กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
เป๊ง! เป๊ง! เป๊ง!
ทันใดนั้นก็มีเสียงระฆังดังขึ้น ซึ่งมันเป็นเสียงเดียวกับตอนที่พวกเขากำลังจะออกเดินทาง นี่หมายความว่าพวกเขาน่าจะมาถึงที่หมายแล้ว
ในขณะเดียวกัน ร่างกายของเจียงหลีเอียงไปข้างหน้าเล็กน้อย และเขารู้สึกได้ชัดเจนว่าเรือเหาะกำลังชะลอความเร็วลง
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน บริเวณโถงทางเดินด้านนอกก็มีเสียงดังเซ็งแซ่ เพราะถึงอย่างไรศิษย์เหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่เด็ก ดังนั้นพอพวกเขาได้พบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ พวกเขาก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
จนกระทั่งเรือเหาะบินลงมาถึงระดับความสูงที่เหมาะสม ประตูห้องโดยสารที่เคยถูกล็อกไว้ก็เปิดออก จากนั้นศิษย์ใหม่ก็พากันวิ่งกรูออกไปที่ดาดฟ้าของเรือเหาะพลางโห่ร้องด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เจียงหลีต้องยอมรับเลยว่าวิวทิวทัศน์ของโลกนี้งดงามกว่าโลกที่เขาจากมามาก
ตอนนี้บนดาดฟ้ายังคงมีลมพัดแรงอยู่ เมื่อกลุ่มเด็ก ๆ มองผ่านช่องเขาขนาดมหึมาไปเห็นยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง หัวใจของศิษย์ทุกคนก็เต้นระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ
ที่นั่นคือสำนักชั่งจิงกู่!
ต่อมา เรือเหาะค่อย ๆ ลงจอดบนลานโล่งกว้าง ก่อนที่เรือทั้งลำจะสั่นสะเทือนเล็กน้อยแล้วหยุดลง สิ่งนี้บ่งบอกว่าการเดินทางเพื่อแสวงหาความเป็นอมตะของพวกเขาได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
“ศิษย์นอกสำนักทุกคนมารวมตัวกันทางนี้ นี่เป็นชุดและป้ายประจำตัวของศิษย์นอกสำนัก!”
“ให้พวกเจ้าแต่ละคนหยิบเสื้อไปอย่างละตัวตามขนาดที่ตัวเองใส่พร้อมกับป้ายหนึ่งอัน หากใครทำชุดและป้ายประจำตัวสูญหายหรือเสียหาย พวกเจ้าจะต้องจ่ายเงินซื้อใหม่เอง”
ดูเหมือนว่าชุดของศิษย์นอกสำนักจะแตกต่างจากเสื้อคลุมสีขาวของศิษย์ในสำนักตรงที่ความทนทานของเนื้อผ้า โดยชิ้นที่หนึ่งเป็นเสื้อชั้นในสีเทา ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นเสื้อคลุมชั้นนอกสีน้ำเงินเข้มที่ถูกตัดเย็บจากผ้าที่ทนทานต่อสิ่งสกปรกและการฉีกขาด
ในตอนแรกเจียงหลีคิดว่าเนื้อผ้าของมันจะหยาบกระด้าง แต่เมื่อเขาได้สัมผัสเนื้อผ้าจริง ๆ มันกลับนุ่มลื่นกว่าที่คิดไว้มาก เห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้าพวกนี้ดีกว่าเสื้อผ้าที่เหล่าข้าหลวงในโลกมนุษย์สวมใส่หลายเท่า
ปกติแล้วไม่ว่าอะไรก็ตามที่หลุดลอดจากโลกเซียนออกไปยังโลกมนุษย์ ของสิ่งนั้นจะกลายเป็นสมบัติหายากในโลกมนุษย์ทันที
