กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
มันเป็นอย่างที่ศิษย์จากวัดชีหังบอกให้พวกเขาระวังตัว เพราะเมื่อไม่นานมานี้เมืองอิงหนานเกิดความไม่สงบ
“นอกจากนี้ ทุกวันนี้มีเด็กหมดสติอยู่ในวังเป็นจำนวนมาก มันต้องดึงดูดความสนใจของคนที่มีแรงจูงใจซ่อนเร้น อาจมีใครบางคนกำลังติดตามการเคลื่อนไหวของเราอยู่แล้ว ต่อจากนี้ไปเราต้องระวังตัวให้มาก!”
เจียงหลีเตือนทุกคนในขณะที่คนอื่น ๆ รู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเมื่อเข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์
ตอนนี้เด็กที่หลับใหลมากกว่า 2,000 คนกำลังนอนอยู่ในวังหลวงของเมืองอิงหนาน ซึ่งสถานการณ์นี้สามารถพูดได้ว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก ในความเข้าใจของคนอื่นอาจจะคิดว่าการปรากฏตัวของปีศาจเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
แม้ว่าจะไม่ใช่กรณีนี้ แต่ถ้าพวกเขาได้พบกับคนที่สายตาแหลมคมพอที่จะพบว่าเด็กเหล่านี้มีรากฐานทางจิตวิญญาณ…
มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
พอข่าวรั่วไหลออกไป นักพรตไร้สำนักจะจับเด็กเหล่านี้ไปขายให้กับพรรคเซิงเซียน ในเวลาเดียวกัน มีความเป็นไปได้ที่คนพวกนั้นจะปล้นพวกเจียงหลีอีกด้วย ถ้าสถานการณ์ไปในทิศทางนั้นพวกเขาคงจะลำบากไม่ใช่น้อย
“แล้วเราควรทำอย่างไรต่อไปดี” เมื่อกลุ่มศิษย์ใหม่พบเจอสถานการณ์ที่ยากจะตัดสินใจ พวกเขาก็เริ่มทำอะไรไม่ถูก
แม้ว่าพวกเขาจะถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์ใหม่ของสำนักชั้นนอกในสำนักชั่งจิงกู่ แต่พวกเขาก็ยังเป็นแค่มือใหม่อยู่ดี
นอกจากนี้ พวกเขาส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในขั้นเริ่มต้นของขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ และหนึ่งในนั้นอยู่ในขั้นกลาง ซึ่งเขาเพิ่งจะเชี่ยวชาญคาถาเพียงไม่กี่คาถาเท่านั้น
ถ้าพวกเขาต้องรับมือแค่กับมนุษย์ก็คงไม่มีอะไรต้องกังวล แต่สำหรับพวกนักพรตคนอื่น ๆ พวกเขายังถือว่าอ่อนแอกว่ามาก
“ในอาณาเขตของเมืองอิงหนานอยู่ใกล้กับวัดชีหังหรือสำนักชั่งจิงกู่มากกว่ากัน?” ในขณะที่ทุกคนกำลังเสียสูญ เจียงหลีก็ถามแทรกขึ้นมา
“แน่นอนว่าสำนักชั่งจิงกู่ มิฉะนั้นภารกิจนี้จะไม่ถูกส่งไปยังสำนักของเรา” หลังจากที่หยูป้านเซียตอบ เขาก็นึกถึงบางอย่างได้เช่นกัน
“เจ้าหมายถึงว่า…”
"ถูกต้อง แม้ว่าเราจะไม่ทราบรายละเอียด แต่การปรากฏตัวของปีศาจนั้นดึงดูดนักพรตได้ไม่น้อย”
“แม้แต่ลูกศิษย์ของวัดชีหังก็ยังอยู่ที่นี่ จึงไม่มีเหตุผลใดที่สำนักชั่งจิงกู่ของเราจะไม่ส่งคนมา”
เจียงหลีหยุดคิดไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า
“ตอนที่เราอยู่ในสำนัก เราไม่ได้ยินข่าวใด ๆ เกี่ยวกับการปรากฏตัวของปีศาจมาก่อน งั้นตอนนี้ก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง”
“อย่างแรก ข่าวออกมาหลังจากที่เราออกเดินทาง”
“อย่างที่สอง ข่าวนี้เผยแพร่เฉพาะในหมู่ศิษย์ในสำนักเท่านั้น ศิษย์นอกสำนักอย่างเราไม่มีทางรู้เรื่องนี้”
“โดยส่วนตัวแล้วข้าคิดว่าอย่างที่สองมีความเป็นไปได้มากกว่า มิฉะนั้น นักพรตจำนวนมากจะเดินทางมารวมตัวกันที่นี่ในเวลาแค่ 5 วันได้อย่างไรกัน”
เมื่อเจียงหลีพูดจบดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างขึ้น
“เจ้ากำลังจะบอกว่าเป็นไปได้มากที่ศิษย์ในสำนักและแม้กระทั่งผู้อาวุโสของสำนักอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ!?" ลู่เฉียนเฉียนที่เพิ่งกินยาฟื้นฟูปราณดูมีพลังมากขึ้น
หากมีผู้อาวุโสของสำนักอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาจะต้องสามารถรับรองความปลอดภัยของคนในสำนักตัวเองได้อย่างแน่นอน และพวกนักพรตไร้สำนักธรรมดา ๆ ย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแน่
“มันไม่ใช่แค่เรื่องของความปลอดภัย ศิษย์ในสำนักและผู้อาวุโสของสำนักมีหินวิญญาณสื่อสารที่สามารถใช้ติดต่อกับสำนักได้อย่างแน่นอน ตราบใดที่เราอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและขอให้พวกเขาช่วยติดต่อกับสำนักได้ ภารกิจของเราจะเสร็จสิ้นทันที”
สิ่งที่เจียงหลีไม่ได้พูดก็คือบางทีรางวัลส่วนใหญ่อาจถูกริบไป แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้… นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
…
ในเวลากลางดึกคืนนั้น มีเงาสีดำ 4 เงาวูบวาบไปทั่ววังหลวงของเมืองอิงหนาน
ถัดมา ร่างทั้ง 4 พุ่งออกมาจากห้องโถงด้านข้างของวัง แล้วหลีกเลี่ยงยามที่ลาดตระเวนราวกับผี หลังจากพวกเขากระโดดเพียงไม่กี่ครั้งก็สามารถข้ามกำแพงชั้นนอกของวังไปยืนอยู่บนถนนในเมือง
“ทุกคน ระวังตัวด้วย จงจำไว้ว่าต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองก่อน แล้วอีก 2 ชั่วยามให้มารวมกันที่นี่!” เสียงของหยูป้านเซียดังมาจากใต้ผ้าคลุมสีดำ ทันทีที่เขากล่าวจบ ร่างเหล่านั้นก็แยกย้ายกันไป 4 ทิศทางและหายวับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
พวกเขาทั้ง 4 คนก็คือ เจียงหลี, หยูป้านเซีย, ฉูเฉียนฟานและหวังหลิวเหลียง
เมื่อทุกคนในกลุ่มพูดคุยตกลงกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็ตัดสินใจว่าจะให้คนที่แข็งแกร่งที่สุด 4 คนออกไปสอดแนมในยามกลางคืนเพื่อค้นหาข้อมูลและพยายามค้นหาผู้อาวุโสหรือศิษย์ในสำนักของสำนักชั่งจิงกู่
‘ข้าคาดไม่ถึงว่ารองจากหยูป้านเซียแล้ว หวังหลิวเหลียงที่มีบุคลิกเหมือนบัณฑิตน้อยหน้ามนจะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเขา’ เจียงหลีคิดกับตัวเอง
ขณะนี้หวังหลิวเหลียงไม่เพียงแต่อยู่ใกล้ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นกลางเท่านั้น แต่วรยุทธ์ของเขาก็น่าประทับใจมากเช่นกัน ในขณะที่คนอื่นในกลุ่มยังอยู่ในขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นเริ่มต้น วรยุทธ์ของมนุษย์จึงยังมีประโยชน์มาก
เมื่อเทียบกับความว่องไวของหวังหลิวเหลียง แม้ว่าความเร็วของเจียงหลีจะรวดเร็ว แต่เขายังก็มีความคล่องตัวน้อยกว่าอีกฝ่ายอยู่ดี
เด็กหนุ่มคิดคำนวณในใจว่าในอนาคตเขาจะต้องฝึกวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวให้ได้ แล้วระหว่างที่คิดฝีเท้าของเขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ฟ้าว! ฟ้าว!
