาจจะตกลงไปในน้ำและได้ทำสปาปลาอีกรอบ
"ว่ามาซิ ตอนนี้เขาไปแล้ว เจ้าต้องการบอกอะไรข้าก่อนหน้านี้ถึงได้ส่งสัญญาณมาแบบนั้น”
ใครบอกว่าผู้อาวุโสเวิ่งซานฉีเมา? ความจริงแล้วชายผู้นี้เป็นคนฉลาดและรอบคอบมากต่างหากล่ะ!
“ท่านผู้อาวุโส เราค้นพบบางอย่าง!” คนเป็นศิษย์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะใช้คำพูดเรียบง่ายและชัดเจนเพื่ออธิบายถึงเด็ก 2,000 คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ
“เจ้ากำลังจะบอกว่ามีเด็กมากกว่า 2,000 คนที่ได้รับการทดสอบแล้วยืนยันว่ามีรากฐานทางจิตวิญญาณ?” เวิ่งซานฉีเริ่มมีท่าทีจริงจังเช่นกัน
คนมากกว่า 2,000 คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณนั้นเทียบเท่ากับ 3 ใน 4 ของจำนวนศิษย์ที่คัดเลือกมายังสมัชชาแห่งพรรคเซิงเซียน
ด้วยคนจำนวนเท่านี้ ทางสำนักจะสามารถเพิ่มศิษย์นอกสำนักขึ้นมาได้ถึง 1 ใน 4 ของศิษย์ทั้งหมด
สำหรับสำนักชั่งจิงกู่ที่มีประวัติศาสตร์น้อยกว่า 300 ปี นี่ถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ดีเลยทีเดียว
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นหลักก็คือ สาเหตุที่ทำให้เด็กกลุ่มนี้มีรากฐานทางจิตวิญญาณนั้นคืออะไรมากกว่า
สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอาการหมดสติของเด็ก ๆ หรือไม่?
นี่เป็นวิธีการพิเศษบางอย่างที่ยอมให้มนุษย์มีรากฐานทางจิตวิญญาณหรือเปล่า?
ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้! ความคิดนี้ผิดกฏสวรรค์…
เวิ่งซานฉีปฏิเสธเหตุผลนี้อย่างรวดเร็ว เพราะท้ายที่สุดแล้ว นักพรตกับมนุษย์นับไม่ถ้วนได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเองตั้งแต่สมัยโบราณกาล แต่พวกเขาก็ล้มเหลวมาตลอด!
แม้ว่าจะมีใครก็ตามที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเขาและสร้างรากฐานทางจิตวิญญาณได้จริง ๆ แต่นี่ก็เป็นกรณีที่หายากมาก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดผลในวงกว้างเช่นนี้!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะไม่ใช่กรณีนั้น… แม้ว่ามันจะมีคนค้านหัวชนฝาและถือว่าอาการหมดสติแบบนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์พิเศษ แต่นี่ก็ยังเป็นปรากฏการณ์ขนาดใหญ่ที่มุ่งเป้าไปยังผู้ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ
ตราบใดที่สำนักชั่งจิงกู่เข้าใจปรากฏการณ์นี้และเชี่ยวชาญวิธีการที่ทำให้เด็ก ๆ มีรากฐานทางจิตวิญญาณ พวกเขาจะสามารถคัดเลือกเด็กที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณมาเข้าร่วมสำนักเองได้อย่างง่ายดายและไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่นอีกต่อไป!
เมื่อลองไตร่ตรองให้ดีแล้ว ด้วยความได้เปรียบเช่นนี้ สำนักชั่งจิงกู่จะสามารถปล้นสะดมศิษย์จำนวนมากในเขาฉงซานมาได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนัก!
ในเวลาที่ศิษย์รุ่นต่อไปเติบโตขึ้น สำนักชั่งจิงกู่จะกลายเป็นสำนักเซียนอันดับ 1 แห่งเขาฉงซานอย่างแน่นอน!
ดังนั้น สำหรับสำนักชั่งจิงกู่ เรื่องในเมืองหลวงของแคว้นอิงหนานมีความสำคัญมากกว่าปีศาจผีดิบมาก!
“ท่านผู้อาวุโสเวิ่ง ในครั้งนี้มีศิษย์นอกสำนักอีก 7 คนมาทำภารกิจกับข้าด้วย พวกเขายังอยู่ในเมืองหลวงคอยปกปิดข่าวไม่ให้รั่วไหล”
“แต่ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขามีจำกัด ตอนนี้ในเมืองมีนักพรตไร้สำนักจำนวนมากที่มารวมตัวกันเพราะข่าวการปรากฏตัวของปีศาจ ข้าเกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถปกปิดไว้ได้นาน”
“นอกจากนี้ มันต้องใช้เวลานานมากกว่าเราจะกลับไปรายงานเรื่องนี้ที่สำนักและเราก็กลัวเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางเสียก่อน ดังนั้นข้าจึงออกมาขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสเพียงลำพัง!”
แม้ว่าเจียงหลีจะไม่ได้พูดออกมา แต่บนใบหน้าของเขาเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ศิษย์ผู้นี้ได้ผ่านอันตรายมาหลายครั้งหลายคราและพยายามอย่างหนักเพื่อมาที่นี่ ท่านผู้อาวุโส โปรดอย่าลืมความดีความชอบของข้า!’
