กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“ข้าขอถามศิษย์พี่ว่าท่านตัดสินได้อย่างไรว่าคน ๆ นั้นเป็นปีศาจ?”
ในขณะนี้ หยูป้านเซียและคนอื่น ๆ ก็รีบวิ่งไปยืนอยู่ข้างเจียงหลี โดยที่พลังปราณจิตวิญญาณในร่างกายของพวกเขาดูเหมือนจะรวมตัวกัน พร้อมที่จะป้องกันการโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
"หืม? นี่มันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ?” ทางด้านของเจิ้งหยวนรู้สึกมึนงงกับคำถามของอีกฝ่าย แล้วรอยยิ้มจริงใจของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไปขณะที่เขาเดินไปหาเด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย
“ร่างกายของปีศาจตนนี้เต็มไปด้วยปราณหยิน ก่อนหน้านี้เขาแยกเขี้ยวและกวัดแกว่งกรงเล็บเตรียมที่จะทำร้ายผู้อื่น ถ้าเขาไม่ใช่ปีศาจ แล้วเขาจะเป็นอะไรได้อีก?”
“แค่กๆๆ!”
บัดนี้เด็กหนุ่มที่เคยนอนนิ่งอยู่บนพื้นจู่ ๆ ก็ไอสองสามครั้งซึ่งฟังดูเหมือนคนกำลังหายใจติดขัด หลังจากเขากระอักเลือดออกมาทางปากและจมูกครั้งหนึ่งแล้ว หน้าอกที่ยุบลงไปก็ขยับขึ้นลงอีกครั้ง
เด็กคนนี้ยังมีชีวิตอยู่!
“เอ๊ะ? ทำไมปราณหยินหายไปแล้วล่ะ?” นักพรตที่อ้างว่าเป็นศิษย์ของ วัดชีหังยกมือขึ้นเกาศีรษะของตัวเอง แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เฉียนเฉียน ไปดูซิว่าพอจะมีหวังช่วยให้เขารอดได้ไหม”
“ศิษย์พี่ ปราณหยินเกิดจากคาถาของข้า จริง ๆ แล้วเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ปีศาจ”
“เขาเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ ในที่นี้ พวกเขาหมดสติไปโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุ”
“ศิษย์พี่ โปรดถอยออกมาสักหน่อย สหายของเราจะได้ดูว่านางสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้หรือไม่”
เจียงหลีอธิบายสถานการณ์ทั่วไปของเด็ก ๆ ในเมืองอิงหนานให้หลวงจีนฟังก่อนที่จะยกมือขวาขึ้นและเรียกปราณหยินมาเพื่อแสดงเป็นหลักฐาน
เมื่อเจิ้งหยวนเห็นปราณหยินในมือของเจียงหลี ดวงตาของเขาก็ส่องประกายด้วยความไม่พอใจ แต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“นี่… มันเป็นอย่างนั้นเองหรือ แล้วในเมืองมีโรคแปลก ๆ เกิดขึ้นหรือ?”
“อามิตตาพุทธ ข้าบังเอิญทำร้ายคนดีไปเสียแล้ว!”
“ข้าทำบาป บาปก๊รรมบาปกรรม!”
หลวงจีนผู้นี้ดูเป็นคนที่มีเหตุผลเพราะหลังจากที่รู้ว่าทุกคนต่างระวังตัวกับตนเอง เขาก็ถอยออกไปเพื่อรักษาระยะห่าง
“ศิษย์น้อง โปรดรักษาผู้บาดเจ็บด้วย”
“นี่คือยาฟื้นฟูเนื้อกระดูกหยกของวัดชีหังของข้า ข้าต้องการแสดงความเสียใจและหวังว่าศิษย์น้องจะช่วยเด็กคนนี้ให้จงได้”
เจิ้งหยวนกล่าวพลางหยิบขวดยาออกจากแขนเสื้อแล้วยื่นไปทางศิษย์น้องทั้งหลาย
ถัดมา เจียงหลีและคนอื่น ๆ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อแยกอีกฝ่ายออกจากคนป่วย จากนั้นพวกเขาก็ปล่อยให้ลู่เฉียนเฉียนที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาเริ่มรักษาเด็กผู้โชคร้ายคนนั้นด้วยคาถารักษา
ในเวลาเดียวกัน หยูป้านเซียก็รับยามาอย่างระมัดระวังแล้วเปิดมันเพื่อพิสูจน์กลิ่น เมื่อเขาไม่พบสิ่งผิดปกติจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น
ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์นอกสำนักแห่งสำนักชั่งจิงกู่ยังถือว่าด้อยกว่าหลวงจีนผู้นี้ นอกจากนี้พวกเขายังไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับเด็กชายคนนั้นอีกด้วย หากจะต้องได้สู้กันจริง ๆ พวกเขาคงเลือกที่จะเอาตัวรอดไว้ก่อนแน่นอน
ความจริงแล้วเมื่อเจียงหลีปล่อยพลังปราณหยินออกไป จนถึงตอนนี้เขายังคงเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับเจิ้งหยวนหากเขาคิดจะใช้ข้ออ้างในนามของความยุติธรรมมาโจมตีพวกเขาอีก
มิหนำซ้ำ หลวงจีนผู้นี้อยู่ในขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นสุดท้าย เพราะฉะนั้นเขาเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการกับศิษย์ใหม่เหล่านี้ได้ทั้งหมดแล้ว
