กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“ถ้ามีคนรู้ว่าข้าไปถึงขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นกลางได้ในเวลาเพียง 3 เดือนจะมีคนสงสัยในตัวข้าหรือเปล่า?”
หลังจากที่เจียงหลีซ่อนต้นไหซู่ไว้ใต้ดินแล้ว เขาก็ยังไม่ออกจากสุสานทันที ตอนนี้เขาเดินไปหาที่นั่งพักพลางครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง
เนื่องด้วยตัวเจียงหลีเองมีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางเท่านั้น ในสายตาของคนทั่วไป การใช้สุสานเพื่อฝึกตนให้มีความเร็วเทียบเท่ากับคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงนั้นก็น่าประทับใจมากพอแล้ว
หากเขาก้าวข้ามคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงและมีความเร็วในการฝึกตนเหนือกว่าคนระดับสูงพวกนั้น นั่นมันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เขาจะได้รับความสนใจจากผู้คนมากมายอย่างแน่นอน
ถ้าเขาได้รับความสนใจ เขาจะสามารถเข้าร่วมสำนักชั้นในได้โดยตรง
แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มกลัวก็คือ เขาจะกลายเป็นเนื้อบนเขียงของคนอื่น แล้วสุดท้ายเขาจะถูกชำแหละและกลั่นเป็นยาวิเศษบางอย่างมากกว่า แค่คิดแบบนี้เขาก็รู้สึกสยองแล้ว
เมื่อพิจารณาจากปฏิกิริยาของผู้อาวุโสผมแดงคนนั้นแล้ว เรื่องทำนองนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เจียงหลีต้องควบคุมระดับการฝึกตนของตัวเองไว้ มันคงจะเป็นการดีที่สุดถ้าเขาเปิดเผยเรื่องนี้หลังจากที่หยูป้านเซียและคนอื่น ๆ ก้าวไปถึงขั้นกลาง
แต่ประเด็นคือทุก ๆ 7 วัน เขาต้องไปที่ห้องปรุงยาเพื่อทดสอบยาให้ผู้อาวุโสชือฟา
แค่การอาศัยอาคมสองสามอย่างที่เขาขอให้เหยียนหงรวบรวมมาให้เพื่อปกปิดพลังคงไม่มีโอกาสที่จะซ่อนมันจากผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งได้แน่นอน
“ดูเหมือนว่าข้าจะต้องใช้สิ่งนั้นแล้วสินะ”
เจียงหลีกล่าวจบแล้วก็หยิบขวดกระเบื้องขนาดเล็กออกมาจากอกเสื้อ เมื่อเขาเปิดฝาขวด สิ่งที่ออกมาไม่ใช่กลิ่นหอมของยา แต่เป็นกลิ่นไหม้อันไม่พึงประสงค์
[ชื่อ: ยาเสีย]
[ประเภท: ขยะ]
[ระดับ: ไม่มี]
[หมายเหตุ: เม็ดยาเสียถูกสร้างขึ้นจากความพยายามในการปรุงยาที่ล้มเหลว]
พอเด็กหนุ่มเทสิ่งที่อยู่ข้างในขวดออกมาแล้ว เขาเห็นว่าพวกมันเป็นยาเม็ดสีดำที่มีพื้นผิวขรุขระ
ยาเหล่านี้เป็นยาเสียที่เขาได้รับมาจากผู้อาวุโสชือฟา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายยังต้องการใช้ประโยชน์จากเขาอยู่ และตอนที่เจียงหลีเอ่ยปากขอสิ่งที่ไร้ค่าพวกนี้ ผู้อาวุโสชือฟาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเขา
แม้ว่าชายผมแดงจะไม่รู้ว่าลูกศิษย์ต้องการจะเอามันไปใช้ทำอะไร แต่เขาก็ยังคงสั่งห้ามไม่ให้เด็กคนนี้กินมันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ข้าก็ไม่อยากกินมันหรอก” เจียงหลีพึมพำกับตัวเองก่อนจะหยิบยาเม็ดที่ไร้ประโยชน์มาใส่เข้าไปในปาก
[กินยาเสีย เพิ่มสถานะ: พิษจากยาเสีย]
[พิษจากยาเสีย: คุณสมบัติทั้งหมดลดลง 20% ความแข็งแกร่งของพลังปราณจิตวิญญาณลดลง 30% ความเร็วในการฟื้นตัวของพลังปราณจิตวิญญาณลดลง 30% ความเร็วในการฝึกตนลดลง 10% ระยะเวลา: 2 ปี] (− +)
อึก!