“สำนักชั่งจิงกู่ของเราก่อตั้งขึ้นในปี 2134 ตามปฏิทินจิ่วโจว จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 255 ปีแล้ว เรามีผู้ก่อตั้งทั้งหมด 11 คน แต่ขณะนี้เหลือเพียง 7 คนที่ยังคงปกป้องสำนักของเรา…”
หลังจากที่ศิษย์ใหม่ทั้งหลายรับชุดและป้ายประจำตัวของตัวเองครบแล้ว ทุกคนก็เดินไปยังอีกจุดหมายหนึ่ง ในระหว่างทางผู้อาวุโสเวิ่งซานฉีก็ได้เล่าถึงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของสำนักชั่งจิงกู่ไปด้วย
ภายในระยะเวลา 255 ปีก็เพียงพอที่หลายราชวงศ์ในโลกมนุษย์จะล่มสลายไปตลอดจนถึงการก่อตั้งขึ้นใหม่แล้วสืบทอดกันจากรุ่นลูกสู่รุ่นหลาน
อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาเพียงเท่านี้มันค่อนข้างสั้นเกินไปสำหรับโลกเซียน และจนถึงปัจจุบันผู้ก่อตั้งเดิมของสำนักชั่งจิงกู่ยังคงมีชีวิตอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งอีกด้วย
พอทุกคนเดินมาถึงทางเข้าของสำนักชั่งจิงกู่ พวกเขาก็เห็นว่ามันเป็นหุบเขาหินสีทองสูงชันที่มีลำธารคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างหุบเขา
หากสังเกตจากทางเข้าของสำนัก สถานที่แห่งนี้เหมือนกับภูมิประเทศที่รกร้างว่างเปล่า ทว่าเมื่อกลุ่มศิษย์ใหม่เดินตามผู้อาวุโสเวิ่งไปเรื่อย ๆ สักพักพวกเขาก็รู้สึกเหมือนเดินผ่านชั้นหมอกหนาเข้าไป ก่อนที่พวกเขาจะได้พบกับโลกใหม่ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่บดบังสายตา
พื้นที่ภายในหุบเขาจริง ๆ แล้วกว้างใหญ่ไพศาลมาก ซึ่งมันใหญ่กว่าที่เราเห็นจากภายนอกอย่างน้อยสิบเท่า ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่อุดมสมบูรณ์เพราะมีดอกไม้นานาพันธุ์ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่ ประกอบกับฝูงปลาที่แหวกว่ายไปตามลำธารใส และมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่ทั่วบริเวณ
“นี่คือพื้นที่ด้านนอกของสำนัก พวกเจ้าจะได้ใช้ชีวิตและฝึกตนอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน หากพวกเจ้าอยากจะเป็นศิษย์ในสำนักจริง ๆ พวกเจ้าจะต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก”
“้ข้าขอแนะนำผู้อาวุโสลู่ เขาเป็นผู้ดูแลศิษย์นอกสำนัก เขาจะเป็นคนรับหน้าที่ดูแลทุกอย่างในอนาคตของพวกเจ้า”
“ท่านผู้อาวุโสลู่!”
หลังจากที่ผู้อาวุโสเวิ่งกล่าวจบ เหล่าศิษย์ใหม่ทุกคนก็โค้งคำนับผู้อาวุโสลู่ แต่คนที่ถูกแนะนำทำเพียงแค่พยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าบึ้งตึงและไม่พูดอะไรออกมา การแสดงออกนี้บ่งบอกว่าเขาไม่สบอารมณ์สักเท่าไหร่
“ต่อไป ให้พวกเจ้าทุกคนตามผู้อาวุโสลู่ไปเพื่อเลือกเรือนนอนของตัวเอง จากนั้นให้เปลี่ยนชุดแล้วมารวมตัวกันที่นี่ พวกเจ้ามีเวลาเพียงแค่ 2 ถ้วยชา*เท่านั้น!”
