กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“นี่… นี่คือศิลาลิขิตเซียนหรือ?”
ศิลาลิขิตเซียนนี้สามารถถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของพวกเขา แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานหลายเดือนตั้งแต่ที่พรรคเซิงเซียนทดสอบพวกเขาด้วยหินแบบนี้ ทุกคนก็ยังจำหินที่ไม่ได้มีรูปร่างสวยงามขนาดนั้นได้
“ใช่ มันคือศิลาลิขิตเซียน” เจียงหลีตอบ
นี่เป็นศิลาลิขิตเซียนที่เขาขอให้เหยียนหงซื้อมาจากพรรคเซิงเซียน ในระหว่างที่เขาออกมาทำภารกิจนอกสำนัก เขารู้สึกว่ามันอาจจะมีประโยชน์ เขาก็เลยนำศิลานี้ติดตัวมาด้วย
“ผู้อาวุโสประจำหอฝึกตนเคยกล่าวไว้ว่า สำหรับผู้ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนเป็นเซียน แต่ร่างกายของพวกเขาก็จะดูดซับพลังปราณสวรรค์กับปฐพีเองโดยธรรมชาติ นอกจากนี้พวกเขายังมีร่างกายที่แข็งแรงและอายุยืนกว่าคนธรรมดาทั่วไป”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าสงสัยว่าเด็กคนนี้มีรากฐานทางจิตวิญญาณ”
เจียงหลีอธิบายเหตุผลที่เขานำศิลาลิขิตเซียนออกมาวางไว้ในมือของเด็กชาย ทว่าในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าผู้ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณแฝงอยู่จะมีร่างกายแข็งแรงกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ค่อนข้างมีขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้ ตามสิ่งที่เขาอนุมานก่อนหน้านี้จึงถือได้ว่ายังห่างไกลจากความถูกต้อง
ขณะนี้เจียงหลีมีข้อสงสัยบางอย่างจึงหยิบศิลาลิขิตเซียนกลับคืนมาจากเด็กหนุ่มที่หมดสติเพื่อตรวจสอบ และเหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ 'วิชาควบคุมซอมบี้' ของเขาถูกอีกฝ่ายต่อต้านต่างหาก!
ก่อนที่เด็กคนนี้จะได้รับบาดเจ็บจากเจิ้งหยวน ‘เมล็ดพันธุ์’ ที่ปลูกในร่างกายของเขาถูกขับออกจากร่างกายด้วยแรงบางอย่างจากภายใน
ถ้าเขาสามารถต้านทานคาถาของเจียงหลีได้ก็อาจกล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งทางจิตใจและพรสวรรค์ของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตาม การที่จะทำแบบนี้ด้วยตัวเขาเองนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเจียงหลีจึงคาดเดาว่าต้องมีบางอย่างที่พิเศษอยู่ในร่างกายของเด็กชาย
สิ่งที่เป็นปริศนาเหล่านี้ก็ฝังอยู่ในร่างของเด็กคนอื่น ๆ เช่นกันและเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาผล็อยหลับไป แต่สิ่งที่สามารถปกป้องชีวิตของพวกเขาเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งมันยังขับไล่วัตถุแปลกปลอมที่เข้ามารบกวนเจ้าของร่างได้นั้นจึงเป็นไปได้มากว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ!
“แม้ว่าเขาจะมีรากฐานทางจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร บางทีเขาอาจไม่ได้รับการทดสอบและถูกคนจากพรรคเซิงเซียนมองข้ามไป”
“ภารกิจสำนักชั้นนอกต้องการให้พวกเรามาตรวจสอบและแก้ปัญหาของเมืองอิงหนาน แต่ถ้าเราทำไม่สำเร็จ เราจะต้องหาเหตุผลว่าทำไมเราถึงแก้ไขปัญหาไม่ได้แล้วค่อยกลับสำนัก”
“แต่เด็กที่หมดสติไปเกี่ยวอะไรกับภารกิจของเราล่ะ”
กลุ่มศิษย์นอกสำนักยังคงสับสนมากว่าทำไมเจียงหลีถึงพูดแบบนั้น
“ถ้าข้าบอกว่าเด็ก 2,000 คนในลานข้างนอกทุกคนมีรากฐานทางจิตวิญญาณล่ะ!”
คำพูดของเจียงหลีทำให้คนอื่นตกตะลึง
“เจ้าจะบอกว่าเด็กทั้งหมด 2000 คน มีรากฐานทางจิตวิญญาณอย่างนั้นหรือ!? เป็นไปไม่ได้!”