กลิ่นไหม้จะทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงในลำไส้ และร่างกายจะรู้สึกอึดอัด
การขับพิษออกจากร่างกายเป็นไปได้ยากมากและระยะเวลาการติดพิษก็ยาวนานมาก
นี่มันคือยาพิษชัด ๆ!
ยาเสียไม่ใช่ยาที่ถูกเผาโดยบังเอิญ
เป็นเพราะในระหว่างกระบวนการกลั่นเม็ดยา นักปรุงยาจะจงใจใช้วิธีการถ่ายโอนสารพิษส่วนใหญ่ที่ผลิตขึ้นระหว่างกระบวนการกลั่นยาไปยังเม็ดยาบางส่วน ส่งผลให้เกิดยาเสียขึ้นในระหว่างกระบวนการ
ดังนั้นการกินยาเสียจึงเป็นการกระทำที่คนฉลาดเขาไม่ทำกัน
สำหรับคนอื่น ๆ พิษจากการกินยาที่สะสมมาเป็นเวลา 1-2 ปี หรือ 10 ปีอาจเทียบเท่ากับการกินยาเสียนี้เม็ดเดียว
“ผลที่ตามมาร้ายแรงมากจริง ๆ ไม่น่าแปลกใจที่คนในโลกเซียนกลัวยาพิษมากกว่าสิ่งใด"
“ยาเม็ดเล็ก ๆ นี้สามารถทำลายอนาคตของคน ๆ หนึ่งได้เลย ถ้ามันมีพิษสะสมอยู่มากเกินไป… ถ้าข้าไม่มีความสามารถในการกำจัดสถานะในระบบ ข้าเองก็คงไม่กล้ากินมัน”
อย่างไรก็ตาม ผลของยาเม็ดนี้ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอ
เขาทำได้แค่กินยาเสียเข้าไปอีกเม็ดโดยไม่มีทางเลือกอื่น
[พิษจากยาเสีย: คุณสมบัติทั้งหมดลดลง 40% ความแข็งแกร่งของพลังปราณจิตวิญญาณลดลง 50% ความเร็วในการฟื้นฟูพลังปราณจิตวิญญาณลดลง 50% ความเร็วในการฝึกตนลดลง 30% ระยะเวลา: 5 ปี] (− +)
หลังจากที่เจียงหลีกินยาเสียเม็ดที่สองเข้าไป พลังในร่างกายของเขาก็ลดลงเหลือเท่ากับก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่ขั้นกลาง และใบหน้าของเขายังดูซีดเซียวเหมือนคนป่วยอีกด้วย
‘นี่ข้าถึงขั้นต้องยอมลงทุนกินยาเกินขนาดจนทำร้ายร่ายกายตัวเองเพื่อตบตาคนอื่นแลวหรือ?’
เขาคิดพลางมองดูสภาพของตัวเขาแล้วก็อดรู้สึกสงสารตัวเองไม่ได้
ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงผู้อาวุโสผมแดงเลย แม้แต่นักพรตที่เก่งกาจกว่าเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเด็กหนุ่มได้
นั่นเป็นเพราะความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจียงหลีได้ถอยกลับไปสู่ขั้นเริ่มต้นของขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณแล้วจริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความลับของเขาจะถูกเปิดเผยได้อย่างไร?
