Your Wishlist

ขอโทษที! ความโกงของฉันคือเวลาบัพไม่จำกัด (บทที่ 34)

Author: Turtle Shell and Hemp Rope (Akira แปล)

กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!

จำนวนตอน : 500+

บทที่ 34

  • 09/07/2565

ท้ายที่สุดแล้ว เหตุผลที่ฮ่องเต้แห่งอิงหนานปฏิบัติต่อพวกเจียงหลีเป็นอย่างดีก็เพราะเขาแทบจะไม่ค่อยได้เห็นนักพรตมาก่อนและไม่เข้าใจคนประเภทนี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่ตนเองไม่รู้ 

 

ในสมัยก่อนเคยมีนักพรตหลายคนที่ไม่มีอนาคตในโลกเซียนเดินทางมาแสวงหาความมั่งคั่งและเกียรติยศในโลกมนุษย์ ซึ่งก็มีหลายคนที่ยินดีจะเข้าร่วมราชวงศ์เพื่อชีวิตที่สะดวกสบายหรือบางคนถึงขั้นเข้าควบคุมราชวงศ์ไว้

 

อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์เหล่านี้เองก็ไม่ต่างอะไรไปจากอู่ข้าวอู่น้ำของสำนักหลักในโลกเซียนมาช้านาน

 

แล้วพวกเขาจะปล่อยให้นักพรตไร้สำนักพวกนั้นมาแย่งแหล่งขุมทรัพย์ชั้นดีไปได้อย่างไร?

 

นักพรตไร้สำนักไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกมนุษย์บวกกับสำนักเซียนต่างก็ดูถูกโลกมนุษย์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเขาแยกกันอยู่คนละโลก

 

เมื่อรถม้าวิญญาณหยุดลงใกล้ ๆ กับขบวนต้อนรับของฮ่องเต้ เจียงหลีและคนอื่น ๆ ก็ลงจากรถม้า 

 

ภาพของเด็กกลุ่มหนึ่งทำให้ฮ่องเต้แห่งเมืองอิงหนานรู้สึกประหลาดใจ เพราะในสายตาของสาธารณชน เซียนในจินตนาการของทุกคนล้วนเป็นภาพของชายชราผมขาว

 

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่กล้าที่จะท้วงติงเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ดี

 

“ท่านเซียนทั้งหลาย พวกท่านเดินทางมาจากแดนไกล เชิญพวกท่านไปพักผ่อนที่วังหลวงเถิด เราจะจัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อต้อนรับพวกท่าน”

 

‘ฮ่องเต้องค์นี้กระตือรือร้นดีจริง ๆ และงานเลี้ยงที่เขาเตรียมไว้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน’ ขณะนั้นศิษย์สองสามคนเกิดความคิดแปลก ๆ ขึ้นในหัว แต่หยูป้านเซียซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะสนใจเรื่องนี้เลย

 

“เรามาที่นี่เพื่อทำภารกิจของเมืองอิงหนาน ท่านรีบบอกรายละเอียดเรามาดีกว่า”

 

“แล้วเด็กที่หมดสติทั้งหมดอยู่ที่ไหน? พาเราไปที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย”

 

พอเด็กหนุ่มพูดอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าที่จะทักท้วงเขาสักคน

 

เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเซียนพูดขัดขึ้นมา เขาจึงเรียกขุนนางที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง หลังจากที่เขากระซิบสั่งบางอย่างกับคนของตนเองแล้ว เขาก็กลับไปเป็นผู้นำทางให้พวกเจียงหลีด้วยตัวเอง

 

“ท่านเซียน เด็กกว่าสองพันคนเป็นลมหมดสติไปในชั่วข้ามคืน แล้วตอนนี้ก็ผ่านมา 13 วันแล้วยังไม่มีใครได้สติเลยสักคน!”

 

“หมอหลวงและหมอที่ดีที่สุดในประเทศของเราเคยตรวจเด็ก ๆ ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้พวกเขายังใช้สมุนไพรล้ำค่าทุกชนิดมาทำยา แต่พวกเด็ก ๆ ก็ไม่ยอมตื่น”

 

“สือซาน สืออู่และสือชี ลูกที่น่าสงสารของข้าก็เป็นแบบนี้กันหมด ข้าไม่เหลือหนทางใดแล้วจริง ๆ!”

 

“ท่านเซียน ได้โปรดช่วยพวกเขาด้วยเถิด!”

 

เหล่าเซียนหนุ่มสาวที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองหน้ากันพลางคิดในใจว่า ‘ลูกของท่านเป็นถึงขั้นนี้แล้ว ท่านยังจะมีอารมณ์มาจัดงานเลี้ยงต้อนรับเราอีกหรือ?’

 

ดูเหมือนว่าไม่ว่าคนเราจะรักอะไรมากแค่ไหน แต่เมื่อได้รับสิ่งเหล่านั้นมามากเกินพอ ความรู้สึกของพวกเขาก็จะค่อย ๆ จางลง ไม่ว่าจะเป็นคนรัก ครอบครัวหรือเครือญาติ พวกเขาก็เป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งหมด

 

“ไม่มีเด็กคนไหนอดตายหลังจากหมดสติไปร่วม 13 วันเลยหรือ?”