* 1 ถ้วยชา = 15 นาที
ทันทีที่เวิ่งซานฉีกล่าวเช่นนั้น ผู้อาวุโสลู่แห่งสำนักชั้นนอกก็เดินไปทางหนึ่งโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ แม้ว่าเขาจะแก่จนหลังค่อมแล้ว แต่เขาก็เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วจนกลุ่มศิษย์ใหม่แทบจะไล่ตามเขาไม่ทัน
“พื้นที่ในสำนักทั้งหมดนั้นอันตรายมาก หากพวกเจ้าไม่อยากตายอย่างอนาถก็จงอย่าก้าวเข้าไปในที่ที่ไม่คุ้นเคย!”
เมื่อมาถึงที่หมาย ผู้อาวุโสลู่ก็พาเด็ก ๆ ไปยังเรือนนอนหลายหลังที่ตั้งกระจัดกระจายอยู่รอบบริเวณ แต่ภายในเรือนนอนแต่ละหลังกลับว่างเปล่าไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นี่เลย ดูเหมือนว่าศิษย์ใหม่อาจจะไม่ถูกจัดให้พักรวมกับศิษย์เก่า
“ที่นี่มีเรือนว่างรวมทั้งหมด 752 หลัง ส่วนกุญแจอยู่ที่ประตูแล้ว พวกเจ้าจงตัดสินใจเอาเองว่าจะพักอยู่เรือนไหน”
ถัดมา ชายที่มีตำแหน่งผู้อาวุโสก็ทำเป็นเมินเฉยต่อศิษย์ใหม่ราวกับว่าเขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นแล้ว ก่อนที่เขาจะหันหลังจากไป
ในเวลานั้นเอง เหล่าศิษย์นอกสำนักก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พวกเขารีบไปเลือกเรือนนอนที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
เมื่อทุกคนกวาดตาดูเรือนนอนทั้งเจ็ดร้อยกว่าแห่งในเวลาเพียงเสี้ยววินาที พวกเขาก็สามารถบอกได้เลยว่ามันมีทั้งเรือนนอนที่สะดวกสบายที่สุดและแย่ที่สุด
เรือนนอนที่แย่ที่สุดคือเรือนที่ทำด้วยฟางมีสภาพคล้ายกับกระท่อมเล็ก ๆ เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นในมุมอับที่แสงแดดส่องไม่ถึงจึงทำให้กลายเป็นที่ที่มีแมลงและหนูชุกชุม นอกจากนี้หลังคาของกระท่อมก็มีรูอยู่มากมายจนแทบจะบังแดดบังฝนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ในทางกลับกัน เรือนนอนขนาดเล็กที่มีสองชั้นไม่เพียงแค่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันเท่านั้น แต่มันยังมีลานกว้างขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเรือนอีก
ด้วยเหตุนี้ ข้อดีของการที่ศิษย์ใหม่จับกลุ่มกันตั้งแต่ก่อนหน้านี้ก็เริ่มแสดงออกมาให้เห็น
ณ ตอนนี้ ฉีเทียนหยาที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดได้เข้าสู่สำนักชั้นในโดยตรงแล้ว ดังนั้นในบรรดาศิษย์ใหม่นอกสำนักทั้งหมด กลุ่มของเจียงหลีจึงเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อรวมเขากับเหยียนหงเข้าไปด้วยแล้ว ในกลุ่มนี้จึงมีศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางและระดับสูงอยู่ทั้งหมด 14 คน ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้ามาขวางทางพวกเขา
แม้ว่าคนพวกนั้นอยากจะเข้ามาแย่งชิงเรือนนอนที่ดีที่สุดมากแค่ไหน แต่เนื่องด้วยเจียงหลีเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในและเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ แล้วเด็กที่มีอายุเพียง 13-14 ปีคนอื่น ๆ จะทำอะไรเขาได้?