แต่ข้อเสียของมันก็คือดีบัฟนี้ส่งผลต่อความเร็วในการฝึกตนของเขามากเกินไป ในอนาคตยามที่เขาฝึกวิชา เขาต้องลบสถานะนี้ออกก่อน หากเขาต้องการใช้มันอีก เขาก็ต้องกินยาเสียอีกครั้ง
นี่เป็นการทรมานตัวเองชัด ๆ…
เมื่อเจียงหลีออกจากสุสานของสำนักชั้นนอก เขาได้แวะไปเยี่ยมชมย่านการค้าเป็นเวลา 1 ชั่วยาม
ปัจจุบันเหยียนหงได้จัดวางสิ่งของมากมายในแผงขายของ และเขายังคงดำเนินกิจการในย่านการค้านี้อย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดพวกเขาสองคนก็เริ่มมีรายได้ที่มั่นคง
หลังจากฝึกทักษะการประเมินแล้ว เจียงหลีก็เดินไปที่โถงภารกิจต่อ
“เจียงหลี!” ทันทีที่เขาเดินผ่านประตูเข้าไปในพื้นที่โถงภารกิจก็มีเสียงเรียกมาจากข้างหลังเขา ทำให้เขาต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองเจ้าของเสียงนั้น ซึ่งเป็นหนุ่มสาวหลายคนที่สวมชุดศิษย์นอกสำนักกำลังเดินเข้ามาหาเขาจากด้านหลัง
เจียงหลีเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นคนที่คุ้นเคย
“เราเห็นว่าคนที่เดินอยู่ข้างหน้าดูเหมือนเจ้า ข้าบอกพวกเขาว่าเป็นเจ้า แต่พวกเขาไม่เชื่อข้า”
"พวกเจ้าดูสิ? ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหม”
พวกเขาคือหยูป้านเซีย ลู่เฉียนเฉียนและคนอื่น ๆ
แต่สภาพของศิษย์เหล่านี้ดูโทรมราวกับว่าพวกเขาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางที่ยากลำบาก
“เจียงหลี เจ้าก็มาที่โถงภารกิจเพื่อรับภารกิจเช่นกันหรือ แล้ว…มาคนเดียวหรืออย่างไร?”
กลุ่มของหยูป้านเซียเอ่ยถามพร้อมกับมองไปที่เจียงหลีด้วยความประหลาดใจ ปกติแล้วศิษย์ในขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นเริ่มต้นส่วนใหญ่มักจะเกาะกลุ่มกัน 7-8 คนก่อนถึงจะกล้ามารับภารกิจที่โถงภารกิจเพื่อรับหินวิญญาณ
แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับมาคนเดียว และดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเขาที่มาที่นี่อีกด้วย
“เจียงหลี สภาพเจ้าดูแย่มาก ไม่สบายหรือ?"
การแสดงออกที่อ่อนแอของเจียงหลีนั้นชัดเจนมาก บางคนถึงกับเชื่อว่าเขาป่วยจนรักษาไม่หาย
“เกี่ยวกับเรื่องนี้… วิธีการฝึกตนของข้าค่อนข้างพิเศษ ข้ากลายเป็นแบบนี้หลังจากที่ถูกปราณหยินกัดกร่อนในสุสานเป็นเวลานาน ข้าจะหายดีก็ต่อเมื่อข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นกลาง”
ตอนแรกทุกคนต่างก็อิจฉาเขาที่ได้รับความสะดวกสบายในการฝึกตนที่สุสาน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ง่ายอย่างที่ทุกคนคิด
ในขณะนั้นเจียงหลีสุ่มหาเหตุผลขึ้นมาอธิบายสภาพของตัวเอง จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูดคุยกัน
“ข้าเริ่มมารับทำภารกิจง่าย ๆ สองสามอย่าง ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าทรัพยากรที่สำนักมอบให้นั้นไม่เพียงพอ”
“แล้วพวกเจ้าล่ะ? ดูเหมือนว่าพวกเจ้าเพิ่งกลับมาจากข้างนอก พวกเจ้าทำภารกิจที่ต้องเดินทางออกไปนอกสำนักหรือเปล่า?”
