กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“ศิษย์น้อง มันเป็นความผิดของข้าเองที่ประมาทเกินไป ข้าเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าเป็นพรายน้ำ แล้วยังทำให้อุปกรณ์วิญญาณของเจ้าเสียหายอีก ข้าล่วงเกินเจ้าแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”
“ข้าคือลูกศิษย์ของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซาน ข้ามีนามว่าหยินชิว ศิษย์น้องเจียงหลี… เจ้าช่วยลุกขึ้นจากตัวข้าก่อนได้ไหม”
ในเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขอโทษขอโพยแล้ว เจียงหลีจึงไม่ดึงดันเอาเรื่องต่อ พร้อมกันนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่ากระบี่บินที่กดลงบนคอของเขาขยับออกไปแล้ว นี่คือความจริงใจที่คนตรงหน้าแสดงออกมา
อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะที่นี่คืออาณาเขตของพวกเขา เจียงหลีจึงต้องให้เกียรติผู้เป็นศิษย์พี่ด้วย
เมื่อเด็กหนุ่มคิดได้เช่นนั้น เขาก็คลายมือที่จับคอของอีกคนทันที ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมาจับไหล่ของหยินชิวเพื่อช่วยดึงเขาขึ้นจากพื้น
“ศิษย์น้องเจียงหลี เจ้าแข็งแกร่งมากจริง ๆ แต่ชุดของเจ้า...”
หลังจากที่หยินชิวลุกขึ้น เขาก็สำรวจกระบี่ของตัวเองด้วยใจที่ปวดร้าวอยู่นาน พอเขายืนยันว่ามันยังมีทางซ่อมแซมความเสียหายได้ เขาก็หันไปมองเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งของเจียงหลี
“ท่านก็พูดเกินจริง พละกำลังของข้าสู้กระบี่บินของศิษย์พี่ไม่ได้หรอก”
เมื่อเจียงหลียกย่องอีกฝ่ายเสร็จ เขาก็ก้มลงมองดูเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นจนแทบปกปิดอะไรไม่ได้เลยของตัวเองด้วยความรู้สึกกระดากอายจนทำอะไรไม่ถูก แม้ว่าฟันของปลาปิรันยาจะกัดเนื้อหนังเขาไม่เข้า แต่กับเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่มันคนละเรื่องเลย
“ข้าบังเอิญตกลงไปในน้ำแล้วพบกับฝูงปลาปิรันยา แค่ข้ารอดมาได้แบบนี้ก็โชคดีมากแล้ว”
ตอนแรกเขาคิดว่าการเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีอันตรายใด ๆ เขาจึงนำเสื้อคลุมศิษย์นอกสำนักมาเพียงชุดเดียว ตอนนี้เขาจึงไม่มีเสื้อผ้าให้เปลี่ยนแล้ว
อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มไม่สามารถทนอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ เขาจึงทำได้เพียงใช้วิชาเกราะไม้เพื่อสร้างเกราะที่ทำด้วยไม้ที่ค่อนข้างบางขึ้นมาปกปิดร่างกายของตัวเองแทน
“จริงสิ ศิษย์พี่หยินชิว ตอนนี้ข้าหลงทิศนิดหน่อย ข้าอยากจะขอรบกวนศิษย์พี่โปรดแนะนำข้าว่าผู้อาวุโสของสำนักชั่งจิงกู่ของข้าอยู่ในทิศทางใด”
เจียงหลีพูดพลางหยิบโซ่ที่ขาดเป็นสองท่อนขึ้นมาด้วยสีหน้าเจ็บปวด แล้วเขาก็เอาปลายโซ่ทั้งสองชนกันเผื่อว่ามันจะเชื่อมต่อเข้ากันได้อีกครั้ง
การกระทำของเขานั้นทำให้คนเป็นศิษย์พี่ชะงักค้างไป
“เจ้าต้องว่ายตามน้ำเฉียงไปทางนั้น เอ่อ… ช่างเถอะ ข้าไปส่งเจ้าที่นั่นเองดีกว่า มันคงจะไม่ใช่เรื่องดีหากเจ้าถูกอาจารย์เข้าใจผิดแล้วโจมตีเจ้าอีกครั้ง”
