กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
เจียงหลีคาดไว้แล้วว่าต้องเป็นหยูป้านเซียที่สามารถไปถึงขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นกลางได้ก่อนใครในเหล่าศิษย์ใหม่ด้วยกัน แต่มันก็ทำให้เจียงหลีรู้สึกกดดันขึ้นมาในทันที
หยูป้านเซียน่าจะมีความสามารถในการพัฒนาใกล้เคียงกับคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุด แต่เขาก็ยังไม่ใช่คนที่ดีที่สุด
ถ้าหากว่าเขามีความเร็วในการฝึกตนขนาดนี้ แล้วฉีเทียนหยาที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดล่ะ?
แล้วอัจฉริยะคนอื่น ๆ ที่มีความสามารถและทรัพยากรมากกว่าฉีเทียนหยาล่ะ?
ตอนนี้พวกเขาจะอยู่ในระดับไหนกันแล้ว?
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เจียงหลีไม่สามารถตอบได้ แต่เขาคาดว่าพวกเขาน่าจะมีพลังที่สูงมาก
ทว่าตัวของเขาเองก็มีนิ้วทอง ดังนั้นในอนาคตเขาจะสามารถแข็งแกร่งยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขายังคงอ่อนแอมาก เขายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสร้างรากฐานให้มั่นคง ในเวลานี้เขาไม่สามารถหยุดพักหรือประมาทเลินเล่อได้
ในขณะเดียวกัน เหยียนหงแกล้งทำเป็นไม่สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้และยื่นถุงผ้าให้กับสหายของเขา
“น้องหลี ตามที่เจ้าพูด ข้าได้พาคนของข้าไปที่พรรคเซิงเซียนแล้ว”
“สิ่งที่เจ้าต้องการหายากมาก แต่ข้าซื้อทุกอย่างที่เป็นของพื้นฐานมาให้เจ้าแล้ว”
“ราคาทั้งหมดคือหินวิญญาณ 143 ก้อน ข้าได้ใส่หินวิญญาณที่เหลือ 7 ก้อนไว้ในถุงแล้วนะ”
เจียงหลีรับถุงผ้าจากอีกฝ่ายมาเปิดดู จากนั้นร่องรอยแห่งความปีติยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าของเขาทันที
“ลำบากเจ้าแล้วพี่ใหญ่ เจ้าเก็บหินวิญญาณพวกนี้ไปเลยก็ได้ เอามาคืนให้ข้าทำไม”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางค้นถุงผ้าดูและพบหินวิญญาณ 7 ก้อนนอนอยู่ที่ก้นถุง
“ไม่จำเป็นต้องมาพิธีรีตองกับข้าหรอก ข้าได้หักค่าธรรมเนียมการเดินทางและหินวิญญาณที่จำเป็นในการซื้อของตามที่เจ้าสั่งแล้ว”
“นอกจากนี้ ข้าอยากจะไปที่พรรคเซิงเซียนมานานแล้วเหมือนกัน สินค้าของพวกเขาน่าสนใจกว่าในสำนักของเรามาก ข้าสามารถทำกำไรจากการเดินทางครั้งนี้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
“แต่ว่านะ น้องหลี นักปรุงยาที่ยอมรับภารกิจจากพรรคเซิงเซียนบอกข้าว่านี่เป็นสูตรยาที่ไร้ประโยชน์ หากเราขอแบบเดิมอีกครั้ง เราจะต้องจ่ายเพิ่ม…”
องค์ชายน้อยจงใจลดเสียงของเขาลงเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ยินประโยคสุดท้าย
“ฮึ่ม! นักปรุงยาพวกนี้เอาเปรียบผู้อื่นจนเคยตัวจริง ๆ พวกเขาไม่สนใจแม้แต่กฎเกณฑ์และไม่ยอมเป็นฝ่ายที่ต้องเสียเปรียบแม้แต่น้อย”
“คราวหน้าไปหานักปรุงยาคนอื่นกันเถอะ”
ในโลกเซียน การปรุงยาและการตีเหล็กได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
