กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
เมื่อมีคนมากมายถามคำถามขึ้นมา เจียงหลีจึงไขข้อสงสัยของคนเหล่านั้นโดยอธิบายว่าเป็นเพราะวิธีการฝึกตนที่พิเศษทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกโลงศพมาด้วยเช่นนี้
ทุกคนในกลุ่มรู้ว่าเจียงหลีมักจะฝึกตนอยู่ในสุสานตลอดเวลา แต่มันก็ยังไม่มีเหตุผลที่เขาจำเป็นจะต้องแบกโลงศพออกมาทำภารกิจข้างนอกด้วยอยู่ดี...
หลังจากที่ลงชื่อออกจากสำนักตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว กลุ่มศิษย์นอกสำนักก็เช่ารถม้าวิญญาณจากสำนักเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางออกไปข้างนอก
ระยะห่างระหว่างเมืองอิงหนานกับสำนักอยู่ไม่ไกลกันมากนัก ถ้าพวกเขาเดินทางโดยใช้รถม้าทั้งวันทั้งคืน พวกเขาจะไปถึงที่นั่นภายใน 3 วัน
จากข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ได้ว่าทางสำนักคงไม่กล้าปล่อยให้ลูกศิษย์ออกไปทำภารกิจในพื้นที่ที่ห่างไกลจากสำนักมากนักหรอก
แล้วพวกเจียงหลีก็นั่งรถม้าไปตามทางที่เลี้ยวลดคดเคี้ยวซึ่งมันพาพวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
ในช่วงเวลานี้พวกเขาจำเป็นจะต้องแวะพักและจุดไฟทำอาหารกินกันด้วย
ประกอบกับหยูป้านเซียและคนอื่น ๆ ต่างก็มีประสบการณ์ในการเดินทางออกมาทำภารกิจนอกสำนัก ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าควรต้องทำอย่างไร
นั่นทำให้ระหว่างทางทุกคนไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน นอกจากนี้ยังมีลู่เฉียนเฉียนคอยสร้างสีสันให้กับคนในกลุ่ม เนื่องจากสาวน้อยร่างเล็กคนนี้ร้องเพลงได้ไพเราะมาก โดยที่บางครั้งนางจะร้องเพลงสองสามเพลงเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้แก่เหล่าสหายที่กำลังเผชิญกับการเดินทางที่น่าเบื่อ
ในโลกนี้ เขาฉงซานเป็นเพียงพื้นที่เล็ก ๆ ใน 9 ทวีป ซึ่งมันเป็นที่ที่มีภูมิประเทศแห้งแล้งและกันดาร
อย่างไรก็ตาม สำหรับเจียงหลีและนักพรตขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ คนอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถบินได้นั้นเปรียบได้กับมดตัวหนึ่งที่ต้องเดินทางในพื้นที่อันแสนกว้างใหญ่ไพศาล
แต่ไม่ว่าเจียงหลีจะนึกยังไง เขาก็ยังจำไม่ได้ว่ามีเมืองมนุษย์อยู่กี่เมืองที่อยู่ในเขาฉงซานแห่งนี้
ซึ่งเมืองอิงหนานก็เป็นหนึ่งในนั้น ในแง่ของขนาดและจำนวนประชากร เมืองนี้มีขนาดน้อยกว่า 1 ใน 3 ของเมืองหงหยานที่เป็นบ้านเกิดของเจียงหลี ยิ่งไปกว่านั้น เมืองแห่งนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา เมืองนี้จึงแห้งแล้งและมีประชากรน้อยกว่า 10 ล้านคน
จากภายใต้สภาพแวดล้อมเช่นนี้ มันจึงส่งผลกระทบในวงกว้างเพราะมีเด็กมากถึง 2,000 คนที่หมดสติไปโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ เป็นเพราะเหตุนี้เองฮ่องเต้แห่งเมืองอิงหนานจึงไม่สามารถนิ่งนอนใจอยู่เฉย ๆ ได้อีก เขาจึงยอมจ่ายเงินเพื่อส่งคนไปออกประกาศภารกิจของเมืองตนเอง
เมื่อเหล่าศิษย์นอกสำนักเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากขึ้นเรื่อย ๆ เจียงหลีก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ
ในขณะนี้อากาศรอบตัวเขาแห้งกว่าปกติ ประกอบกับดินระหว่างทางค่อย ๆ เปลี่ยนจากดินสีดำที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ไปเป็นดินสีเหลืองปนทรายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกพืช
อีกทั้งตอนนี้เป็นช่วงกลางฤดูร้อน ดอกไม้และต้นไม้ริมถนนน่าจะบานสะพรั่งและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ทว่าเมื่อเขากวาดตามองเพียงเสี้ยววินาทีเขาก็เห็นว่าต้นไม้ทั้งหมดในป่าเหมือนจะเหี่ยวแห้ง ใบไม้ของพืชหลายชนิดถูกย้อมด้วยสีเหลืองดั่งฤดูใบไม้ร่วง
นั่นอาจเป็นเพราะเจียงหลีมีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุไม้ ดังนั้นเขาจึงสัมผัสเรื่องดังกล่าวได้ไวกว่าคนอื่น
พอเด็กหนุ่มดูแผนที่ที่สำนักจัดเตรียมไว้ให้ เขาก็ได้รู้ว่าเบื้องหลังเมือง อิงหนานมีทะเลทรายขนาดใหญ่อยู่
เมืองทะเลทรายนั้นยากจนข้นแค้นและพื้นดินเป็นทรายเกือบทั้งหมด เขาคงไม่แปลกใจเลยที่เมืองอิงหนานจะขาดแคลนน้ำและอาหารเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม… เจียงหลีมองไปรอบบริเวณก่อนจะสังเกตเห็นว่ามีต้นไม้อยู่ทุกหนทุกแห่ง และบนที่ดินรอบ ๆ รวมไปถึงหมู่บ้านต่าง ๆ ในเมืองอิงหนานมีพื้นที่นาข้าวขนาดใหญ่ ดังนั้นข้อสันนิฐานที่เขาคิดจึงไม่น่าจะถูกต้อง…
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองในขณะที่เขามีความรู้สึกไม่ชอบมาพากลมากขึ้น อาการแปลกประหลาดที่เกิดกับเด็กอาจเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์นี้หรือไม่?
