กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“ข้าควรไปหาถังน้ำมาใส่”
เมื่อดูจากท่าทางของปีศาจมัสยาผมขาวที่มีต่อหินก้อนนี้ เจียงหลีก็ค่อนข้างมั่นใจว่าข้างในหินต้องมีไข่ของปีศาจมัสยาอยู่แน่นอน และนี่คือลูกของปีศาจมัสยาผมขาว
แต่คำถามก็คือ ไข่ของปีศาจมัสยานั้นมีประโยชน์อย่างไร?
จากนั้นเด็กหนุ่มนำถังน้ำที่มีน้ำบาดาลเติมอยู่ครึ่งถังมาวาง แล้วเขาก็ยกหินไว้เหนือถังน้ำในลักษณะเดียวกันกับการตอกไข่ เขาใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงระหว่างรอยร้าวของหิน ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ออกแรงให้มากขึ้น!
ตอนนี้เจียงหลีเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในแล้ว ทำให้มือของเขาแข็งแรงดั่งคีมเหล็ก และเล็บที่อัดแน่นไปด้วยกำลังภายในนั้นคมและแข็งแกร่งกว่ายิ่งกริช
ไม่นานรอยแตกที่แทบจะมองไม่เห็นในตอนแรกก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนเขาเห็นว่าข้างในนั้นมีเมือกสีขาวติดอยู่
วินาทีนั้นเอง เขาใช้กำลังกระชากเปลือกหินออกจากกันเต็มแรง!
แคร่ก! จ๋อม!
ต่อมา วัตถุทรงกลมหลุดออกมาจากหินแล้วตกลงบนถังน้ำ ทำให้น้ำกระเซ็นก่อนที่มันจะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
‘นี่มัน… เมล็ดพันธุ์หรือ?’
เด็กหนุ่มคิดพลางใช้ทักษะการประเมินกับสิ่งที่อยู่ในถังน้ำ
[ชื่อ: เมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ?]
[ประเภท: ขยะ]
[ระดับ: ไม่ทราบ]
[หมายเหตุ: ไม่แนะนำให้บริโภค]
ปรากฏว่าเขาคาดเดาผิด เนื่องจากสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้ไม่ใช่ไข่ของปีศาจมัสยา แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกประเมินว่าเป็นเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ
รากฐานทางจิตวิญญาณ… มันเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณอย่างที่เขาคิดหรือเปล่า?
วัตถุทรงกลมนี้ถูกเรียกว่าเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ แล้วถ้าเขานำมันไปปลูกในดินและคอยรดน้ำให้ มันจะงอกออกมาเป็นสภาพแบบไหนกัน?
เจียงหลีรู้สึกสับสนมาก รากฐานทางจิตวิญญาณควรเป็นนามธรรมของพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ใช่หรือ?
นอกเหนือจากรากเหง้า*ของเขาแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีอวัยวะใด ๆ ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘รากฐานทางจิตวิญญาณ’ ได้อีก
*รากเหง้าในที่นี้ อุปมาอุปไมว่าเป็นอวัยวะเพศ
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาอ่านผลการประเมินแล้ว มันยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่ด้านหลังชื่อของเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันหมายถึงอะไร
“แปลกชะมัด”
เมื่อเจียงหลียืนยันว่าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในหินแล้ว เขาก็หยิบเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาสำรวจ แต่เขาก็ไม่พบอะไรอีกนอกจากเมล็ดพันธุ์ที่มีเปลือกแข็ง
ต่อมา เด็กหนุ่มเดินออกไปหากระถางเพื่อนำมาปลูกเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ ไม่นานเขาก็เจอหม้อดินเผาในลานหลังเรือนนอน เขาจึงตักดินใส่หม้อดินเผาแล้วรดน้ำให้ชุ่มก่อนจะเอาเมล็ดพันธุ์ฝังลงในดิน
จากทักษะการประเมิน เมล็ดพันธุ์นี้น่าจะมีค่าเพราะมันถูกระบุว่าไม่สามารถกินได้ และเนื่องจากมันเป็นแค่เมล็ดพันธุ์พืช เขาจึงคิดว่าคงไม่มีปัญหาในการดูแลมัน
พอคิดแบบนั้นแล้วเขาก็วางหม้อดินเผาไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่างบนชั้นสองเพื่อให้เมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณได้รับแสงแดดที่ส่องผ่านมาทางหน้าต่าง
ในช่วงเวลานี้ เหยียนหงกลับมาอีกครั้งพร้อมกับนำเบี้ยเลี้ยงรายเดือนจากลูกน้องทั้ง 19 คนของเขามาด้วย
เบี้ยเลี้ยงรายเดือนของศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำคือหินวิญญาณ 1 ก้อน ยาบำรุงปราณ 5 เม็ด และยาฟื้นฟูปราณ 5 เม็ด
ดังนั้นเบี้ยเลี้ยงที่องค์ชายน้อยรวบรวมมาจากเหล่าลูกน้องจึงมีหินวิญญาณทั้งหมด 19 ก้อน ยาบำรุงปราณ 95 เม็ด และยาฟื้นฟูปราณ 95 เม็ด
นั่นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองได้ทุนคืนตั้งแต่เดือนแรกแล้ว ซึ่งหมายความว่าเจียงหลีได้รับหินวิญญาณคืนมา 8 ก้อน ในขณะที่เหยียนหงได้คืนมา 2 ก้อน
แล้วทั้งคู่จึงนำหินวิญญาณที่เหลืออีก 9 ก้อนมาแบ่งเท่า ๆ กัน
แม้ว่าลูกน้องทั้ง 19 คนจะไม่ได้คัดค้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ยังแสดงท่าทีไม่พอใจอยู่ดี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องหาเวลาพูดคุยกับลูกน้องของตนเองอีกครั้งสินะ
“น้องหลี ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วันจึงจะเข้าสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ ส่วนคนที่ทำได้ช้ากว่านั้นต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน”
“ศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางปกติแล้วจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน แต่ในระยะเวลานี้จะต้องทำสมาธิทุกวันนะ”
“สำหรับรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำและระดับต่ำต้อยนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ถึงแม้ว่าจะผ่านไปเป็นปี แต่ศิษย์หลายคนก็ยังไม่สามารถดึงปราณเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยซ้ำ”
จากนั้นทั้งสองคนได้แยกย้ายกันไปฝึกตนเป็นเวลานาน พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกสิ้นหวัง
“ข้าคิดว่าในขั้นตอนการดึงปราณเข้าสู่ร่างกาย ข้าต้องอดทนใจเย็นกับมันสักหน่อย พอทำสำเร็จแล้วค่อยใช้โอสถวิญญาณช่วย แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น”
ขณะนี้เจียงหลีและเหยียนหงกำลังกินข้าวเย็นด้วยกัน ทั้งคู่ต้องยอมรับเลยว่าอาหารที่สำนักชั้นนอกของสำนักชั่งจิงกู่นั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสามารถกินเนื้อสัตว์และผักได้ในปริมาณที่ไม่จำกัดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ศิษย์ใหม่นอกสำนักทั้งหมดก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งเพลิดเพลินกับอาหารอันโอชะเหล่านี้
หลังจากที่บ่นว่าการฝึกตนนั้นยากแค่ไหนจนพอใจ ทั้งสองคนก็กวาดอาหารลงท้องอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วพวกเขาก็ตรงดิ่งกลับไปนั่งทำสมาธิต่อ
…
ในครึ่งเดือนต่อมา เจียงหลีใช้เวลาส่วนใหญ่ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนของตัวเอง
อีกทั้งเขายังได้เข้าร่วมชั้นเรียนในหอการเรียนรู้ของสำนักชั้นนอกหลายครั้ง
หอการเรียนรู้นี้มีชั้นเรียนทุกวัน แต่โดยปกติแล้วจะเป็นการเรียนขั้นพื้นฐานและการอ่านเขียน
ด้วยความที่ว่าโครงสร้างทางสังคมของโลกนี้ล้าหลังมาก และคนจนก็ด้อยการศึกษาเพราะไม่มีปัญญาส่งตัวเองเรียน รวมไปถึงการศึกษาถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่มีการศึกษามักจะมาจากครอบครัวของชนชั้นสูง
ดังนั้นชั้นเรียนปกติจึงมุ่งเน้นไปที่การสอนศิษย์ใหม่ที่ไม่รู้หนังสือ
และคำชี้แนะของผู้อาวุโสที่หมุนเวียนกันมาถ่ายทอดความรู้ในแต่ละสัปดาห์นั้นก็เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง
ยกตัวอย่างเช่น ประวัติต้นกำเนิดของนักพรต, การตีความเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนในคัมภีร์และคำศัพท์ต่าง ๆ, ข้อผิดพลาดทั่วไปในการฝึกตนของมือใหม่, ข้อควรระวังในการกินโอสถวิญญาณ ฯลฯ
ชั้นเรียนพวกนี้ก็เหมือนกับชั้นเรียนในชีวิตเก่าของเจียงหลี โดยที่เหล่าลูกศิษย์ชื่นชอบเรื่องราวของโลกเซียนที่ผู้อาวุโสและศิษย์พี่มาถ่ายทอดให้ฟัง
ซึ่งความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ดังกล่าวมักจะไม่มีอยู่ในตำรา แต่มันเป็นความรู้ที่จำเป็นในเส้นทางของการเป็นเซียน ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อยจากผู้อาวุโสเหล่านี้มันสามารถช่วยพวกเขาได้เป็นอย่างดี
“บทเรียนของวันนี้มาได้ถูกจังหวะจริง ๆ ข้าไม่มีความคืบหน้ามา 5 วันแล้ว คืนนี้ข้าจะสามารถก้าวผ่านจุดนี้ไปได้อย่างแน่นอน”
เหยียนหงกล่าวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นราวกับว่าเขากำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ
"ข้าเองก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าสนใจแค่ว่าต้องใช้เวลาในการฝึกตนให้ได้มากที่สุดจนมองข้ามเรื่องอื่นไป ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกแปลก ๆ และเอื่อยเฉื่อยทุกครั้งที่ฝึกตน” เจียงหลีก็เพิ่งจะเข้าใจเช่นกัน
“โอ้ จริงสิ ของที่ข้าขอให้เจ้าช่วยหาซื้ออยู่ที่ไหน ได้มาหรือเปล่า?”
“ใช่ ข้าซื้อมันมาแล้ว มันอยู่ในเรือนของข้า แต่การที่เจ้าซื้อมันมา ข้าว่ามันได้ไม่คุ้มเสียสักเท่าไหร่”
เหยียนหงกล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ แต่เจียงหลีกลับทำท่าทีไม่สนใจ
สิ่งเดียวกันมักจะมีค่าต่างกันในสายตาของแต่ละคนเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น เจียงหลีต้องใช้มันอย่างเร่งด่วน เขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยอมจ่ายด้วยราคาที่สูงกว่าเดิมเล็กน้อย
เมื่อเด็กหนุ่มเดินไปที่ลานหลังเรือนของสหายร่างใหญ่ เขาก็เห็นท่อนซุงที่มีขนาดอย่างน้อยสองคนโอบวางอยู่
ต่อมา เจียงหลีเดินไปข้างหน้าเพื่อนับวงไม้ของมัน ก่อนที่เขาจะรู้ว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุ 69 ปี ซึ่งมีอายุมากกว่าพวกเขาสองคนรวมกันเสียอีก
“ไม่เลว ๆ ขอบใจเจ้ามาก ข้าจดจำมันไว้แล้ว”
นี่เป็นต้นไหซู่ที่พบได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากมันเป็นเพียงลำต้นของต้นไหซู่ธรรมดา ๆ มันจึงสามารถหาซื้อได้ด้วยหินวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะหาซื้อต้นไหซู่ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาอยู่ในสำนักเซียนจึงไม่สามารถนำเงินของมนุษย์มาใช้ในการแลกเปลี่ยนได้ แน่นอนว่าเขาต้องใช้หินวิญญาณในการซื้อท่อนซุงที่มีราคาค่อนข้างแพงนี้แทน
ถัดมา เขาเอื้อมมือไปโอบกอดท่อนไม้ขนาดใหญ่ก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดไว้ที่เท้า ระหว่างนั้นกำลังภายในของ 'กรงเล็บพยัคฆ์ชันษา' ได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา แล้วท่อนไม้ที่มีน้ำหนักอย่างน้อย 800 จิน*ก็ถูกยกขึ้นมาพาดไว้บนบ่าของเด็กหนุ่ม
*หน่วยวัดน้ำหนักของจีนนิยมใช้หน่วย 斤 (jīn, จิน) มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม
“ข้ากลับก่อนล่ะ แค่ได้เจ้าท่อนไม้นี่มา เจ้าเตรียมเรียกข้าว่าศิษย์พี่ได้เลย!”
เจียงหลีกล่าวด้วยความมั่นใจมาก จากนั้นเขาก็เดินออกไปพร้อมกับท่อนซุงขนาดยักษ์
เนื่องจากวันนี้เขาเลิกเรียนค่อนข้างดึก พอเขาเดินออกมาจากหอการเรียนรู้เขาก็เห็นว่ามีดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้กลับไปที่เรือนนอนของตัวเอง แต่เขากลับมุ่งหน้าไปยังดินแดนรกร้างอันห่างไกลที่อยู่ภายในสำนักชั้นนอก
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เด็กหนุ่มไม่ได้เป็นคนโง่เขลาที่เพิกเฉยต่อเรื่องภายนอกและได้ศึกษาภูมิประเทศพื้นฐานของสำนักชั้นนอกทั้งหมดแล้ว
สถานที่ที่เขากำลังจะไปก็คือ สุสานในสำนักชั้นนอก!
จากการสนทนากับหยูป้านเซีย เจียงหลีได้รู้มาว่าในทุก ๆ ปีสำนักชั่งจิงกู่จะคัดเลือกศิษย์เป็นจำนวน 600-700 คน แต่จำนวนศิษย์นอกสำนักนั้นมีประมาณ 8,000 คนเสมอ
ตามความเข้าใจของเขา มีศิษย์นอกสำนักเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักภายใต้การแข่งขันกับศิษย์นอกสำนักมากมายหรือสามารถพัฒนาขอบเขตของการฝึกตนได้
แล้วศิษย์คนอื่น ๆ ที่เหลือล่ะ? พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันหมด?
มีความเป็นไปได้ว่าศิษย์บางคนเสียชีวิตเพราะเกิดความผิดพลาดในระหว่างการฝึกตน…
บางคนเสียชีวิตท่ามกลางการต่อสู้…
บางคนเสียชีวิตระหว่างการทำภารกิจ...
กล่าวโดยสรุปก็คือ ในแต่ละวันจะมีศิษย์นอกสำนักเสียชีวิต 1-2 คน ทำให้ใน 1 ปีจะมีคนเสียชีวิตไปประมาณ 700 คน
หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี ในที่สุดสถานที่อันเป็นเอกลักษณ์อย่างสุสานในสำนักชั้นนอกก็ถูกสร้างขึ้น
สุสานแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมฝังศพที่เรียงรายอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ศพมากมายถูกฝังทับซ้อนกันและบรรยากาศก็เย็นยะเยือกประกอบกับมีลมหนาวพัดผ่าน แน่นอนว่าต้องมีดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนสิงสถิตอยู่ที่นี่ เราจึงได้ยินเสียงคร่ำครวญของวิญญาณเหล่านั้นเป็นครั้งคราว
ขนาดของสุสานไม่ได้ดูเล็กไปกว่าเขตที่อยู่อาศัยของสำนักชั้นนอกเลย แต่มันกลับมีหลุมศพเบียดเสียดกันจนแน่นขนัด
ขณะนั้นเจียงหลีได้แบกต้นไหซู่มาด้วย ทำให้ฝีเท้าในแต่ละก้าวของเขาหนักมาก และในบางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างแตกหักดังแกร๊ก!
แสดงว่าทุกตารางนิ้วของพื้นที่ภายในสุสานน่าจะเต็มไปด้วยกระดูกของคนตาย
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาลบหลู่ อย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลย…”
เนื่องด้วยพื้นที่นี้มีการฝังศพเป็นจำนวนมากและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่สุสานนี้จะกลายเป็นสถานที่น่าขนหัวลุก
อีกทั้งนี่เป็นสำนักเซียน หากมีผีสางหรือวิญญาณร้ายปรากฏขึ้น พวกมันก็จะถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว แต่หากเป็นโลกภายนอก สุสานคงจะเป็นสถานที่อันตรายสำหรับผู้คนและเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าภูตผีปีศาจอย่างแน่นอน
เมื่อเจียงหลีเดินไปเรื่อย ๆ จนเจอพื้นราบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่เขาจะวางต้นไหซู่ที่พาดอยู่บนไหล่ของตนลงบนพื้น
“ให้ตายเถอะ! เล่นเอากำลังภายในของข้าแทบจะหมดเกลี้ยง”
หลังจากที่เด็กหนุ่มใช้เวลาพักผ่อนได้สักพัก พละกำลังของเขาก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติ
พอเขากลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง เขาก็รีบเตรียมการขั้นต่อไปทันทีเพราะเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเดินเที่ยวเล่นเฉย ๆ
ต่อมา เจียงหลีถอดรองเท้าและยืนแยกเท้าออกจากกันก่อนจะฝังเท้าเปล่าลงในดิน ในระหว่างนั้นความเย็นบวกกับความชื้นจากดินทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เงาของเขาได้ทับซ้อนกับต้นไหซู่
ถัดจากนั้นเจียงหลีค่อย ๆ หงายฝ่ามือขึ้น หากมองดูจากเงาที่อยู่บนพื้น มันเหมือนกับว่ามีกิ่งสองกิ่งงอกออกมาจากลำต้นที่เปลือยเปล่า
เด็กหนุ่มยืนหลับตานิ่งพร้อมกับตั้งสมาธิเพื่อเริ่มการฝึก ‘วิชาพฤษาซาตาน’ ในสุสานที่มืดมิด
“ต้นไม้ผี! วิญญาณที่สิงสู่อยู่ในต้นไม้!”
“รากของมันดื่มน้ำจากแดนมรณะ! กิ่งก้านของมันแผ่ขยายบดบังดวงจันทร์บนท้องฟ้า!”
คราวนี้เจียงหลีรู้สึกว่าการฝึกตนของเขาแตกต่างจากที่ผ่านมามาก เพราะเขาสัมผัสได้ถึงปราณหยิน-ไม้อันเย็นยะเยือกที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม และมันก็หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ว่าศิษย์นอกสำนักบางคนจะไม่ได้มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงและไม่แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคงเป็นนักพรต โดยปกติหลังจากที่นักพรตเหล่านั้นเสียชีวิต ปราณหยินและกลิ่นอายอันน่าสยดสยองที่พวกเขาสร้างขึ้นก็เหนือกว่าคนทั่วไปมาก
เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 200 ปี สุสานแห่งนี้จึงมีศิษย์นอกสำนักถูกฝังไว้มากกว่า 10,000 คน
ดังนั้นถึงแม้ว่าในตอนแรกมันจะยังเป็นเหมือนสุสานธรรมดาทั่วไป แต่พอเวลาล่วงเลยมานานหลายร้อยปี สุสานแห่งนี้ก็กลายเป็นดินแดนแห่งธาตุหยินไปแล้ว
สำหรับต้นไหซู่นั้นตามธรรมชาติแล้วมันเป็นต้นไม้ธาตุหยินและสามารถดึงดูดวิญญาณได้ ซึ่งคนโบราณมีความเชื่อว่าต้นไม้เหล่านี้ไม่ควรนำมาปลูกบริเวณสุสาน
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เจียงหลีได้นำต้นไหซู่ที่มีอายุมากกว่า 69 ปีมาตั้งอยู่ภายในสุสานของสำนักชั้นนอก
ในชั่วพริบตานั้นเอง เมื่อปราณหยินเริ่มรวมตัวกันหนาแน่นอยู่รอบตัวเจียงหลีก็มีเสียงลมพัดดังหวีดหวิว ก่อนที่เปลวไฟวิญญาณจะลุกโชนขึ้นในอากาศ และจำนวนของเปลวไฟก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แล้วเปลวไฟวิญญาณสีเขียวกว่าร้อยดวงที่อยู่รอบบริเวณก็พุ่งเข้ามารายล้อมเด็กหนุ่มไว้ จากนั้นพวกมันทั้งหมดจึงค่อย ๆ หมุนวนไปตามกระแสปราณหยิน
-------------------------------------------
อากิระ talk: น้องหลีมาที่สุสานคนเดียวไม่กลัวเหรอลูกกกก แถมมีผีโผล่มาอีก ถ้าเป็นเรานี่ใส่เกียร์หมาก่อนแล้วววว