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาควรเลือกแก้ไขปัญหาและจัดการให้ถูกต้องดีกว่า
“ศิษย์พี่เจิ้งหยวน ท่านเป็นคนมีคุณธรรมยิ่ง เราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเด็กคนนั้น เขาโชคดีมากที่ได้กินยาอันล้ำค่าเช่นนี้”
นักพรตที่เผลอทำร้ายมนุษย์ แล้วรู้ว่าควรชดเชยให้พวกเขานั้นหาได้ยากมากจริง ๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยาที่หลวงจีนมอบให้คือยาฟื้นฟูเนื้อกระดูกหยก ซึ่งเป็นยาระดับธุลีขั้นสูงที่มีชื่อเสียงในหมู่ยาระดับธุลี ซึ่งยาประเภทนี้ใช้ได้ผลดีแต่ปริมาณการผลิตต่ำ
ศิษย์นอกสำนักเช่นพวกเขาไม่สามารถหาซื้อมันมาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจะทนมอบมันให้กับมนุษย์ได้อย่างไร?
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ยาดังกล่าวน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เด็กชายคนนั้นหลับไปตลอดกาลเสียมากกว่า
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การป้อนยาให้มนุษย์คงจะไม่เป็นไรหากยานั้นเป็นยาระดับธุลีขั้นต่ำ แต่การป้อนยาระดับธุลีขั้นสูงให้มนุษย์มันก็ไม่แตกต่างจากการชกเขาจนตายมากนักหรอก
“อ้อ ข้ามีเรื่องอย่างอื่นอยากจะถามด้วย”
“ดูจากเสื้อผ้าของศิษย์น้องแล้ว พวกเจ้าคงเป็นศิษย์ของสำนักชั่งจิงกู่ใช่หรือไม่” เจิ้งหยวนเอ่ยถามขึ้นมา
เนื่องด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสำนักหลัก ๆ ของเขาฉงซานนั้นไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่ ซึ่งระหว่างศิษย์ของสำนักใหญ่มักจะมีปฏิสัมพันธ์กัน ในประวัติศาสตร์ มีหลายความสัมพันธ์เกิดขึ้นแล้วเกิดการแต่งงานระหว่างสำนัก มันเลยเป็นเรื่องปกติมากที่พวกเขาจะรู้จักชุดลูกศิษย์ของกันและกัน
และเป็นเพราะว่าศิษย์ใหม่เหล่านี้คงยังไม่มีประสบการณ์จึงไม่รู้ว่าเขามาจากสำนักไหน
“ใช่แล้ว พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักชั่งจิงกู่ เรามาที่นี่เพื่อแก้ปัญหาเด็กหมดสติเหล่านี้” หยูป้านเซียตอบตามความจริง เขาคิดว่าคงไม่น่าเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะมีความบาดหมางกับสำนัก มิฉะนั้น หมัดอันทรงพลังของหลวงจีนผู้นี้คงจะพุ่งเป้าไปที่เจียงหลีแล้ว
“อืม ตอนที่เจ้ามาถึง เจ้าเห็นสุสานใกล้ ๆ หรือพื้นที่อันตรายที่มีปราณหยินสูงเป็นพิเศษหรือเปล่า”
ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจสิ่งที่เจิ้งหยวนถาม
ปรากฎว่าเขาต้องการมาขอเส้นทางจากขุนนางในท้องที่ตั้งแต่แรก จากนั้นเขาก็เห็นเด็กหนุ่มที่ถูกเจียงหลีควบคุมซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาโจมตีเด็กผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น
“ขออภัยด้วย แต่ตามทางที่เราผ่านมาไม่มีสุสานตั้งอยู่เลย แต่ฮ่องเต้และขุนนางของอิงหนานที่เป็นคนของพื้นที่อาจช่วยท่านได้”
“ศิษย์พี่เจิ้งหยวน เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
หลวงจีนหนุ่มที่ถูกถามส่ายหัว มันทำให้พวกเจียงหลีไม่ทราบว่าเขาไม่ต้องการจะพูดอะไรมากไปกว่านี้หรือเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์มากนักกันแน่
“ถ้าพวกเจ้าไม่เห็นสุสานก็ช่างมันเถิด ช่วงนี้ในเมืองไม่ค่อยสงบ ดูเหมือนว่าปีศาจได้ปรากฏตัวแล้ว”
“เป็นการดีที่สุดหากพวกเจ้าอยู่แต่ในเมืองนี้ แต่หลังจากพวกเจ้าจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วให้รีบกลับสำนักโดยเร็วที่สุด”
เมื่อได้ยินที่เจิ้งหยวนพูด เจียงหลีและคนอื่น ๆ ก็หันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
‘เป็นไปได้ไหมว่าสาเหตุที่เด็กเหล่านี้หมดสติเกี่ยวข้องกับปีศาจที่ศิษย์พี่คนนี้พูดถึง? งั้นนี่ก็เป็นภารกิจที่ลำบากจริง ๆ’
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของท่านศิษย์พี่เจิ้งหยวน เราจะรับไว้พิจารณา”
หลังจากที่กลุ่มศิษย์ใหม่กล่าวขอบคุณหลวงจีน พวกเขาก็แนะนำให้เขารู้จักกับฮ่องเต้แห่งอิงหนานแล้วถามคำถามเดียวกันกับเขา
อย่างไรก็ตาม คำตอบที่ได้จากผู้เป็นฮ่องเต้กับเหล่าขุนนางนั้นน่าผิดหวังมาก
“สุสาน? มันคืออะไร?"