เด็กหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าหยินชิวจะใจดีมากขนาดนี้ อีกทั้งเขาพูดพร้อมกับเดินนำเจียงหลีออกไป ทำให้ฝ่ายที่ได้ฟังถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเพราะเขาไม่คิดว่าจะได้เจอคนที่ใจดีในโลกเซียนอีกคน มันทำให้เขาอุ่นใจขึ้นกว่าที่เคย
ทว่าสิ่งนี้ยังทำให้เขาถอนหายใจด้วยความอิจฉาเพราะบรรยากาศการฝึกตนที่ดีของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซาน
สำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานนั้นแตกต่างจากสำนักใหญ่อื่น ๆ ตรงที่พวกเขาไม่มีการแบ่งแยกศิษย์ชั้นในชั้นนอกเลย ศิษย์ของพวกเขาจะกลายเป็นศิษย์สายตรงและเรียนรู้จากอาจารย์ได้อย่างเท่าเทียม
บางทีอาจเป็นเพราะทางสำนักอยากรักษาหัวใจแห่งกระบี่ให้บริสุทธิ์ แม้ว่าสำนักของพวกเขาจะมีการแข่งขันกันอยู่บ้าง แต่ก็มีความขัดแย้งภายในกันเองน้อยมาก
ผู้อาวุโสแห่งหอฝึกตนของสำนักชั้นนอกของเจียงหลียังกล่าวอีกว่า ศิษย์ของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานนั้นเข้ากับคนได้ง่ายที่สุด
“ไปส่งข้า? ศิษย์พี่หยินชิว ท่านกำลังคิดว่าจะพาข้าขี่กระบี่ไปอย่างนั้นหรือ?”
เจียงหลีคิดว่ากระบี่บินสามารถขยายและให้คนอื่นขึ้นไปนั่งด้วยได้อย่างแน่นอน
“กระบี่ของข้า… ยังรับน้ำหนักคนไม่ได้ เราจะขึ้นเรือไปแทน!”
‘แม้ว่าข้าจะพาคนอื่นไปด้วยได้ แต่พวกเขาก็ต้องเป็นสหายคนสนิทของข้าเท่านั้น ข้าจะพาเจ้าไปได้อย่างไรกัน’ หยินชิวคิดประโยคนี้ในใจ
จากนั้นเจียงหลีก็เดินตามศิษย์สำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานแล้วลัดเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเห็นเรือลำเล็กที่ยาวและแคบจอดเทียบท่าอยู่ที่ริมชายฝั่ง
หยินชิวเป็นคนแรกที่กระโดดลงไปบนเรือลำเล็กที่หนากว่าขอนไม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในระหว่างที่เขาลงไป น้ำใต้ท้องเรือกระเพื่อมสองครั้ง แต่น่าแปลกที่เรือกลับไม่โคลงเคลงเลย
‘นี่เป็นวิชาตัวเบาสินะ…’ เมื่อได้รู้อย่างนั้นเจียงหลีก็รู้สึกขมขื่นและอิจฉาอีกฝ่ายมาก
นี่คือความแตกต่างระหว่างการมีอาจารย์กับการไม่มีอาจารย์ ทักษะของผู้เป็นศิษย์พี่ได้รับการฝึกอบรมอย่างมีแบบแผนที่ชัดเจน ขอแค่พวกเขามีวินัยและเรียนรู้ต่อยอดไปอีก ผลสุดท้ายมันก็จะต้องออกมาดีอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน เจียงหลีทำได้เพียงลองผิดลองถูกไปตามสถานการณ์ที่พาไปเท่านั้น ซึ่งมันช่างน่าสังเวชจริง ๆ
แต่ถึงกระนั้น ถ้าเขาสามารถชนะการประลองของสำนัก เขาจะสามารถเข้าสู่สำนักชั้นในได้ทันที ในเวลานั้นเขาจะต้องค้นหาผู้อาวุโสที่เชื่อถือได้มาเป็นอาจารย์ของเขา
“ศิษย์น้องเจียงหลี ทำไมเจ้าไม่ขึ้นมาสักทีล่ะ”
หยินชิวมองเห็นความลำบากใจที่ฉายชัดออกมาทางใบหน้าของเจียงหลี เขาจึงพูดกระตุ้นอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
"… ข้ากำลังไป!"