หยูป้านเซียและคนอื่น ๆ ปฏิเสธการคาดเดาของเจียงหลีแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
แม้ว่ารากทางจิตวิญญาณจะเกิดได้ไม่ยาก แต่โดยพื้นฐานแล้วมีเพียง 1 ใน 1,000 คนเท่านั้นที่จะมีพรสวรรค์เช่นนี้
ในเขาฉงซานมีแคว้นอยู่หลายร้อยแคว้น และเวลาที่พรรคเซิงเซียนคัดเลือกศิษย์ในแต่ละครั้งก็ยังพบคนที่มีพรสวรรค์นี้ไม่ถึง 10,000 คนเลยด้วยซ้ำ
อิงหนานเองก็เป็นเพียงแคว้นเล็ก ๆ และตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงที่มีเด็กอายุระหว่าง 8-14 ปีไม่มากนัก
หากสิ่งที่เจียงหลีพูดเป็นความจริง อัตราส่วนของเด็กที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณและความสามารถที่แฝงอยู่ในเมืองนี้จะมีเกิน 1 ใน 10 นั่นหมายความว่าอิงหนานจะกลายเป็นดินแดนที่ได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริง
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง อาการหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุของพวกเด็ก ๆ ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย แต่โลกนี้ช่างกว้างใหญ่นัก และมีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย เราควรทดสอบเด็กอีกสองสามคนก่อน แล้วทุกอย่างจะชัดเจนขึ้น”
เหตุผลที่เจียงหลีกล้าพูดแบบนี้เพราะเขาเคยลองมาก่อนแล้ว
ตอนที่ศิษย์จากวัดชีหังขอตัวกลับไป เด็กหนุ่มก็ใช้ศิลาลิขิตเซียนเพื่อทดสอบเด็กหลายสิบคนทันที และทุกคนมีปฏิกิริยาตอบรับเชิงบวกทั้งนั้น
ด้วยความที่ว่ารากฐานทางจิตวิญญาณไม่ใช่หัวไชเท้าที่จะหาซื้อที่ไหนก็ได้ในตลาด มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณจำนวนมากจะปรากฎขึ้นพร้อม ๆ กันโดยไม่มีอิทธิพลจากภายนอก
หลังจากนั้นเขานำศิลาลิขิตเซียนกลับมาและมุ่งหน้าไปยังห้องอื่นพร้อมกับทุกคน โดยที่ภายในห้องนั้นมีเด็กหมดสติจำนวนมากนอนอยู่ข้างใน
พอมาถึงแล้วพวกเขาก็โบกมือให้สาวใช้ในวังและพี่เลี้ยงที่ดูแลเด็กออกไปรอข้างนอกห้อง
เพื่อหลีกเลี่ยงความสงสัย เจียงหลีได้มอบศิลาลิขิตเซียนให้กับลู่เฉียนเฉียนและขอให้นางใช้มันทดสอบเด็กทีละคน
แล้วพวกเขาก็ดับไฟในห้อง พร้อมกันนั้นแสงที่คล้ายกับหมอกจาง ๆ ก็ส่องประกายในห้องที่มืดสลัว
การทดสอบครั้งที่ 1 อาจเกิดจากความบังเอิญ ครั้งที่ 2 อาจเกิดจากโชคชะตา และครั้งที่ 3 อาจเกิดจากลิขิตสวรรค์...
แต่ครั้งที่ 4 ล่ะ? แล้วครั้งที่ 5, 6 หรือแม้แต่ 7?
เมื่อเด็กกว่าร้อยคนในห้องนี้ได้รับการทดสอบรากฐานทางจิตวิญญาณ พวกหยูป้านเซียก็ตกใจจนพูดไม่ออก
“นี่… ศิลาลิขิตเซียนนี้… มันพังแล้วหรือเปล่า?”
ในขณะที่ทุกคนพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมด ข้อสงสัยนี้มันก็เป็นไปได้จริง ๆ
แต่ในระหว่างนั้น พวกเขาไปหาเด็กสองสามคนที่ยังมีสติเพื่อทดสอบมัน แต่ศิลาลิขิตเซียนกลับไม่ตอบสนองใด ๆ เลย
เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเชื่อตามสิ่งที่เกิดขึ้น
“พวกเขา… พวกเขามีรากฐานทางจิตวิญญาณจริง ๆ!”
“ภารกิจนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถจัดการได้อีกต่อไป เราต้องรายงานเรื่องนี้ให้ทางสำนักทราบโดยเร็วที่สุด!”