“โอ้ สถานที่ฝังศพคนตายอย่างนั้นหรือ? ขออภัยท่านเซียนและไต้ซือด้วย แต่เราไม่มีสถานที่แบบนั้นอยู่ในเมือง”
“อิงหนานของเราทำการฝังศพด้วยน้ำมาโดยตลอด หากบุคคลใดไม่สามารถกลับสู่อ้อมแขนของแม่น้ำหลังความตายได้ เราเชื่อว่าเป็นการดูหมิ่นคนตายอย่างที่สุด”
ปรากฏว่าเมืองนี้ไม่มีการฝังศพ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้จักสุสานเลยแม้แต่คนเดียว
ในขณะเดียวกัน ฮ่องเต้และขุนนางของอิงหนานไม่เคยได้ยินแม้แต่คำว่า ‘สุสาน’ ด้วยซ้ำ นั่นแสดงให้เห็นว่าธรรมเนียมนี้มีมาแต่ช้านานแล้ว
ตอนนี้เมื่อพวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้ง มันเป็นความจริงที่พวกเขาไม่เคยเห็นหลุมศพหรือสุสานระหว่างทางมาที่นี่เลย ซึ่งมันค่อนข้างผิดปกติสำหรับเมืองมนุษย์ที่มีความสามารถในการขนส่งจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะฝังศพไว้ในที่ไกล ๆ
แม้แต่ในยุคปัจจุบันยังมีการบังคับใช้กฎหมายการเผาศพมาเป็นเวลานาน สุสานที่ทำจากซีเมนต์ก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่งบนภูเขาห่างไกล แต่ที่นี่ไม่มีภาพแบบนั้นให้เห็นเลย ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวมาน่าจะเป็นความจริง
เมื่อเจิ้งหยวนไม่พบสิ่งที่เขาต้องการ เขาก็เตือนฮ่องเต้และขุนนางในลักษณะคลุมเครือว่าพวกเขาไม่ควรเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นให้ใครรู้ก่อนที่เขาจะขอตัวกลับอย่างรวดเร็ว
ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ดูเหมือนว่าข่าวการปรากฏตัวของ ‘ปีศาจ’ นี้จะแพร่กระจายไปทั่ว ขณะที่พวกเขากำลังจะกลับจากการสืบหาข้อมูลก็มีนักพรต 4-5 กลุ่มเข้ามาสอบสวนเรื่องนี้
คนพวกนั้นมีทั้งนักพรตไร้สำนักและลูกศิษย์จากสำนักอื่นที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง
แม้ว่าพวกเขาจะมีเป้าหมายเหมือนกัน แต่มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากคนละกลุ่ม
พอพวกเจียงหลีได้พบกับนักพรตทั้ง 2 กลุ่ม พวกเขาก็มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าไม่ควรพาตัวเองถลำลึกลงไปในเรื่องนี้
กลุ่มศิษย์ใหม่ที่อยู่ในขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นเริ่มต้นยังไม่ถึงขั้นที่พวกเขาจะสามารถมีส่วนร่วมในเรื่องดังกล่าวได้
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงถอยกลับไปที่วังหลวงของอิงหนาน พร้อมกับหลีกเลี่ยงบุคคลภายนอกและปล่อยให้ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางรับรองคนพวกนั้นกันเอง
ในเวลาเดียวกัน พวกเจียงหลีก็ยังคงค้นคว้าหาสาเหตุที่เด็กหมดสติต่อไป ยิ่งพวกเขาทำภารกิจเสร็จเร็วเท่าไหร่ พวกเขาก็จะได้ออกจากสถานที่แห่งนี้เร็วขึ้นเท่านั้น
บทที่ 36: การปรากฏตัวของปีศาจ?
-------------------------------------------
อากิระ talk: ไอ้คำว่าอย่าบอกใครนะไม่มีอยู่จริงในโลก ไม่มีเหยียบให้มิด มีแต่เหยียบให้กระจายจ้าาา