คนถูกเรียกกลอกตาใส่ศิษย์พี่ก่อนจะก้าวลงไปบนเรือลำเล็ก
เจียงหลีเป็นนักพรตที่เน้นการฝึกฝนร่างกาย มันจึงส่งผลให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแล้วน้ำหนักตัวของเขาก็ไม่เบาเลย ประกอบกับโซ่เหล็กที่หนักหลาย 10 กงจิน*ที่พันอยู่รอบเอวของเขาอีก เมื่อเขาลงไปบนเรือ ท้ายเรือก็จมลงทันที และกราบเรือหงายเงิบแทบจะชี้ฟ้าจนเกือบจะทำให้หยินชิวเสียหลักตกเรือไป
*กงจิน = กิโลกรัม
"นี่เจ้า!"
ภายใต้ความโกลาหล ในที่สุดหยินชิวก็ตัดสินใจทำให้เรือลำเล็กสมดุลด้วยพลังปราณของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนักพรตผู้ใช้กระบี่ตัวจริง พลังปราณของเขาช่างน่าอัศจรรย์เสียเหลือเกิน
“ช่างเถอะ จับไว้แน่น ๆ นะ! ถ้าเจ้าตกน้ำตกท่าไปก็อย่าโทษข้าล่ะ!”
คนเป็นศิษย์พี่กล่าวจบแล้วใช้เท้าเตะลำไม้ไผ่ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา พอเขาคว้ามันไว้ในมือ เขาก็วางมันไปทางผิวน้ำ ก่อนที่เรือลำเล็กจะพุ่งออกไปเหมือนลูกศร
เจียงหลีคาดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าชายผู้นี้คงไม่ไปส่งเขาดี ๆ แน่ เขาจึงโยนโซ่ไปผูกไว้กับเรือ หลังจากนี้แม้ว่าเรือจะเคลื่อนที่เร็วแค่ไหน เขาก็จะไม่หลุดออกจากตัวเรืออีก
“ศิษย์พี่หยินชิว เสาไม้ไผ่ที่แม่น้ำนั้นคืออะไร?”
ขณะที่เรือลำเล็กแล่นไปตามแม่น้ำ เจียงหลีสังเกตเห็นว่ามีเสาไม้ไผ่สองสามต้นลอยอยู่ในแม่น้ำเป็นระยะ ๆ
โดยที่ปลายไม้ไผ่ด้านหนึ่งทาด้วยสีดำและอีกด้านหนึ่งทาด้วยสีขาว นอกจากนี้เสาไม้ไผ่จะลอยขึ้น ๆ ลง ๆ ในแม่น้ำเป็นครั้งคราว แต่การจัดเรียงของมันดูไม่เป็นระเบียบเท่าไหร่
“นั่นคือไผ่หยินหยาง ใช้สำหรับตรวจจับปราณหยินใต้น้ำ อาจารย์ของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ?”