ทันใดนั้นเอง ขณะที่เจียงหลีวิ่งผ่านถนนก็มีหนามสีดำยาวสองสามอันที่ไม่สะท้อนแสงจันทร์พุ่งเข้ามาหาเขาจากข้างหลัง
เด็กหนุ่มที่วิ่งอยู่นั้นไม่ได้สังเกตเห็นเลยสักนิดว่ามีหนามแหลม ๆ กำลังจะแทงเข้าที่ด้านหลังในมุมที่ยากจะหลบและเป้าหมายของมันคือจุดสำคัญในร่างกายของเขา
ด้วยแรงมหาศาลของหนามที่ปะทะเข้ามาบวกกับความเร็วของการวิ่งส่งผลให้เขากระเด็นไปล้มลงบนถนนหินปูนตรงหน้าอย่างแรง และนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น
“ฮ่า ๆ ศิษย์ของสำนักใหญ่หรือเนี่ย? ก็ไม่เห็นจะมีดีตรงไหน มันชะตาขาดแล้วเมื่อมันมาเจอกับพวกเราสองพี่น้อง”
“พี่ใหญ่ ลูกศิษย์ของสำนักใหญ่ร่ำรวยมาก ข้าจะไปดูหน่อยว่ามันมีอะไรติดตัวมาบ้าง”
หลังจากที่เจียงหลีล้มลงกับพื้น ร่างสองร่างก็เดินออกมาจากเงามืดตรงมุมถนน
ทั้งสองคนมีอายุใกล้เคียงกันและดูคล้ายกันมาก และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีชื่อเสียงในหมู่นักพรตไร้สำนัก
"ช้าก่อน"
ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ห้ามน้องชายที่ประมาทเลินเล่อของเขาก่อนจะดึงหนามสีดำสองสามอันออกจากร่างกายของคนที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น หลังจากที่นักพรตไร้สำนักคนนั้นใช้มันแทงแขน ขาและข้อต่อของเจียงหลีเรียบร้อยแล้ว ในที่สุดเขาก็ผ่อนคลายความระวังลง
“ฮ่า ๆ พี่ใหญ่นี่รอบคอบเสมอเลย”
“เฮ้ ไอ้หนู! อย่าแกล้งตายสิ! เจ้าช่างโชคร้ายนักที่ต้องมาเจอกับเรา ปีศาจแฝดแห่งแม่น้ำจิงเหอผู้นี้! ส่งทุกอย่างที่เจ้ามีมาซะ! จากนั้นก็ท่องวิธีการฝึกตนและคาถาอาคมทั้งหมดที่เจ้ารู้จักให้เราฟัง! บางทีเราอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้!”
ผู้เป็นน้องชายของปีศาจแฝดแห่งแม่น้ำจิงเหอก้าวไปข้างหน้าและคว้าร่างที่บาดเจ็บหนักบนพื้นแล้วจัดการพลิกร่างนั้นขึ้นแล้วเผยให้เห็นใบหน้าของคนที่นอนนิ่งไม่ไหวติงมาตลอดทันที
มันเป็นใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัวมาก เพราะร่างดังกล่าวมีใบหน้าสีเขียว ฟันแหลมคม และมีขนสีดำ!
"อ๊าก! ซอมบี้!”
ทันทีที่นักพรตไร้สำนักเห็นภาพตรงหน้า เขาก็ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกขณะที่ซอมบี้สีดำอันดุร้ายเด้งตัวลุกขึ้นมาจากพื้น
จังหวะนั้นเอง เล็บแหลมคมสีดำสนิทเจาะเข้าที่หน้าอกของแฝดน้องที่อยู่ห่างจากซอมบี้เพียงก้าวเดียว ซึ่งมันมีแรงมหาศาลมากจนสามารถดึงตัวเขาเข้ามาใกล้และกัดคอของเขาจมเขี้ยว
“อ๊ากกกกกกกก!!”
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ซอมบี้ก็ดูดเลือดและพลังงานทั้งหมดในร่างกายของผู้เป็นน้องไปจนหมด ในเวลานั้น แม้แต่นักพรตอย่างเช่นเขาก็ไม่อาจเอาชีวิตรอดไปได้
"เฮ้ย! ไอ้สารเลว! บังอาจทำร้ายน้องข้า!”
ระหว่างนั้นนักพรตไร้สำนักอีกคนรีบหยิบกระดาษสีเหลือง 2 แผ่นออกมาอย่างรวดเร็วและรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยน้องชายของเขา
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาก้าวไปข้างหน้า เขาก็ชะงักไปอย่างกะทันหัน
“สหาย...จะรีบไปไหน”
ในขณะนั้นเสียงปริศนาก็ดังมาจากข้างหลังเขา พร้อมกับมีมือที่แข็งแกร่งมากกำลังจับไหล่ของเขาจากด้านหลัง
ด้วยพละกำลังมหาศาลที่กดลงมาจากไหล่ของแฝดผู้พี่ทำให้เขาต้องคุกเข่าลงอย่างแรงจนหินปูนบนพื้นแตกเป็นชิ้น ๆ
ทางด้านของเจียงหลีได้ขจัดพิษจากการกินยาเสียออกไปและฟื้นกำลังของตัวเองกลับมาตั้งแต่วิ่งแยกทางกับคนในกลุ่ม แล้วจากนั้นเขาก็เดินตามหลังซอมบี้สีดำอย่างเงียบ ๆ มาตลอดจนถึงตอนนี้
บทที่ 39: ปีศาจแฝดแห่งแม่น้ำจิงเหอ
-------------------------------------------
อากิระ talk: ชอบน้องหลีตรงที่เวลาเห็นใครเหนือกว่าแล้วจะมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่คอยอิจฉาแล้วทำร้ายคนอื่น (ทำไมวันนี้มีสาระจัง)