คราวนี้ถึงตาของเจียงหลีที่ต้องเป็นฝ่ายแปลกใจ เนื่องจากภารกิจที่ต้องออกไปนอกสำนักนั้นค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นศิษย์ธรรมดาจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
"ถูกต้อง ศิษย์ที่เข้าสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ 10 คนแรกล้วนได้รับรางวัลเป็นคาถาอาคม นั่นทำให้ความเร็วในการฝึกตนของศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงอย่างพวกเรานั้นรวดเร็วขึ้นด้วยเช่นกัน อันที่จริงเราแข็งแกร่งกว่าศิษย์เก่าหลายคนแล้วด้วยซ้ำ”
“หยูป้านเซียยังคงมีความก้าวหน้าเร็วที่สุด เขาได้ทำภารกิจในสำนักไม่กี่อย่างสำเร็จและพาพวกเราไปรับภารกิจนี้ด้วยกัน”
“ข้าจะบอกความลับบางอย่างกับเจ้าแล้วกัน ในครั้งนี้เราได้รับผลตอบแทนค่อนข้างสูงมาก”
เมื่อพูดถึงภารกิจ พวกเขาก็แสดงออกถึงความรู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด โดยที่แต่ละคนอวดกระเป๋าที่ด้านหลังของตนเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ยินดีด้วย นี่เป็นภารกิจประเภทการเก็บเกี่ยวใช่หรือไม่? หากพวกเจ้ามีกำไรนอกเหนือจากภารกิจล่ะก็ อย่าลืมนึกถึงเหยียนหงล่ะ ตอนนี้กิจการของเขากำลังไปได้สวยเลยทีเดียว เขาอาจจะสามารถให้ราคาที่สูงกว่าที่อื่นได้” หลังจากที่เจียงหลีแสดงความยินดีกับทุกคน เขาก็ได้ช่วยแนะนำกิจการของสหายคนสนิทไปด้วย
พอพูดจบเด็กหนุ่มก็พิจารณาศิษย์กลุ่มนี้ แล้วพบว่าคนที่อยู่ในกลุ่มล้วนแต่เป็นคนที่มีความสามารถและแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่
อีกทั้งเกือบทุกคนในกลุ่มได้รับรางวัลพิเศษที่มีเพียง 10 รางวัลเท่านั้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พอพวกเขารวมกลุ่มกันแล้วจะมีความแข็งแกร่งมากขนาดนี้
“ความจริงแล้วข้าก็ตั้งใจไว้ว่าจะไปหาเหยียนหงเหมือนกัน”
“เอ่อ… แล้วก็นะ เจียงหลี เจ้าสนใจที่จะรับภารกิจกับเราหรือไม่”
หยูป้านเซียเอ่ยเชิญชวนเจียงหลีเข้ากลุ่มพลางเกาหัวตัวเองด้วยท่าทางลังเลใจ
“มันเป็นภารกิจที่ต้องออกไปข้างนอกด้วยหรือ? ข้าก็อยากจะลองดูนะ แต่เกรงว่าข้าจะยังไปตอนนี้ไม่ได้”
ฝ่ายที่ถูกชวนคิดคำนวณบางอย่างในใจ เขายังมีบางสิ่งที่เขายังทำไม่เสร็จ และภารกิจมีแนวโน้มว่าจะกินเวลานานถึง 10-15 วัน เขาจะไม่สามารถออกไปได้ก่อนที่ผู้อาวุโสผมแดงจะอนุญาตซึ่งคงจะเป็นหลังจากที่ยาผิวแข็งเสร็จสมบูรณ์เท่านั้น
“ไม่เป็นไร พวกเราก็ต้องพักผ่อนกันก่อน”
“นอกจากนี้ ข้ามีความรู้สึกว่าข้าจะสามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นกลางได้ในเวลาไม่เกิน 1 เดือน ในเวลานั้นเราทุกคนคงสามารถทำภารกิจที่คุ้มค่ายิ่งกว่านี้ได้”
ในระหว่างที่หยูป้านเซียพูดเช่นนี้ เขายืดอกอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับที่ดวงตาของเขาส่องประกายเจิดจ้า
ถ้าเขาเป็นคนแรกในกลุ่มศิษย์ใหม่ที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณขั้นกลางได้ เขาคงจะรู้สึกภูมิใจมากกว่านี้