 

“เราขอให้ประชาชนป้อนโจ๊กให้เด็ก ๆ กินตามเวลา แม้ว่าเด็ก ๆ จะหลับ แต่พวกเขาก็โชคดีที่ได้กินอะไรบ้าง นั่นคือวิธีที่พวกเราสามารถรักษาชีวิตของเด็ก ๆ ไว้ได้จนกระทั่งพวกท่านเดินทางมาถึง”

 

เมื่อได้ฟังคำตอบทุกคนก็เข้าใจทันที จากนั้นหยูป้านเซียก็ยังคงถามคำถามต่อไป

 

“แล้วมีเหตุการณ์อะไรพิเศษเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเด็กหมดสติไปหรือไม่? หรือพวกเขากินอะไรผิดแปลกไปหรือเปล่า?”

 

อย่างไรก็ตาม คำถามธรรมดา ๆ นี้ทำให้ฮ่องเต้แห่งอิงหนานนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน

 

“เอาเถิด ท่านควรให้คนไปหาคำตอบนี้มา แต่ท่านต้องไปถามคนในครอบครัวและคนรอบข้างของเด็กทุกคน ห้ามพลาดแม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ” จู่ ๆ เจียงหลีก็พูดขึ้นมา

 

คำพูดอย่างกะทันหันของเจียงหลีทำให้หยูป้านเซียนึกขึ้นมาได้ว่าฮ่องเต้จะสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร?

 

"ได้ๆๆ ข้าจะทำตามที่ท่านบอกทันที”

 

พอพูดจบผู้เป็นฮ่องเต้ก็โบกมือเบา ๆ แล้วขันทีที่เดินตามหลังมาอย่างใกล้ชิดก็รีบวิ่งกุลีกุจอเข้ามา หลังจากที่เขาได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ เขาก็รีบไปหาขุนนางเพื่อออกพระราชกฤษฎีกา

 

ในไม่ช้าพวกเจียงหลีก็ตามฮ่องเต้เข้าไปในวังหลวง โดยที่ระหว่างทาง พวกเขามองเห็นชาวบ้านจำนวนมากพาลูกหลานมาที่วังหลวงแห่งนี้

 

นอกจากนั้นยังมีทหารและขุนนางจำนวนไม่น้อยที่มายืนเรียงกันสองข้างทางเพื่อขวางประชาชนไว้

 

ทันทีที่ประชาชนได้ยินว่ามีเซียนเดินทางมาในเมืองนี้และเซียนพวกนั้นสามารถช่วยรักษาลูกหลานของตนได้ พวกเขาก็ไม่รอช้าแล้วรีบพาลูก ๆ มาที่วังหลวงอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อถึงเวลาที่พวกเจียงหลีมาถึง ลานหน้าวังหลวงก็เต็มไปด้วยผ้าสีสันหลากหลายโดยที่มีเด็กหมดสตินอนอยู่ที่นั่นหลายพันคน

 

ไม่ใช่ว่าเจียงหลีและคนอื่น ๆ มัวแต่อ้อยอิ่ง แต่ฮ่องเต้ที่เป็นผู้นำทางพวกเขาเดินช้ามากกว่า

 

แม้ว่าภายนอกเขาจะดูแข็งแรง แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาค่อนข้างอ่อนแอ สิ่งเดียวที่เขาเก่งคือการออกกำลังกายบนเตียงเท่านั้น ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ทำให้เขาเหนื่อยมาก

 

ภาพชายวัยกลางคนตรงหน้าทำให้กลุ่มศิษย์นอกสำนักกลัวว่าฮ่องเต้ของเมืองนี้จะเป็นลมต่อหน้าพวกเขาไปเสียก่อน

 

“ท่านเซียน เชิญทางนี้”

 

ถัดมา กลุ่มคนที่ ‘ดูสูงส่ง’ อีกสองสามคนก้าวไปข้างหน้าและช่วยพยุงฮ่องเต้ที่ทรงเหน็ดเหนื่อย ก่อนที่พวกเขาจะพาพวกเจียงหลีไปที่ห้องโถงด้านข้าง

 

“ทำไมเราต้องไปที่นั่น? เด็ก ๆ ที่หมดสติอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?” ฉู่เฉียนฟานเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ

 

เนื่องจากเขาเกิดและโตในโลกของจอมยุทธ์และไม่เคยมีประสบการณ์ใกล้ชิดกับพวกชนชั้นสูงเรื่องมากเหล่านี้มาก่อน

 

“โอ้ เราจะปล่อยให้ท่านเซียนตากแดดตากลมรักษาประชาชนได้อย่างไร? พวกท่านไปที่ตำหนักหมอหลวงข้าง ๆ นี้ดีกว่า แล้วเราจะพาเด็ก ๆ เข้าไปทีละคน” ชายชราในชุดหรูหรารีบตอบ 

 

แต่ในขณะที่เขาพูดอย่างนั้น ความจริงก็คือคนที่นอนอยู่ในลานกว้างเป็นลูกของชาวบ้านทั่วไป

 

สำหรับคนที่นอนอยู่ในตำหนักหมอหลวงและได้รับการปฏิบัติอย่างระมัดระวังนั้นล้วนเป็นสายเลือดของฮ่องเต้

 

แม้แต่คนที่นอนอยู่ในกระโจมข้างตำหนักหมอหลวงก็เป็นบุตรของขุนนางใหญ่

 

นี่คือความไม่เท่าเทียมกันระหว่างขุนนางกับสามัญชน!