ในที่สุดพวกเจียงหลีก็สามารถหาเรือนนอนที่ดีที่สุดได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก แม้แต่ลูกน้องที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำทั้ง 19 คนที่ติดตามเจียงหลีกับเหยียนหงมาก็ยังได้รับการดูแลอย่างดีและได้พักอยู่ในเรือนที่สะดวกสบาย
หลังจากที่เลือกเรือนนอนของตัวเองได้แล้ว เด็ก ๆ ทั้งหลายก็ไม่กล้าเถลไถลไปที่อื่นแล้วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วจนทำให้กลุ่มศิษย์ใหม่หลายร้อยคนดูกลมกลืนไปกับศิษย์นอกสำนักที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน
ในขณะที่พวกเขาวิ่งออกจากเรือนนอน ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเป็นกังวล บางคนถึงขั้นวิ่งออกมาทั้ง ๆ ที่ยังผูกผ้าคาดเอวไม่เสร็จด้วยซ้ำ
ด้วยความที่ว่าศิษย์ส่วนใหญ่ไม่กล้าปล่อยให้ผู้อาวุโสรอนาน พวกเขาจึงกลับมายังจุดนัดหมายเดิมในอีก 20 เฟินต่อมา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่ก็มักจะมีคนบางคนที่ไม่ตรงต่อเวลาเสมอ
เมื่อเวลาผ่านไป 2 ถ้วยชา ศิษย์เกือบทุกคนก็มายืนอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเวิ่งแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีเด็กสองคนที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานระหว่างเดินมายังจุดหมาย
พอทั้งคู่เห็นว่าทุกคนกำลังมองมาที่ตนเอง พวกเขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าและเตรียมที่จะไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ
“ดูเหมือนว่าจะมีคนไม่ชอบทำตามกฎอยู่สินะ”
วินาทีนั้นเอง เวิ่งซานฉีวางไหสุราลงแล้วสะบัดแขนเสื้อขวาของเขา ก่อนจะมีลำแสงสีดำสองเส้นพุ่งเข้าใส่ขาของเด็กที่มาสายทั้งสองคนจนล้มลงกับพื้นทันที
เด็กน้อยที่ไม่ทำตามกฎแผดเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับกอดเข่าร้องไห้กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นอย่างทุรนทุราย
"อ๊ากกกกกกกก! ขาข้า!”
[ชื่อ: กรงเล็บเจาะกระดูก]
[ประเภท : อุปกรณ์วิญญาณปราบมาร]
[ระดับ: ธุลีขั้นต่ำ]
[หมายเหตุ: อาวุธลับสามารถบรรเทาพิษได้]
ในเวลาเดียวกัน เจียงหลีใช้ทักษะการประเมินกับอาวุธที่โจมตีขาของเด็กทั้งสองขณะที่เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกสงสารหรือสมน้ำหน้าสองคนนั้นดี
ยามที่มนุษย์ถูกโจมตีด้วยอุปกรณ์วิญญาณ แม้ว่ามันจะเป็นแค่อาวุธระดับธุลีขั้นต่ำที่มีอานุภาพต่ำที่สุด แต่ขาของพวกเขาก็บาดเจ็บจนถึงขั้นพิการได้เลย
“ฮึ! พวกเจ้าทุกคนตามข้ามา ข้าไม่อยากให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก!”
แม้ว่าตามปกติแล้วเวิ่งซานฉีจะเป็นคนอารมณ์ดีสักแค่ไหน แต่เขาก็ยังเป็นถึงผู้อาวุโส แม้แต่ศิษย์ในสำนักก็ยังไม่กล้าเสียมารยาทกับเขา แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์นอกสำนักที่ไร้ค่าสองคนเล่า
เมื่อผู้อาวุโสเวิ่งกล่าวเช่นนั้น เขาก็ไม่สนใจว่าศิษย์สองคนที่กำลังนอนกลิ้งอยู่บนพื้นจะตามเขาทันหรือไม่ ก่อนที่เขาจะเดินนำทุกคนไปยังประตูอีกครั้ง
“ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่หอพระคัมภีร์เพื่อเลือกวิธีการฝึกจิตกำเนิดปราณ ของตัวเอง หากเจ้าไม่พยายามฝึกฝนอย่างหนัก นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเจ้าที่จะได้ก้าวเข้าไปสู่สำนักชั้นใน หลังจากที่เข้าไปข้างในแล้วจงจำไว้ว่าอย่าสอดสายตามองไปมั่วซั่วหรือคุยเล่นกัน!”
เพียงแค่วันแรกที่เจียงหลีได้เข้ามาในสำนักชั่งจิงกู่ เขาก็ได้มีโอกาสเข้าไปในหอเก็บพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ของสำนักแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว ความรู้สึกนี้มันเทียบไม่ได้กับตอนที่เขาอ่านนิยายแนวเทพเซียนมากมายในชีวิตเก่า เพราะทุกครั้งที่ตัวละครหลักได้เข้าไปที่ห้องเก็บคัมภีร์ ห้องเก็บสมบัติ หรือแม้แต่ถังขยะ ในสถานที่แบบนี้มักจะมีของดีซ่อนอยู่เสมอ
หลังจากที่เด็กหนุ่มกระแอมสองสามครั้งและพยายามตั้งสติใหม่ เขาและเด็กคนอื่น ๆ ก็มายืนอยู่หน้าประตูเหล็กแล้ว
ประตูเหล็กบานนี้ถูกฝังไว้ในกำแพงหน้าผาอย่างแนบสนิท มีความเป็นไปได้ว่าหน้าผาแห่งนี้ถูกขุดเจาะเพื่อทำเป็นหอเก็บพระคัมภีร์โดยเฉพาะ
“ชั้นแรกของหอเก็บพระคัมภีร์เต็มไปด้วยวิธีการฝึกจิตกำเนิดปราณ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องดูในส่วนที่จัดเก็บเคล็ดลับวิชา เพราะวิธีการฝึกตนขั้นพื้นฐานทั้งหมดถูกเก็บไว้บนชั้นวางคัมภีร์ทางด้านขวาของชั้นแรก”
“ชั้นวางคัมภีร์แต่ละชั้นมีการจำแนกตามวิธีการฝึกตนของแต่ละธาตุ ทุกคนมีเวลาเพียง 2 ถ้วยชาในการเลือก หลังจากที่พวกเจ้าเลือกเสร็จแล้ว ให้นำมาลงทะเบียนกับข้าที่นี่!”
"จงจำเอาไว้ให้ดี! พวกเจ้าจะต้องเลือกเฉพาะวิธีที่สอดคล้องกับธาตุของพวกเจ้าเองเท่านั้น หากใครเลือกผิดจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเป็นครั้งที่สอง!”
ทันทีที่เวิ่งซานฉีกล่าวจบ ประตูเหล็กก็ค่อย ๆ เปิดออกทำให้แสงจากภายนอกสาดส่องเข้าไปข้างในแล้วพื้นที่ขนาดใหญ่ภายในก็สว่างไสวขึ้น
“ไปกันเถอะ” เจียงหลีและเหยียนหงคุยกันก่อนเข้าไปชั้นแรกของหอเก็บพระคัมภีร์
พอเด็กหนุ่มทั้งสองเดินเข้ามาถึงพื้นที่จัดเก็บวิธีการฝึกตนทางด้านขวาตามคำแนะนำของผู้อาวุโสเวิ่ง พวกเขาก็เห็นว่ามีชั้นวางคัมภีร์ขนาดใหญ่หลายสิบชั้นตั้งอยู่ และตอนนี้ก็มีผู้คนหลายร้อยคนเดินเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่มากแต่มันกลับไม่แออัดเลย
ธาตุทั้ง 5 อย่างดิน, น้ำ, ไฟ, เหล็กกล้าและไม้ เป็นรากฐานทางจิตวิญญาณที่พบบ่อยที่สุด แน่นอนว่าวิธีการฝึกตนที่ถูกค้นพบก็มีมากมายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ เกือบ 7 ใน 10 ส่วนบนชั้นวางคัมภีร์จึงเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนของธาตุทั้ง 5
เวลานั้นเหยียนหงเดินตรงไปที่ชั้นวางคัมภีร์ของธาตุน้ำด้วยความมั่นใจ ในขณะที่เจียงหลียังคงเดินหาต่อไป เขาเริ่มค้นหาคัมภีร์ที่เหมาะสมสำหรับรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่ตามป้ายบนชั้นวางคัมภีร์
ไฟ-ดิน, น้ำ-ไม้, เหล็กกล้า-ไฟ, หยิน-น้ำ… วิธีการฝึกตนแบบธาตุคู่ของ หยิน-ไม้!
ในที่สุดเขาก็เจอสักที!
เด็กหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เขายังมีโอกาสได้เลือกวิธีการฝึกตนแบบธาตุคู่
ต่อมา เขาเหลือบมองไปยังชั้นที่มีคัมภีร์ถูกวางไว้อย่างลวก ๆ 3 เล่ม ซึ่งมันแตกต่างจากชั้นวางคัมภีร์แบบธาตุเดี่ยวที่มีคัมภีร์วางไว้จนล้น
‘วิชาหุ่นเชิด’, ‘วิชาพฤษาซาตาน’, ‘วิชาควบคุมซากไม้’
ทำไมแต่ละวิชาถึงดูเหมือนว่ามัน… ทั้งมืดมนและชั่วร้ายแบบนี้?
หรือว่าเขาไม่ควรมองในแง่ร้ายเกินไป?
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่มีทางอื่นให้เลือกมากนัก เจียงหลีเลยทำได้เพียงแค่หยิบคัมภีร์ทั้ง 3 เล่มมาอ่านคำแนะนำที่อยู่ภายในเงียบ ๆ
ในความเป็นจริงแล้ว เขาสามารถอ่านได้แค่ส่วนที่เป็นคำแนะนำเท่านั้น เนื่องจากเนื้อหาที่เหลือถูกปิดผนึกด้วยอาคมของหอเก็บพระคัมภีร์จึงทำให้เขาไม่สามารถเปิดออกได้
เนื้อหาในส่วนของคำแนะนำส่วนใหญ่จะอธิบายถึงลักษณะพิเศษของวิธีการฝึกตนและความสำเร็จของนักพรตที่เคยฝึกฝนวิชานี้มาก่อน
หลังจากเปรียบเทียบคัมภีร์ทั้งสามเล่มอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็พบว่ามีเพียง ‘วิชาควบคุมซากไม้’ เท่านั้นที่มีหมายเหตุว่าเป็นวิธีการฝึกตนแบบโบราณ แต่น่าเสียดายที่เนื้อหาภายในบอกวิธีการฝึกตนและบอกถึงขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณเท่านั้น
มันเป็นไปไม่ได้ที่เจียงหลีจะเลือกวิธีการฝึกตนที่สามารถใช้ได้เฉพาะในขอบเขตฝึกจิตกำเนิดปราณ แต่เขากลับสะดุดตากับคำว่า ‘โบราณ’ ที่ถูกเขียนไว้มากกว่า
ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มเคยได้ยินมาว่าสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานก่อตั้งมาจากสำนักดาบโบราณในเขาซูซาน ส่วนสำนักชั่งจิงกู่ก็เริ่มก่อตั้งขึ้นเพราะมีคนค้นพบซากปรักหักพังโบราณ
แล้วของที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณนั้นมันสำคัญอย่างไร?
เพราะสุดท้ายแล้วโลกก็ย่อมพัฒนาไปตามกาลเวลาเสมอ ไม่มีเหตุผลที่ของที่ถูกพัฒนามาจนถึงปัจจุบันจะเลวร้ายไปกว่าของที่สร้างขึ้นในสมัยโบราณแน่นอน!
-------------------------------------------
อากิระ talk: คุณพระ! ผู้อาวุโสเวิ่งอย่างโหด อย่าบังอาจไปลองดีกับแกเชียว!