“เจ้ากำลังจะเข้าสู่ขั้นกลางแล้วหรือ ต่อจากนี้ไปพวกเราคงจะต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว”
เมื่อเจียงหลีกล่าวเช่นนี้ ทุกคนก็ยกย่องหยูป้านเซียเช่นกัน
“เป็นอันว่าตกลงตามนี้ไปก่อน แล้วเราค่อยคุยกันใหม่ครั้งหน้า เราไปส่งภารกิจก่อนนะ”
"อืม ไว้คุยกันคราวหน้า”
หลังจากที่เจียงหลีพูดคุยนัดแนะกับอีกฝ่ายเสร็จแล้ว คนกลุ่มนั้นก็เดินแยกไปอีกทาง
“ประมาณ 1 เดือน ข้าจะตามหลังเขาทันและมี 'ความก้าวหน้า' เช่นกัน”
สภาพป่วยในปัจจุบันทำให้เขาอึดอัดมาก ยิ่งเขาได้หลุดพ้นจากมันเร็วเท่าไหร่มันก็ยิ่งส่งผลดีกับเขาเท่านั้น
ต่อมา เจียงหลีเดินเข้าไปในห้องโถงและตรงไปที่โต๊ะของศิษย์สำนักชั้นใน “ศิษย์พี่ซูเสวี่ยเว่ย ช่วยข้าลงทะเบียนด้วย”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางมอบป้ายประจำตัวของตัวเองให้อีกฝ่าย แล้วนางก็เข้าใจโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมา
เหตุผลเป็นเพราะว่าเจียงหลีมาที่นี่สัปดาห์ละครั้งเป็นเวลากว่า 3 เดือน และเขาก็ยอมรับภารกิจเดิมทุกครั้ง ถ้านางยังจำมันไม่ได้ นางก็คงมีปัญหาทางสมองแล้ว
“เจ้ามาอีกแล้วหรือ ศิษย์น้องเจียงหลี! ตายแล้ว! สภาพเจ้าดูน่ากลัวมาก! เจ้าตั้งใจจะยอมรับภารกิจนี้จริง ๆ หรือ?”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มก็คิดในใจว่า ‘...ในครั้งต่อไปข้าควรทาแป้งบาง ๆ บนใบหน้าก่อนที่จะออกไปไหนมาไหน’
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของศิษย์พี่ แต่สูตรยานั้นใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ข้าไม่อยากจะยอมแพ้ไปกลางคัน”
ซูเสวี่ยเว่ยพยักหน้า นางรู้สึกเสียดายกับความพากเพียรและสติปัญญาของเจียงหลี แม้ว่าสูตรโอสถวิญญาณจะสำเร็จจริง ๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ?
ทำไมเขาต้องเสียสละตัวเองเพื่อมันด้วย?
อย่างไรก็ตาม นางยังคงลงทะเบียนข้อมูลของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ทักท้วงอะไรออกไปอีก
เหตุผลที่เจียงหลีต้องมาที่นี่เพื่อรับภารกิจทุกครั้งที่เขาทดสอบเม็ดยาคือเพื่อป้องกันผู้อาวุโสผมแดงเป็นหลัก
แม้ว่าผู้อาวุโสชือฟาจะต้อนรับเขาหากเขาไม่ยอมรับภารกิจและจะตอบแทนเขาอย่างงาม แต่หากเขายอมรับภารกิจ ทางสำนักจะมีบันทึกเกี่ยวกับภารกิจที่เขารับไว้
ภายใต้การดูแลของสำนัก แม้แต่ผู้อาวุโสสำนักก็ต้องคอยยับยั้งตัวเองไว้ให้ดีที่สุด
หากปราศจากข้อจำกัดนี้ เจียงหลีกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรสุดโต่งมากกว่านี้อีก
และทันทีที่เด็กหนุ่มมาถึงห้องปรุงยาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นต้อนรับเขาด้วยความยินดีปรีดา
“ฮ่าๆๆ เจียงหลี เจ้ามาแล้วหรือ!”
“ครั้งนี้ข้าปรุงยาไว้ 5 สูตร หนึ่งในนั้นจะต้องสำเร็จแน่ ๆ มา มา! มาลองกันเร็ว!”
บทที่ 27: ซีดและป่วย
-------------------------------------------
อากิระ talk: ดูจากทรงแล้ว สภาพน้องหลีตอนนี้น่าจะเหมือนศพเดินได้ คนอื่นถึงได้ตกใจขนาดนั้น 😆