หยินชิวเริ่มสงสัยว่าเจียงหลีไม่ได้มาจากสำนักชั่งจิงกู่ หากเป็นเช่นนั้น เขาคงโง่เองที่กระโดดเข้าไปในหลุมพรางของอีกฝ่าย
“เฮ้อ ข้าเป็นแค่ศิษย์นอกสำนักของสำนักชั่งจิงกู่ ใครจะมาคอยสอนข้าเรื่องแบบนี้กัน? ดูอุปกรณ์วิญญาณที่ข้าใช้สิ มันแทบไม่มีค่าอะไรเลย…”
ประโยคหลังเด็กหนุ่มบ่นอุบอิบกับตัวเอง แต่หยินชิวที่ตอนแรกไม่อยากฟังข้อแก้ตัวของอีกฝ่ายถึงกับต้องหยุดบังคับเรือและหันกลับมาจ้องคนพูดทันที
“ศิษย์นอกสำนัก? เจ้าเป็นศิษย์สำนักชั้นนอกจริงรึ!”
'ข้าถูกศิษย์นอกสำนักกดลงกับพื้นเนี่ยนะ!'
ศิษย์ผู้สง่างามของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานได้ตกเป็นเบี้ยล่างของศิษย์นอกสำนักของสำนักชั่งจิงกู่ ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้เขาคงต้องอับอายขายขี้หน้ามากแน่ ๆ
ถ้าเขารู้ว่าเจียงหลีเพิ่งเข้ามาในสำนักเพียงไม่กี่เดือนอีกล่ะก็… เขาอาจจะอยากแทรกแผ่นดินหนีเลยทีเดียว
ในระหว่างนั้น กระบี่บินบนหลังของหยินชิวก็สั่นไม่หยุด เขาเองก็คันไม้คันมืออยากชักกระบี่ออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้ในหัวของเขาวนเวียนอยู่แค่คำว่าอยากพิสูจน์ตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เรือลำเล็กมีพื้นที่ไม่มาก ด้วยความที่เขาถนัดการโจมตีระยะไกล เขายังมีข้อเสียเปรียบหากต้องสู้ระยะประชิดในพื้นที่ที่จำกัดเช่นนี้
“สำนักชั่งจิงกู่ของเจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แม้แต่ศิษย์นอกสำนักเช่นเจ้าก็มีพลังวิญญาณสูงแล้ว…”
หยินชิวแสดงความสงสัย แต่เมื่อเขามองดูโซ่แล้ว เขาก็ต้องเห็นด้วยกับที่คนเป็นศิษย์น้องพูด ศิษย์ในสำนักจะยากจนขนาดนี้ได้อย่างไร?
"นี่ของเจ้า ถือว่าเป็นค่าชดเชยแล้วกัน”
ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซาน ความเชื่อมั่นเรื่องความแข็งแกร่งของเขาถูกสั่นคลอนไปแล้ว หลังจากที่เด็กหนุ่มใช้ความคิดอยู่นาน เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกดี ดังนั้นเขาจึงหยิบก้อนหินออกจากอกเสื้อแล้วโยนไปให้เจียงหลี
[ชื่อ: แร่เหล็กคุน]
[ประเภท: แร่]
[ปริมาณโลหะ: 57%)
[การก่อตัว: น้ำที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำ]
[รายละเอียด: ของแข็ง]
[องค์ประกอบพื้นฐาน: เหล็กคุน]
[องค์ประกอบรอง: ซิลิกา*]
*ซิลิกา เป็นสารเพิ่มความข้นของของเหลวที่สามารถพบได้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลที่หลากหลาย
“ข้าจะยอมรับของสิ่งนี้ได้อย่างไร? ข้าเองก็ทำให้กระบี่บินของศิษย์พี่ได้รับความเสียหาย ข้าไม่อาจยอมรับสิ่งนี้ได้”
ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขาก็วางแร่ลงในกระเป๋าของตัวเองแล้ว
บทที่ 47: เจ้าเป็นศิษย์นอกสำนักหรือ!?
-------------------------------------------
อากิระ talk: ปากอย่าง การกระทำอีกอย่าง 55555