นอกเหนือจากการขายยาตามปกติแล้ว บางครั้งพวกเขาก็จะรับจ้างปรุงยาตามสูตรของเฉพาะบุคคลเป็นครั้งคราว
ในขณะนี้ ราคาของการรับจ้างปรุงยามักจะเป็นไปตามที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันเอง
อย่างไรก็ตาม ในแวดวงของการปรุงยาจะมีกฎหรือข้อตกลงที่รู้กันเองโดยที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
นั่นก็คือ หากลูกค้าหาส่วนผสมและสูตรยามาด้วยตัวเองโดยที่สูตรยานั้นเป็นสูตรที่หายากมาก หรือหากมันเป็นสูตรยาที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ นักปรุงยาจะไม่ควรเรียกเก็บเงินผู้ว่าจ้างเลยแม้แต่แดงเดียว
เนื่องจากเมื่อคนที่ได้รับว่าจ้างทำการปรุงยาเสร็จสิ้นแล้ว นักปรุงยาคนนั้นจะได้รับสูตรยาไปทันที นั่นก็ถือว่าเป็นรางวัลใหญ่อยู่แล้ว
ดังนั้นแม้ว่าเจียงหลีจะพูดด้วยความไม่พอใจ แต่ความจริงก็คือเขาหลอกฝ่ายที่เป็นนักปรุงยาอยู่เหมือนกัน
เพราะคุณค่าของสูตรยาที่เขาส่งไปให้ปรุงนั้นต่ำเกินไปจริง ๆ…
หลังจากที่เจียงหลีกับเหยียนหงกล่าวลาและแยกย้ายกันไปแล้ว เจียงหลีก็รีบกลับไปที่เรือนนอนของเขาพร้อมกับถุงผ้าในมือ
ภายในถุงผ้าที่เขาได้มาจากสหายร่างใหญ่นั้นประกอบไปด้วยยา 2 ขวด, เครื่องรางสองสามกองและศิลาก้อนหนึ่ง
ซึ่งของพวกนี้เจียงหลีเตรียมไว้สำหรับภารกิจที่กำลังจะไปทำในภายภาคหน้า
และยาเสียที่เด็กหนุ่มจ้างปรุงขึ้นมาเป็นยาสูตรเดียวกับที่เขาคัดลอกมาจากห้องปรุงยาตั้งแต่ก่อนหน้านี้
เหตุผลที่เขาต้องจ้างนักปรุงยาเพื่อปรุงยาสูตรนี้ขึ้นมาเป็นเพราะการเรียนรู้การปรุงยาไม่ใช่เรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ เมื่อถึงเวลาที่เขาสามารถปรุงยาได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่มือสมัครเล่น แต่มันก็ต้องใช้เวลานานในการฝึกฝน ซึ่งเขาไม่มีเวลามากขนาดนั้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงส่งสูตรยาและหินวิญญาณไปให้เหยียนหงเพื่อมอบหมายให้เขาเดินทางไปที่พรรคเซิงเซียนแล้วซื้อส่วนผสมจากที่นั่นไปให้นักปรุงยาปรุงขึ้นมาให้เขา
ตอนแรกเขายังไม่ได้ตัดสินใจลงมือทำ แต่เพื่อหาคำตอบเขาจึงต้องเสี่ยงลองดู แล้วสุดท้ายเขาไม่ได้คาดคิดว่ามันจะไปได้สวย
สำหรับเหตุผลที่เขาไม่มองหานักปรุงยาในสำนักเพื่อปรุงยาจากสูตรนั้นเป็นเพราะว่า…คนพวกนี้ไม่ใช่คนโง่ ถ้าเขาเจอคนประเภทที่ขี้สงสัยขึ้นมาล่ะก็ คงมันเป็นอันตรายถึงชีวิตของเขาเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเลือกสูตรยานี้มาอย่างระมัดระวัง และผลของมันก็อยู่ในระดับที่ดีมาก
คราวนี้เขามีความมั่นใจที่จะออกไปนอกสำนักมากขึ้นแล้ว
แม้ว่าเจียงหลีจะไม่เคยเห็นศิลานี้ด้วยตาของตัวเองมาก่อน แต่เขาได้เห็นมันในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม
เมื่อเขาถือมันไว้ในมือ เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสความเย็น หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง มันก็เปล่งแสงอันอ่อนโยนออกมา
นี่คือศิลาลิขิตเซียน!
ตามชื่อของศิลานี้ มันเป็นวัตถุที่ใช้ทดสอบว่าบุคคลที่ถือศิลามีโอกาสที่จะกลายเป็นอมตะหรือไม่
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มันถูกใช้เพื่อทดสอบว่าบุคคลหนึ่งมีรากฐานทางจิตวิญญาณหรือไม่
ในอดีตกาล คนของพรรคเซิงเซียนได้นำศิลาชนิดนี้ติดตัวไปยังโลกมนุษย์ด้วย แล้วพวกเขาจะใช้ศิลานี้ในการทดสอบเด็กทุกคนในวัยที่เหมาะสมก่อนจะนำพวกเขากลับมายังโลกเซียน
นี่คือหนทางที่ทำให้เจียงหลีและคนอื่น ๆ ได้เริ่มต้นเดินบนเส้นทางแห่งการเป็นเซียน
“ข้าสงสัยว่าศิลาลิขิตเซียนนี้ทำงานอย่างไร”
“หากไม่มีหินวิเศษแบบนี้อยู่บนโลก ประชากรในโลกเซียนคงจะน้อยลงมากกว่านี้ 10 สิบเท่า”
ต่อมา เจียงหลีหยิบศิลาลิขิตเซียนและเดินไปที่หน้าต่างของห้อง โดยที่บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างหน้าต่างมีหม้อดินที่มีเมล็ดพันธุ์ปลูกไว้วางอยู่มาเป็นเวลานาน
หลังจากที่เด็กหนุ่มเขี่ยดินออก เขาก็เห็นว่าเมล็ดที่ฝังอยู่ในดินยังเหมือนกับเมื่อ 3 เดือนก่อนทุกประการ ซึ่งลักษณะและขนาดของมันก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลย
“ในเมื่อเจ้าถูกเรียกว่าเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ งั้นมาดูกันว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับรากฐานทางจิตวิญญาณหรือไม่”
เจียงหลีกล่าวจบแล้วนำเมล็ดออกจากหม้อดินก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะถัดจากศิลาลิขิตเซียน
ไม่กี่อึดใจผ่านไป…
ทันใดนั้นก็มีแสงจาง ๆ เล็ดลอดออกมาจากศิลาลิขิตเซียน…
“มีปฏิกิริยาจริง ๆ ด้วย!”
เจียงหลีที่เห็นภาพตรงหน้ารู้สึกตกใจมาก เป็นไปได้ไหมที่เมล็ดพันธุ์นี้มีรากฐานทางจิตวิญญาณ?
หรือสิ่งนี้สามารถพัฒนาปราณจิตวิญญาณได้จริง ๆ?
อืม…รากฐานทางจิตวิญญาณมีรูปร่างลักษณะอย่างไรกันแน่?
แล้วมันกินได้ไหม?
ขณะนี้เด็กหนุ่มมีคำถามมากมายอยู่ในหัว เขาถือเมล็ดพันธุ์ไว้ในมือพลางสำรวจมันอยู่พักหนึ่ง แต่เขาก็ไม่พบเบาะแสอะไรใหม่อีกเช่นเคย
ก่อนหน้านี้เขาเคยอ่านสารานุกรมแห่งวัตถุดิบและเมล็ดพันธุ์วิญญาณในหอโอสถมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนกับเมล็ดพันธุ์นี้เลยสักอย่าง
“น่าแปลก ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้านี่ดีล่ะเนี่ย”
เจียงหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะฝังหินวิญญาณ 2 ก้อนไว้กับเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ
เนื่องจากมันมีรากฐานทางจิตวิญญาณ เขาจึงคิดว่ามันน่าจะสามารถดูดซับพลังปราณจิตวิญญาณได้ ถ้าเขาคิดไม่ผิด การใส่หินวิญญาณ 2 ก้อนเข้าไปอาจมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น
…
2 วันต่อมา ในหอฝึกตน เจียงหลีได้พบกับหยูป้านเซียและคนอื่น ๆ อีกครั้ง
อีกฝ่ายมีความกระตือรือร้นและอารมณ์ดี เห็นได้ชัดว่าเขาพอใจมากกับตำแหน่งอันดับหนึ่งในหมู่ศิษย์ใหม่
“หยูป้านเซีย ยินดีด้วย! ข้าคิดว่าอีกไม่นาน ข้าคงจะต้องเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่สำนักชั้นใน!”
ทุกคนรู้วิธีในการสรรเสริญเยินยอผู้คน เมื่ออยากให้เพื่อนอารมณ์ดีก็ย่อมไม่ผิดที่จะกล่าวชมเชยเขา
“ฮ่า ๆ มันก็ไม่แน่หรอก ยิ่งเจ้าฝึกมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น ข้ายังห่างไกลจากการก้าวเข้าสู่ขอบเขตการฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นสุดท้าย ข้าคงจะไม่มีโอกาสเข้าร่วมการประลองของสำนักชั้นนอกในปีนี้”
กล่าวอีกทำนองหนึ่งก็คือ เขาต้องใช้เวลามากกว่าเดิมในการเข้าสู่ขอบเขตการฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นสุดท้าย
ในตอนนี้ เหล่าศิษย์พี่ที่อยู่ในขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นสุดท้ายของสำนักชั้นนอกนั้นอยู่เหนือหยูป้านเซียเพียงแค่ระยะเวลาในการฝึกตนที่สั่งสมมามากกว่าเขาก็เท่านั้น
เมื่อใดก็ตามที่หยูป้านเซียไปถึงขั้นสุดท้ายได้ เขาจะสามารถลงแข่งขันและเอาชนะศิษย์พี่พวกนั้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
ในขณะที่เด็กหนุ่มพูดด้วยความภาคภูมิใจอยู่นั้น เสียงของเขาค่อนข้างดังเลยทำให้หลายคนหันมามองเขา
รวมไปถึงศิษย์พี่ 2-3 คนที่มีอิทธิพลในสำนักชั้นนอกก็หันมามองทางเขาด้วยสายตาไม่พอใจ
อย่างไรก็ตาม สำนักชั้นนอกมีกฎเกณฑ์ของตัวเองกำหนดเอาไว้ ซึ่งศิษย์ใหม่ปีแรกถือว่าเป็นบุคคลที่แตะต้องไม่ได้!
เหตุผลเป็นเพราะว่าทางสำนักต้องการแน่ใจว่าศิษย์ใหม่ที่มีศักยภาพจะมีเวลาในการพัฒนาตัวเองอย่างเต็มที่ มิฉะนั้น พวกเขาทั้งหมดจะถูกศิษย์เก่ากดขี่ข่มเหง หากเกิดช่องว่างระหว่างรุ่นขึ้น สำนักจะไม่สามารถเติบโตไปข้างหน้าได้เช่นกัน
บทที่ 31: ศิลาลิขิตเซียน
-------------------------------------------
อากิระ talk: อยากจะถามเหยียนหงมากว่าทุกวันนี้ได้ฝึกตนบ้างไหม เห็นยุ่งอยู่แต่กิจการของตัวเอง