“เจ้าทำได้ดีมาก! ข้าจะแจ้งให้สำนักทราบทันทีเกี่ยวกับข่าวนี้ เจ้าจะไม่พลาดรางวัลใด ๆ แน่นอน เจ้าจะได้รับรางวัลตอบแทนความพยายามอย่างงาม ก่อนอื่นเจ้าต้องกลับมาหาข้าก่อน”
เวิ่งซานฉีเองก็เป็นคนมีไหวพริบเช่นกัน ดังนั้นเขาจะอ่านความคิดของเจียงหลีไม่ออกได้อย่างไร? ทว่า นอกจากเจียงหลีจะได้บุญหล่นทับแล้ว อีกฝ่ายยังเผื่อแผ่บุญมาให้เขาด้วย แล้วถ้าเขาให้รางวัลแก่ศิษย์สำหรับเรื่องนี้ล่ะ?
หุ่นไม้ขมวดคิ้วพลางใช้นิ้วเคาะเรือลำเล็ก
ต่อมา เจียงหลีเห็นว่าเหมือนมีเส้นด้ายที่บางมากลอยมาเชื่อมต่อกับเรือของพวกเขา
ในวินาทีถัดมา เรือลำเล็กถูกดึงด้วยกำลังมหาศาลและพุ่งเข้าหาฝั่งแม่น้ำด้วยความเร็วที่เร็วกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า!
ขณะนี้เด็กหนุ่มทำได้เพียงกระชับโซ่ไว้แน่นแล้วหมอบต่ำลงเพื่อลดแรงปะทะ ทำให้ตอนนี้สภาพของเขาแทบจะก้มลงไปกอดเรือไว้แล้ว
ครืดดด! ตึง!
ประมาณ 2 เฟินต่อมา เรือที่ยาวและแคบเหมือนยานพาหนะรับส่งก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำ หลังจากเรือไถลไปหลายจั้ง ในที่สุดมันก็หยุดอยู่ในเพิงที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่าย
ในเพิงพักพิง นักพรตตัวเตี้ยที่มีผมสีขาวอมเทาและผิวสีดอกกุหลาบกำลังถือหินวิญญาณสื่อสารแล้วพูดอะไรบางอย่างอยู่
ซึ่งนั่นจะเป็นใครไปได้อีกนอกจากเวิ่งซานฉี ผู้อาวุโสประจำหอสังเกตการณ์
ในขณะนั้นเจียงหลีไม่ได้พูดแทรกขึ้นมาและรออย่างเงียบ ๆ อยู่ด้านข้าง
“เจียงหลี เข้ามาอธิบายทุกอย่างให้เราฟังอีกทีสิ”
ผู้อาวุโสนามเวิ่งซานฉีกล่าวพร้อมกับมอบหินวิญญาณสื่อสารให้แก่ลูกศิษย์
ทันทีที่เจียงหลีรับหินวิญญาณสื่อสารมา เขาก็รู้สึกถึงเสียงที่ดังในโสตประสาทของเขาในทันใด
“กลุ่มผู้อาวุโสของสำนักได้ออกเดินทางไปแล้ว ตอนนี้บอกทุกสิ่งที่เจ้ารู้มาให้ละเอียด อย่าหมกเม็ดอะไรไว้นะ!”
เสียงของปลายอีกด้านเข้มงวดมาก และอีกฝ่ายไม่ได้บอกว่าผลจะเป็นอย่างไรถ้าเด็กหนุ่มโกหก แต่เขาคิดว่ามันจะแย่ยิ่งกว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่เขาสามารถจินตนาการได้หลาย 10 เท่าอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ เจียงหลีจึงกระแอมในลำคอก่อนจะเล่าเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นและได้ยินตลอดทางโดยไม่แสดงความเห็นใด ๆ รวมทั้งพืชที่เหี่ยวเฉาในป่าและกลุ่มนักพรตไร้สำนักไม่กี่กลุ่มที่โจมตีพวกเขาในเมือง
นอกจากนี้เขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไมพืชพันธุ์ต่าง ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง แต่เขาคิดว่ามันอาจจะดีกว่าถ้าให้ทางสำนักตรวจสอบมันให้แน่ชัดเสียก่อน
ส่วนนักพรตไร้สำนักเหล่านั้น... พวกมันต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไป
"ดีมาก หากเจ้าจำรายละเอียดสำคัญอื่นขึ้นมาได้ก็ให้รีบรายงานทันที หลังจากนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องติดตามผู้อาวุโสเวิ่งไปทุกที่”
จากนั้นเสียงในหูก็หายไป
เจียงหลีไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เมื่อดูจากท่าทีของผู้อาวุโสเวิ่งซานฉี เห็นได้ชัดว่าคน ๆ นั้นต้องมีตำแหน่งสูงกว่าเขาแน่นอน
บทที่ 48: รายงานแก่สำนัก
-------------------------------------------
อากิระ talk: สุดท้ายแล้วใคร ๆ ก็เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองทั้งนั้นแหละ