หลังจากที่พวกเจียงหลีผ่านป่าทึบมาแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็พากันโน้มตัวออกมาจากรถม้าเพื่อมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างตื่นเต้น ในที่สุดพวกเขาก็เห็นที่ตั้งของภารกิจนี้สักที
มันคือเมืองอิงหนาน!
[กินยาฟื้นฟูสายตาเกินขนาด เพิ่มสถานะ : เพิ่มระดับการมองเห็น]
[เพิ่มระดับการมองเห็น: ความเร็วของสายตาเพิ่มขึ้น 200%, ความกว้างของสายตาเพิ่มขึ้น 200%, วิสัยทัศน์ตอนกลางคืนเพิ่มขึ้น 50% ระยะเวลา: ∞] (-)
ตอนนี้เจียงหลีเป็นนักพรตซึ่งตามปกติเขามีประสาทหูกับตาที่ดีกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ยิ่งเขากินยาฟื้นฟูสายตาเข้าไปเกินขนาด มันก็ยิ่งทำให้สายตาของเขาแทบจะสามารถใช้เป็นกล้องส่องทางไกลได้เลย
ด้วยสายตาที่น่าอัศจรรย์ในปัจจุบัน เด็กหนุ่มสามารถมองเห็นกำแพงเมืองได้อย่างชัดเจนในขณะที่คนอื่นมองเห็นได้เพียงเลือนรางเท่านั้น ในพื้นที่เกษตรกรรมนอกเมือง เขามองเห็นชาวนาที่ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น พร้อมด้วยทหารที่เฝ้าประตูเมืองอย่างแข็งขัน
ณ เวลานี้ เมืองอิงหนานไม่มีกฎอัยการศึกในเมืองหลวง ทหารและชาวบ้านจึงมีความหละหลวมในด้านความปลอดภัยมาก ดูเหมือนว่าเมืองนี้ไม่ได้โกหกเกี่ยวกับภารกิจ เพราะสถานการณ์ที่พวกเจียงหลีเผชิญตอนนี้คือไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายและไม่มีใครแสดงตัวว่าเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
แต่ถึงกระนั้น เมื่อรถม้าของพวกเจียงหลีเข้าใกล้ พวกเขาก็ยังไม่เห็นภาพเด็ก ๆ วิ่งเล่นกันอยู่ในทุ่งนาเลย
เนื่องจากม้าวิญญาณในโลกเซียนนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งในสายตาของมนุษย์ และรถม้าที่เหล่าศิษย์นอกสำนักเช่ามาก็มีขนาดเท่ากับห้องเล็ก ๆ ห้องหนึ่งซึ่งเกินมาตรฐานของรถม้าทั่วไปมาก
และที่สำคัญที่สุด ยังมีโลงศพสีดำผูกติดอยู่ที่ด้านบนของรถม้าอีกด้วย
ดังนั้นพ่อค้าเร่และทหารทั้งหมดที่พบรถม้าของเด็ก ๆ ระหว่างทางจึงมองไปที่รถม้าด้วยสายตาแปลก ๆ
สำหรับพวกมนุษย์ธรรมดา ใครก็ตามที่สามารถนั่งในรถม้าวิญญาณได้นั้นจะต้องเป็นคนชนชั้นสูงอย่างแน่นอน จึงทำให้ไม่มีใครกล้าแสดงท่าทีดูหมิ่นออกมาเลยสักคน
“ฮึ่ย ไอ้พวกบ้านั่นกล้าจ้องมองเราอย่างเปิดเผย พวกเขาไม่รู้ความเลยจริง ๆ หรือพวกเขาไม่เคารพนักพรตอย่างเรากัน”
แม้ว่ากลุ่มของเจียงหลีจะเป็นนักพรตที่อยู่ในระดับต่ำสุดของขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ แต่ในสายตาของมนุษย์ปุถุชน พวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากเหล่าเซียนชั้นสูงเลย
ถึงแม้จะค่อนข้างกระดากปากที่พวกเขาจะพูดแบบนั้น แต่ก็ไม่ผิดที่พวกเขาจะทำตัวหยิ่งผยองในเมืองมนุษย์
มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่พรรคเซิงเซียนเดินทางมาคัดเลือกศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ ในทำนองเดียวกัน ผู้ปกครองเมืองต้องคำนับและเดินตามพวกเขาไปอย่างนอบน้อม
“เราต้องแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราทำอะไรได้บ้าง”
เวลาผ่านไปสักพักรถม้าก็มาหยุดอยู่หน้าประตูเมือง ก่อนที่หยูป้านเซียจะเอื้อมมือออกไปพลางสร้างลูกไฟขนาดใหญ่ขึ้นในฝ่ามือของเขา และในไม่ช้ามันก็มีขนาดเท่ากับลูกบาสเก็ตบอล
วิชาการสร้างเปลวเพลิง!
หยูป้านเซียมีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุไฟที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเขาจึงเลือกวิชานี้เป็นรางวัลพิเศษที่ได้รับพร้อมกับเจียงหลีในตอนนั้น
ไม่กี่อึดใจต่อมา ลูกไฟก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่มันลอยไปในอากาศ มันได้เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นวิหคเพลิงที่มีชีวิตชีวาเหมือนจริง แล้วมันก็บินวนเวียนอยู่ในอากาศชั่วขณะหนึ่งก่อนจะหายวับไปกับตา
วิชาที่หยูป้านเซียใช้อาจไร้ประโยชน์ในการต่อสู้จริง แต่มันก็มากเกินพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสามัญชนผู้โง่เขลาในสมัยที่ไม่มีอารยะธรรม พวกเขาจะแตกตื่นกับการได้พบสัตว์ประหลาดตัวเล็ก ๆ แล้วนับประสาอะไรกับการได้เห็นความมหัศจรรย์แบบนี้
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ใกล้ประตูเมืองที่ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนหรืออายุเท่าไหร่ พวกเขาต่างก็พากันคุกเข่าลงในทันที
“ท่านเซียนแห่งสำนักชั่งจิงกู่มาถึงแล้ว! ทำไมฮ่องเต้แห่งอิงหนานยังไม่ออกมาสักการะเราอีก!”
เมื่อเซียนใช้พลังปราณจิตวิญญาณในระหว่างที่พูด คลื่นเสียงที่ส่งออกมาจึงแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ
หลังจากที่หนึ่งในพวกเจียงหลีพูดจบ พวกเขาก็เร่งม้าวิญญาณของตนเองเข้าไปในเมือง
ในฐานะเซียนพวกเขาจะเสียเวลารอให้มนุษย์มาหาทำไมกัน?
จากนั้นรถม้าก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามถนนสายหลักที่ตรงดิ่งไปยังวังหลวงขณะที่สองข้างทางมีฝูงชนคุกเข่าเรียงรายอยู่ และไม่มีใครกล้ามองขึ้นไปที่รถม้าแม้แต่คนเดียว
ในเวลาเดียวกัน ก็มีรถม้าอีกคันมุ่งหน้าออกมาจากวังหลวง แต่อีกฝ่ายไม่กล้ามาเผชิญหน้ากับรถม้าของเหล่าเซียน แล้วหยุดรออยู่ตรงปลายถนนที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ก่อนที่ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าหรูหราจะวิ่งเข้ามาท่ามกลางกลุ่มข้าราชบริพาร
“ท่านเซียน! พวกท่านเป็นศิษย์ของสำนักชั่งจิงกู่ใช่หรือไม่? ข้าคือฮ่องเต้แห่งอิงหนาน ข้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พวกท่านมาเยือน!”
ระหว่างนั้นเหล่าขุนนางก็ลงไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างถนนโดยไม่พูดอะไร
ส่วนฮ่องเต้วัยกลางคนได้ยกมือขึ้นคำนับไปทางเหล่าเซียนอย่างนอบน้อม ซึ่งตัวฮ่องเต้เองไม่เคยได้ทำความเคารพใครแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว เนื่องจากเขาคือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองแห่งนี้
บทที่ 33: เมืองอิงหนาน
-------------------------------------------
อากิระ talk: มี 4 คำที่อยากจะพูดกับเด็ก ๆ ในตอนนี้มากว่า คาง-คก-ขึ้น-วอ อำนาจในมือมันหวานหอมจริง ๆ