ขณะนี้ใบหน้าของกลุ่มเจียงหลีที่เข้าใจสถานการณ์บ่งบอกว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรงมาก
“แล้วนี่หมายความว่าภารกิจของเราล้มเหลวหรือไม่”
ในความคิดของลู่เฉียนเฉียน นางยังคงจดจ่ออยู่กับการช่วยเหลือเด็ก ๆ นางไม่สามารถเข้าใจความรุนแรงของสถานการณ์ได้ครู่หนึ่ง นางคิดว่าถ้านางขอความช่วยเหลือจากสำนักก่อนที่ภารกิจจะเสร็จสิ้น นั่นแสดงว่าภารกิจที่พวกนางรับมาล้มเหลว
“เฉียนเฉียน ภารกิจไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”
ตอนนี้ไม่ว่าเด็กพวกนั้นจะหมดสติหรือไม่ก็ตาม… ไม่ว่าพวกเขาจะรักษาเด็ก ๆ ได้หรือไม่ และไม่ว่าจะสามารถค้นหาความจริงได้หรือไม่ มันก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดอีกต่อไป
เนื่องจากในเมืองนี้มีเด็กมากกว่า 2,000 คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณซึ่งพวกเขาอาจจะเป็นนักพรตที่มีศักยภาพสูงอีกด้วย
แล้วตามราคาตลาดของพรรคเซิงเซียน แม้แต่คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณที่มีศักยภาพต่ำที่สุดก็สามารถนำไปแลกเป็นหินวิญญาณได้ 2 ก้อน
ในสำนักชั้นนอกของสำนักชั่งจิงกู่ แม้ว่าพวกเขายังไม่มีแผนที่จะรับสมัครศิษย์ใหม่ แต่พวกเขาก็ไม่เคยปฏิเสธแรงงานราคาถูกอย่างศิษย์นอกสำนักเช่นกัน
ด้วยจำนวนผู้ฝึกตนที่มีศักยภาพจำนวนมาก ตราบใดที่ข่าวนี้ถูกส่งกลับไปยังสำนัก ไม่ว่าทางสำนักจะตระหนี่ถี่เหนียวแค่ไหน พวกเจีย
งหลีก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนอย่างมหาศาลแน่นอน
แม้ว่าทั้ง 8 คนจะแบ่งผลกำไรเท่า ๆ กัน แต่ก็สามารถการันตีได้ว่ามันไม่ได้เลวร้ายไปกว่ารายได้จากการทดสอบยาทั้ง 3 เดือนที่ผ่านมาของเจียงหลีเป็นแน่
จากนั้นหยูป้านเซียอธิบายเหตุการณ์ให้ทุกคนฟังอย่างละเอียดและบางคนก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเขาหมายถึงอะไร แล้วพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นปนกับประหม่า
ตอนนี้ตั๋วรับรางวัลที่สามารถแลกเป็นเงินสดจำนวนมากได้วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว โดยทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะเอาไปขึ้นรางวัลอย่างไร
“แล้วเราจะรออะไรอีกล่ะ? รีบกลับไปที่สำนักและรายงานเรื่องนี้กันเถอะ!” คนในกลุ่มพูดอย่างตื่นเต้น
อย่างไรก็ตาม เจียงหลีและหยูป้านเซียกลับมีสีหน้าจริงจังกว่าปกติ
“มันไม่ง่ายขนาดนั้น” เจียงหลีกล่าวพลางส่ายหัว
“เจ้ายังจำสิ่งที่ศิษย์พี่เจิ้งหยวนจากวัดชีหังกล่าวได้หรือไม่”
“เขาบอกว่าเราไม่ควรออกจากเมือง แต่หลังจากที่เราทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ให้รีบกลับไปยังสำนักโดยเร็วที่สุด”
“เราไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอนของการปรากฏตัวของปีศาจที่ว่า แต่ตอนนี้มีนักพรตจำนวนมากถูกดึงดูดเข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่าง”
เมื่อทุกคนได้ยินหัวหน้ากลุ่มกล่าวถึงประเด็นนี้ ใบหน้าที่ตื่นเต้นของพวกเขาก็จางหายไปทันที
…
ในบ่ายวันหนึ่ง นักพรต 5-6 คนก็เดินทางมาถึงวังหลวงของเมืองอิงหนาน จนถึงตอนนี้มีนักพรตจำนวนมากได้มารวมตัวกันอยู่ภายในเขตเมืองหลวง
ขณะเดียวกัน พวกเจียงหลีไม่ได้กลัวการเข้าสังคมมากขนาดนั้น ทว่าเหตุผลที่พวกเขาหลีกเลี่ยงนักพรตคนอื่นแล้วเข้าไปอยู่ในวังก็เพื่อหนีจากปัญหาที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าการพูดคุยกับนักพรตจากสำนักอื่นจะไม่ได้มีปัญหาอะไรก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของนักพรตไร้สำนัก ถึงแม้ว่าปกติแล้วพวกเขาจะดูเหมือนคนทั่วไป แต่หากมีโอกาสเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะกลายเป็นนักพรตมารในทันทีและจัดการโจมตีคนที่ไม่ทันระวังตัวอย่างรุนแรง
บทที่ 38: สิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัว
-------------------------------------------
อากิระ talk: เรื่องนี้มันมีเงี่ยน(?)งำบางอย่าง
ปล.วันหยุดยาวนี้เราจะลงให้พิเศษเป็นวันละ 2 ตอน ถึงวันที่ 17 ก.ค. นะจ๊ะ 😘