 

“ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ เราก็จะพบเบาะแสมากขึ้นเท่านั้น ข้าคิดว่าเราควรตรวจสอบคนที่อยู่ในลานก่อน”

 

คำพูดของเจียงหลีทำให้ศิษย์คนอื่น ๆ ตกตะลึง แล้วพวกเขาทั้งหมดก็พากันหยุดเคลื่อนไหว

 

ความจริงแล้วสิ่งที่เด็กหนุ่มกล่าวมาก็ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ในสายตาของเหล่าขุนนาง ชีวิตของคนชนชั้นสูงย่อมสำคัญมากกว่าลูกของชาวบ้าน

 

ทว่าหากมนุษย์ไม่เห็นด้วยกับเจียงหลีแล้วโต้แย้งขึ้นมา คิดว่าคำพูดของมนุษย์จะสามารถเปรียบเทียบกับคำพูดของเขาได้อย่างนั้นหรือ?

 

บัดนี้ท่าทางของพวกขุนนางระดับสูงเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน พวกเขารู้สึกละอายเล็กน้อย แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ไม่กล้าพูดทักท้วงอะไรออกมา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าแสดงเขี้ยวเล็บของตนเองออกมา

 

เมื่อทุกคนได้ขอสรุปแล้ว พวกเจียงหลีก็เดินไปนั่งข้าง ๆ เด็กคนหนึ่ง

 

ซึ่งเด็กคนนี้เป็นเด็กผู้ชายที่มีใบหน้าสีแดงก่ำและมีน้ำมูกสีเหลืองไหลออกมาจากจมูกข้างหนึ่ง

 

เขามีอายุประมาณ 10 ขวบ แต่เจียงหลีไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย

 

แม้ว่าเขาจะหมดสติไปหลายวันแล้ว แต่มองจากภายนอกเขาก็ยังเหมือนคนนอนหลับมากกว่าเพราะอีกฝ่ายทั้งกรน พลิกตัว หรือแม้แต่ละเมอพูดคุยและเตะผ้าห่ม นอกจากเขาจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้แล้ว เจียงหลีก็ไม่เห็นว่าจะมีอันตรายร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้น 

 

เด็กคนนี้ดูปกติมาก แม้แต่คนเมาหนักก็ยังหลับลึกกว่าพวกเขาเสียอีก

 

“เฉียนเฉียน!”

 

ในตอนที่หยูป้านเซียเรียกชื่อของนาง ลู่เฉียนเฉียนก็เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทันที จากนั้นนางถูนิ้วที่เรียวยาวแล้วเข็มเงิน 3 เล่มก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วของนาง

 

เข็มสีเงินทั้ง 3 ส่องแสงวาบวับเมื่อมันกระทบกับแสงแดด ก่อนที่มันจะจมหายเข้าไปในร่างของเด็กชายคนนั้นทันที

 

โชคดีที่พ่อแม่ของเด็กเหล่านี้ถูกไล่ออกไปแล้ว มิฉะนั้น หากพวกเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น 'ความขัดแย้งระหว่างหมอกับญาติผู้ป่วย' ก็อาจจะปะทุขึ้นอีกครั้ง

 

“เข็มทั้ง 3 เล่มของข้าอาบด้วยพิษของหนอนหนามตาแดง มันจะทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงหากถูกแทง มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อย่างแน่นอน”

 

ลู่เฉียนเฉียนเป็นผู้หญิงที่อ่อนหวานและตัวเล็ก แต่เมื่อคิดว่านางจะใช้อาวุธลับที่ชั่วร้ายเช่นนี้…บรึ๋ย! แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!

 

หลังจากที่เข็มเงินแทงเข้าไปในร่างกายของเด็กที่นอนไม่ได้สติ เด็กชายคนนั้นก็มีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที อย่างแรกร่างกายของเขาสั่นสะท้าน จากนั้นเขาก็เริ่มดิ้นไปมาอย่างกระสับกระส่าย 

 

ไม่นานดวงตาที่อยู่ใต้เปลือกตาของเด็กหนุ่มก็กลิ้งไปมาอย่างรวดเร็ว และขนตาของเขายังคงสั่นเทาราวกับว่าเขาจะลืมตาขึ้นได้ทุกเวลา

 

บทที่ 34: เด็กที่หลับใหล

 

-------------------------------------------

อากิระ talk: น้องหลีผู้ขัดพวกขุนนางได้หน้าตาเฉย แต่ไม่มีใครกล้าเถียงนะ เพราะน้องพูดถูก!

 

1/6/2022
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป