Your Wishlist

ขอโทษที! ความโกงของฉันคือเวลาบัพไม่จำกัด (บทที่ 17: เมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ?)

Author: Turtle Shell and Hemp Rope (Akira แปล)

กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!

จำนวนตอน : 500+

บทที่ 17: เมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ?

  • 22/06/2565

“ข้าควรไปหาถังน้ำมาใส่”

 

เมื่อดูจากท่าทางของปีศาจมัสยาผมขาวที่มีต่อหินก้อนนี้ เจียงหลีก็ค่อนข้างมั่นใจว่าข้างในหินต้องมีไข่ของปีศาจมัสยาอยู่แน่นอน และนี่คือลูกของปีศาจมัสยาผมขาว

 

แต่คำถามก็คือ ไข่ของปีศาจมัสยานั้นมีประโยชน์อย่างไร?

 

จากนั้นเด็กหนุ่มนำถังน้ำที่มีน้ำบาดาลเติมอยู่ครึ่งถังมาวาง แล้วเขาก็ยกหินไว้เหนือถังน้ำในลักษณะเดียวกันกับการตอกไข่ เขาใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงระหว่างรอยร้าวของหิน ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ออกแรงให้มากขึ้น!

 

ตอนนี้เจียงหลีเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในแล้ว ทำให้มือของเขาแข็งแรงดั่งคีมเหล็ก และเล็บที่อัดแน่นไปด้วยกำลังภายในนั้นคมและแข็งแกร่งกว่ายิ่งกริช

 

ไม่นานรอยแตกที่แทบจะมองไม่เห็นในตอนแรกก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนเขาเห็นว่าข้างในนั้นมีเมือกสีขาวติดอยู่

 

วินาทีนั้นเอง เขาใช้กำลังกระชากเปลือกหินออกจากกันเต็มแรง!

 

แคร่ก! จ๋อม!

 

ต่อมา วัตถุทรงกลมหลุดออกมาจากหินแล้วตกลงบนถังน้ำ ทำให้น้ำกระเซ็นก่อนที่มันจะลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ

 

‘นี่มัน… เมล็ดพันธุ์หรือ?’

 

เด็กหนุ่มคิดพลางใช้ทักษะการประเมินกับสิ่งที่อยู่ในถังน้ำ 

 

[ชื่อ: เมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ?]

 

[ประเภท: ขยะ]

 

[ระดับ: ไม่ทราบ]

 

[หมายเหตุ: ไม่แนะนำให้บริโภค]

 

ปรากฏว่าเขาคาดเดาผิด เนื่องจากสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหินก้อนนี้ไม่ใช่ไข่ของปีศาจมัสยา แต่มันเป็นสิ่งที่ถูกประเมินว่าเป็นเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ

 

รากฐานทางจิตวิญญาณ… มันเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณอย่างที่เขาคิดหรือเปล่า?

 

วัตถุทรงกลมนี้ถูกเรียกว่าเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ แล้วถ้าเขานำมันไปปลูกในดินและคอยรดน้ำให้ มันจะงอกออกมาเป็นสภาพแบบไหนกัน?

 

เจียงหลีรู้สึกสับสนมาก รากฐานทางจิตวิญญาณควรเป็นนามธรรมของพรสวรรค์ในการฝึกตนไม่ใช่หรือ?

 

นอกเหนือจากรากเหง้า*ของเขาแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีอวัยวะใด ๆ ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘รากฐานทางจิตวิญญาณ’ ได้อีก

*รากเหง้าในที่นี้ อุปมาอุปไมว่าเป็นอวัยวะเพศ

 

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาอ่านผลการประเมินแล้ว มันยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่ด้านหลังชื่อของเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันหมายถึงอะไร

 

“แปลกชะมัด”

 

เมื่อเจียงหลียืนยันว่าไม่มีอะไรซ่อนอยู่ในหินแล้ว เขาก็หยิบเมล็ดพันธุ์ขึ้นมาสำรวจ แต่เขาก็ไม่พบอะไรอีกนอกจากเมล็ดพันธุ์ที่มีเปลือกแข็ง

 

ต่อมา เด็กหนุ่มเดินออกไปหากระถางเพื่อนำมาปลูกเมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณ ไม่นานเขาก็เจอหม้อดินเผาในลานหลังเรือนนอน เขาจึงตักดินใส่หม้อดินเผาแล้วรดน้ำให้ชุ่มก่อนจะเอาเมล็ดพันธุ์ฝังลงในดิน

 

จากทักษะการประเมิน เมล็ดพันธุ์นี้น่าจะมีค่าเพราะมันถูกระบุว่าไม่สามารถกินได้ และเนื่องจากมันเป็นแค่เมล็ดพันธุ์พืช เขาจึงคิดว่าคงไม่มีปัญหาในการดูแลมัน

 

พอคิดแบบนั้นแล้วเขาก็วางหม้อดินเผาไว้บนโต๊ะข้างหน้าต่างบนชั้นสองเพื่อให้เมล็ดรากฐานทางจิตวิญญาณได้รับแสงแดดที่ส่องผ่านมาทางหน้าต่าง

 

ในช่วงเวลานี้ เหยียนหงกลับมาอีกครั้งพร้อมกับนำเบี้ยเลี้ยงรายเดือนจากลูกน้องทั้ง 19 คนของเขามาด้วย

 

เบี้ยเลี้ยงรายเดือนของศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำคือหินวิญญาณ 1 ก้อน ยาบำรุงปราณ 5 เม็ด และยาฟื้นฟูปราณ 5 เม็ด

 

ดังนั้นเบี้ยเลี้ยงที่องค์ชายน้อยรวบรวมมาจากเหล่าลูกน้องจึงมีหินวิญญาณทั้งหมด 19 ก้อน ยาบำรุงปราณ 95 เม็ด และยาฟื้นฟูปราณ 95 เม็ด

 

นั่นทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองได้ทุนคืนตั้งแต่เดือนแรกแล้ว ซึ่งหมายความว่าเจียงหลีได้รับหินวิญญาณคืนมา 8 ก้อน ในขณะที่เหยียนหงได้คืนมา 2 ก้อน

 

แล้วทั้งคู่จึงนำหินวิญญาณที่เหลืออีก 9 ก้อนมาแบ่งเท่า ๆ กัน

 

แม้ว่าลูกน้องทั้ง 19 คนจะไม่ได้คัดค้านเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ยังแสดงท่าทีไม่พอใจอยู่ดี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องหาเวลาพูดคุยกับลูกน้องของตนเองอีกครั้งสินะ

 

“น้องหลี ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วันจึงจะเข้าสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ ส่วนคนที่ทำได้ช้ากว่านั้นต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน”

 

“ศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางปกติแล้วจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน แต่ในระยะเวลานี้จะต้องทำสมาธิทุกวันนะ”

 

“สำหรับรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำและระดับต่ำต้อยนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ถึงแม้ว่าจะผ่านไปเป็นปี แต่ศิษย์หลายคนก็ยังไม่สามารถดึงปราณเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยซ้ำ”

 

จากนั้นทั้งสองคนได้แยกย้ายกันไปฝึกตนเป็นเวลานาน พอกลับมาเจอกันอีกครั้ง พวกเขาก็รู้สึกสิ้นหวัง

 

“ข้าคิดว่าในขั้นตอนการดึงปราณเข้าสู่ร่างกาย ข้าต้องอดทนใจเย็นกับมันสักหน่อย พอทำสำเร็จแล้วค่อยใช้โอสถวิญญาณช่วย แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างมันก็จะง่ายขึ้น”

 

ขณะนี้เจียงหลีและเหยียนหงกำลังกินข้าวเย็นด้วยกัน ทั้งคู่ต้องยอมรับเลยว่าอาหารที่สำนักชั้นนอกของสำนักชั่งจิงกู่นั้นค่อนข้างดีเลยทีเดียว ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังสามารถกินเนื้อสัตว์และผักได้ในปริมาณที่ไม่จำกัดอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ศิษย์ใหม่นอกสำนักทั้งหมดก็ไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งเพลิดเพลินกับอาหารอันโอชะเหล่านี้

 

หลังจากที่บ่นว่าการฝึกตนนั้นยากแค่ไหนจนพอใจ ทั้งสองคนก็กวาดอาหารลงท้องอย่างรวดเร็ว เสร็จแล้วพวกเขาก็ตรงดิ่งกลับไปนั่งทำสมาธิต่อ

 

 

ในครึ่งเดือนต่อมา เจียงหลีใช้เวลาส่วนใหญ่ในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนของตัวเอง

 

อีกทั้งเขายังได้เข้าร่วมชั้นเรียนในหอการเรียนรู้ของสำนักชั้นนอกหลายครั้ง

 

หอการเรียนรู้นี้มีชั้นเรียนทุกวัน แต่โดยปกติแล้วจะเป็นการเรียนขั้นพื้นฐานและการอ่านเขียน

 

ด้วยความที่ว่าโครงสร้างทางสังคมของโลกนี้ล้าหลังมาก และคนจนก็ด้อยการศึกษาเพราะไม่มีปัญญาส่งตัวเองเรียน รวมไปถึงการศึกษาถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่มีการศึกษามักจะมาจากครอบครัวของชนชั้นสูง

 

ดังนั้นชั้นเรียนปกติจึงมุ่งเน้นไปที่การสอนศิษย์ใหม่ที่ไม่รู้หนังสือ

 

และคำชี้แนะของผู้อาวุโสที่หมุนเวียนกันมาถ่ายทอดความรู้ในแต่ละสัปดาห์นั้นก็เป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง

 

ยกตัวอย่างเช่น ประวัติต้นกำเนิดของนักพรต, การตีความเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนในคัมภีร์และคำศัพท์ต่าง ๆ, ข้อผิดพลาดทั่วไปในการฝึกตนของมือใหม่, ข้อควรระวังในการกินโอสถวิญญาณ ฯลฯ

 

ชั้นเรียนพวกนี้ก็เหมือนกับชั้นเรียนในชีวิตเก่าของเจียงหลี โดยที่เหล่าลูกศิษย์ชื่นชอบเรื่องราวของโลกเซียนที่ผู้อาวุโสและศิษย์พี่มาถ่ายทอดให้ฟัง

 

ซึ่งความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ดังกล่าวมักจะไม่มีอยู่ในตำรา แต่มันเป็นความรู้ที่จำเป็นในเส้นทางของการเป็นเซียน ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อยจากผู้อาวุโสเหล่านี้มันสามารถช่วยพวกเขาได้เป็นอย่างดี

 

“บทเรียนของวันนี้มาได้ถูกจังหวะจริง ๆ ข้าไม่มีความคืบหน้ามา 5 วันแล้ว คืนนี้ข้าจะสามารถก้าวผ่านจุดนี้ไปได้อย่างแน่นอน”

 

เหยียนหงกล่าวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นราวกับว่าเขากำลังจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ

 

"ข้าเองก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าสนใจแค่ว่าต้องใช้เวลาในการฝึกตนให้ได้มากที่สุดจนมองข้ามเรื่องอื่นไป ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้ารู้สึกแปลก ๆ และเอื่อยเฉื่อยทุกครั้งที่ฝึกตน” เจียงหลีก็เพิ่งจะเข้าใจเช่นกัน

 

“โอ้ จริงสิ ของที่ข้าขอให้เจ้าช่วยหาซื้ออยู่ที่ไหน ได้มาหรือเปล่า?” 

 

“ใช่ ข้าซื้อมันมาแล้ว มันอยู่ในเรือนของข้า แต่การที่เจ้าซื้อมันมา ข้าว่ามันได้ไม่คุ้มเสียสักเท่าไหร่”

 

เหยียนหงกล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ แต่เจียงหลีกลับทำท่าทีไม่สนใจ

 

สิ่งเดียวกันมักจะมีค่าต่างกันในสายตาของแต่ละคนเสมอ

 

ยิ่งไปกว่านั้น เจียงหลีต้องใช้มันอย่างเร่งด่วน เขาจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยอมจ่ายด้วยราคาที่สูงกว่าเดิมเล็กน้อย

 

เมื่อเด็กหนุ่มเดินไปที่ลานหลังเรือนของสหายร่างใหญ่ เขาก็เห็นท่อนซุงที่มีขนาดอย่างน้อยสองคนโอบวางอยู่

 

ต่อมา เจียงหลีเดินไปข้างหน้าเพื่อนับวงไม้ของมัน ก่อนที่เขาจะรู้ว่าต้นไม้ต้นนี้มีอายุ 69 ปี ซึ่งมีอายุมากกว่าพวกเขาสองคนรวมกันเสียอีก

 

“ไม่เลว ๆ ขอบใจเจ้ามาก ข้าจดจำมันไว้แล้ว”

 

นี่เป็นต้นไหซู่ที่พบได้ตามธรรมชาติ เนื่องจากมันเป็นเพียงลำต้นของต้นไหซู่ธรรมดา ๆ มันจึงสามารถหาซื้อได้ด้วยหินวิญญาณ  

 

อย่างไรก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะหาซื้อต้นไหซู่ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาอยู่ในสำนักเซียนจึงไม่สามารถนำเงินของมนุษย์มาใช้ในการแลกเปลี่ยนได้ แน่นอนว่าเขาต้องใช้หินวิญญาณในการซื้อท่อนซุงที่มีราคาค่อนข้างแพงนี้แทน

 

ถัดมา เขาเอื้อมมือไปโอบกอดท่อนไม้ขนาดใหญ่ก่อนจะรวบรวมกำลังทั้งหมดไว้ที่เท้า ระหว่างนั้นกำลังภายในของ 'กรงเล็บพยัคฆ์ชันษา' ได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา แล้วท่อนไม้ที่มีน้ำหนักอย่างน้อย 800 จิน*ก็ถูกยกขึ้นมาพาดไว้บนบ่าของเด็กหนุ่ม 

*หน่วยวัดน้ำหนักของจีนนิยมใช้หน่วย 斤 (jīn, จิน) มีน้ำหนักเท่ากับ 500 กรัม

 

“ข้ากลับก่อนล่ะ แค่ได้เจ้าท่อนไม้นี่มา เจ้าเตรียมเรียกข้าว่าศิษย์พี่ได้เลย!”

 

เจียงหลีกล่าวด้วยความมั่นใจมาก จากนั้นเขาก็เดินออกไปพร้อมกับท่อนซุงขนาดยักษ์

 

เนื่องจากวันนี้เขาเลิกเรียนค่อนข้างดึก พอเขาเดินออกมาจากหอการเรียนรู้เขาก็เห็นว่ามีดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้กลับไปที่เรือนนอนของตัวเอง แต่เขากลับมุ่งหน้าไปยังดินแดนรกร้างอันห่างไกลที่อยู่ภายในสำนักชั้นนอก

 

ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมา เด็กหนุ่มไม่ได้เป็นคนโง่เขลาที่เพิกเฉยต่อเรื่องภายนอกและได้ศึกษาภูมิประเทศพื้นฐานของสำนักชั้นนอกทั้งหมดแล้ว

 

สถานที่ที่เขากำลังจะไปก็คือ สุสานในสำนักชั้นนอก!

 

จากการสนทนากับหยูป้านเซีย เจียงหลีได้รู้มาว่าในทุก ๆ ปีสำนักชั่งจิงกู่จะคัดเลือกศิษย์เป็นจำนวน 600-700 คน แต่จำนวนศิษย์นอกสำนักนั้นมีประมาณ 8,000 คนเสมอ

 

ตามความเข้าใจของเขา มีศิษย์นอกสำนักเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่สามารถก้าวเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักภายใต้การแข่งขันกับศิษย์นอกสำนักมากมายหรือสามารถพัฒนาขอบเขตของการฝึกตนได้

 

แล้วศิษย์คนอื่น ๆ ที่เหลือล่ะ? พวกเขาไปอยู่ที่ไหนกันหมด?

 

มีความเป็นไปได้ว่าศิษย์บางคนเสียชีวิตเพราะเกิดความผิดพลาดในระหว่างการฝึกตน…

 

บางคนเสียชีวิตท่ามกลางการต่อสู้…

 

บางคนเสียชีวิตระหว่างการทำภารกิจ...

 

กล่าวโดยสรุปก็คือ ในแต่ละวันจะมีศิษย์นอกสำนักเสียชีวิต 1-2 คน ทำให้ใน 1 ปีจะมีคนเสียชีวิตไปประมาณ 700 คน

 

หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี ในที่สุดสถานที่อันเป็นเอกลักษณ์อย่างสุสานในสำนักชั้นนอกก็ถูกสร้างขึ้น

 

สุสานแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมฝังศพที่เรียงรายอยู่ภายใต้แสงจันทร์ ศพมากมายถูกฝังทับซ้อนกันและบรรยากาศก็เย็นยะเยือกประกอบกับมีลมหนาวพัดผ่าน แน่นอนว่าต้องมีดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนสิงสถิตอยู่ที่นี่ เราจึงได้ยินเสียงคร่ำครวญของวิญญาณเหล่านั้นเป็นครั้งคราว

 

ขนาดของสุสานไม่ได้ดูเล็กไปกว่าเขตที่อยู่อาศัยของสำนักชั้นนอกเลย แต่มันกลับมีหลุมศพเบียดเสียดกันจนแน่นขนัด

 

ขณะนั้นเจียงหลีได้แบกต้นไหซู่มาด้วย ทำให้ฝีเท้าในแต่ละก้าวของเขาหนักมาก และในบางครั้งเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างแตกหักดังแกร๊ก!

 

แสดงว่าทุกตารางนิ้วของพื้นที่ภายในสุสานน่าจะเต็มไปด้วยกระดูกของคนตาย

 

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมาลบหลู่ อย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลย…”

 

เนื่องด้วยพื้นที่นี้มีการฝังศพเป็นจำนวนมากและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มันจึงเป็นเรื่องปกติที่สุสานนี้จะกลายเป็นสถานที่น่าขนหัวลุก

 

อีกทั้งนี่เป็นสำนักเซียน หากมีผีสางหรือวิญญาณร้ายปรากฏขึ้น พวกมันก็จะถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว แต่หากเป็นโลกภายนอก สุสานคงจะเป็นสถานที่อันตรายสำหรับผู้คนและเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าภูตผีปีศาจอย่างแน่นอน

 

เมื่อเจียงหลีเดินไปเรื่อย ๆ จนเจอพื้นราบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่เขาจะวางต้นไหซู่ที่พาดอยู่บนไหล่ของตนลงบนพื้น

 

“ให้ตายเถอะ! เล่นเอากำลังภายในของข้าแทบจะหมดเกลี้ยง”

 

หลังจากที่เด็กหนุ่มใช้เวลาพักผ่อนได้สักพัก พละกำลังของเขาก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติ

 

พอเขากลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง เขาก็รีบเตรียมการขั้นต่อไปทันทีเพราะเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเดินเที่ยวเล่นเฉย ๆ

 

ต่อมา เจียงหลีถอดรองเท้าและยืนแยกเท้าออกจากกันก่อนจะฝังเท้าเปล่าลงในดิน ในระหว่างนั้นความเย็นบวกกับความชื้นจากดินทำให้เขารู้สึกสบายตัวขึ้น

 

ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เงาของเขาได้ทับซ้อนกับต้นไหซู่

 

ถัดจากนั้นเจียงหลีค่อย ๆ หงายฝ่ามือขึ้น หากมองดูจากเงาที่อยู่บนพื้น มันเหมือนกับว่ามีกิ่งสองกิ่งงอกออกมาจากลำต้นที่เปลือยเปล่า

 

เด็กหนุ่มยืนหลับตานิ่งพร้อมกับตั้งสมาธิเพื่อเริ่มการฝึก ‘วิชาพฤษาซาตาน’ ในสุสานที่มืดมิด

 

“ต้นไม้ผี! วิญญาณที่สิงสู่อยู่ในต้นไม้!”

 

“รากของมันดื่มน้ำจากแดนมรณะ! กิ่งก้านของมันแผ่ขยายบดบังดวงจันทร์บนท้องฟ้า!”

 

คราวนี้เจียงหลีรู้สึกว่าการฝึกตนของเขาแตกต่างจากที่ผ่านมามาก เพราะเขาสัมผัสได้ถึงปราณหยิน-ไม้อันเย็นยะเยือกที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม และมันก็หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

 

แม้ว่าศิษย์นอกสำนักบางคนจะไม่ได้มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงและไม่แข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังคงเป็นนักพรต โดยปกติหลังจากที่นักพรตเหล่านั้นเสียชีวิต ปราณหยินและกลิ่นอายอันน่าสยดสยองที่พวกเขาสร้างขึ้นก็เหนือกว่าคนทั่วไปมาก

 

เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 200 ปี สุสานแห่งนี้จึงมีศิษย์นอกสำนักถูกฝังไว้มากกว่า 10,000 คน

 

ดังนั้นถึงแม้ว่าในตอนแรกมันจะยังเป็นเหมือนสุสานธรรมดาทั่วไป แต่พอเวลาล่วงเลยมานานหลายร้อยปี สุสานแห่งนี้ก็กลายเป็นดินแดนแห่งธาตุหยินไปแล้ว

 

สำหรับต้นไหซู่นั้นตามธรรมชาติแล้วมันเป็นต้นไม้ธาตุหยินและสามารถดึงดูดวิญญาณได้ ซึ่งคนโบราณมีความเชื่อว่าต้นไม้เหล่านี้ไม่ควรนำมาปลูกบริเวณสุสาน

 

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้เจียงหลีได้นำต้นไหซู่ที่มีอายุมากกว่า 69 ปีมาตั้งอยู่ภายในสุสานของสำนักชั้นนอก

 

ในชั่วพริบตานั้นเอง เมื่อปราณหยินเริ่มรวมตัวกันหนาแน่นอยู่รอบตัวเจียงหลีก็มีเสียงลมพัดดังหวีดหวิว ก่อนที่เปลวไฟวิญญาณจะลุกโชนขึ้นในอากาศ และจำนวนของเปลวไฟก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

 

แล้วเปลวไฟวิญญาณสีเขียวกว่าร้อยดวงที่อยู่รอบบริเวณก็พุ่งเข้ามารายล้อมเด็กหนุ่มไว้ จากนั้นพวกมันทั้งหมดจึงค่อย ๆ หมุนวนไปตามกระแสปราณหยิน

 

-------------------------------------------

อากิระ talk: น้องหลีมาที่สุสานคนเดียวไม่กลัวเหรอลูกกกก แถมมีผีโผล่มาอีก ถ้าเป็นเรานี่ใส่เกียร์หมาก่อนแล้วววว

1/6/2022
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป