กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“ฮ่า ๆ เจ้าหนู อย่ากลัวไปเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าเจ้าโชคดี การเข้าร่วมสำนักชั่งจิงกู่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้าแล้ว”
“สำนักชั่งจิงกู่ของเรามีวิธีการฝึกตนอยู่นับหมื่นวิธี แล้วยังมีคัมภีร์ลับที่ไม่สมบูรณ์อีกนับไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องเลือกวิธีการฝึกตน ขอแค่เจ้าเลือกวิธีการฝึกตนแบบธาตุคู่ที่เข้ากันกับธาตุของเจ้าเอง การทำแบบนี้นอกจากเจ้าจะสามารถฝึกตนทั้งธาตุหยินและธาตุไม้ไปได้พร้อมกันแล้ว เจ้ายังสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของทั้งสองธาตุได้ด้วยการใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว"
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีได้ยินเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนแบบธาตุคู่
อย่างไรก็ตาม มันก็มีความเป็นไปได้มากเช่นเดียวกับสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานที่มีวิธีการใช้พรสวรรค์ของหัวใจแห่งกระบี่เพื่อให้คน ๆ นั้นสามารถปลดปล่อยพลังที่เกินขีดจำกัดของระดับรากฐานทางจิตวิญญาณออกมาได้
อีกทั้งรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่ก็เป็นพรสวรรค์ประเภทหนึ่งเช่นกัน หากไม่ได้รับการฝึกตนที่เหมาะสมจะทำให้พรสวรรค์นี้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า เพราะฉะนั้นการได้รับวิธีการฝึกตนที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงข้อดีของการมีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่ได้อย่างเต็มที่
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเวิ่งที่ชี้แนะ!” หลังจากที่เจียงหลีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เขาและเด็กคนอื่น ๆ ก็เดินตามหุ่นกระบอกไปที่สวนหลังบ้าน
แล้วพวกเขาก็ได้พบกับเรือขนาดใหญ่ ซึ่งเรือลำนี้มีขนาดไม่เล็กไปกว่าเรือลำที่ส่งพวกเขามายังสมัชชาแห่งพรรคเซิงเซียน
ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าศิษย์ใหม่ต้องอ้าปากค้างก็คือ เรือลำใหญ่ดังกล่าวกำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินหลายจั้งคล้ายกับบอลลูน
เมื่อเจียงหลีเดินเข้าไปใกล้เรือขนาดมหึมา เขาก็พบว่ามีลวดลายที่ซับซ้อนถูกสลักไว้บนตัวเรือซึ่งคล้ายกับลวดลายในเขตอาคมทดสอบพลังวิญญาณ แต่เขาไม่รู้ว่ามันใช้หลักการใดในการต่อต้านแรงโน้มถ่วงมหาศาลของโลก
“น้องหลี ไปกันเถอะ!” เหยียนหงเดินมาสะกิดสหายของเขาที่มัวแต่ยืนตกตะลึงอยู่บนทางเดิน
จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็เดินนำลูกน้องของพวกเขาขึ้นไปยังเรือเหาะของสำนักชั่งจิงกู่
“เฮ้ ทุกคน ดูนั่นสิ ท่าทางเราจะมีเพื่อนใหม่แล้ว”
บนดาดฟ้าของเรือเหาะ มีกลุ่มคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่พวกเขาจะเห็นเจียงหลีและคนของเขาขึ้นมาบนดาดฟ้า
“พวกท่านก็เป็นศิษย์ใหม่เหมือนกันหรือ?”
หลังจากที่เหยียนหงและเจียงหลีขึ้นมาบนเรือแล้ว ทั้งคู่ก็เดินไปกล่าวทักทายศิษย์คนอื่น ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ลูกน้อง 19 คนยืนเป็นระเบียบอยู่ข้างหลังพวกเขา
“ข้ามีนามว่าเจียงหลี ส่วนนี่คือเหยียนหง” เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองก่อน
“ฮ่า ๆ ข้าหยูป้านเซีย ตอนนี้เราเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันแล้ว เรามาทำความรู้จักกันเถอะ” เด็กหนุ่มผู้มีนามว่า ‘หยูป้านเซีย’ แนะนำตัวอย่างกระตือรือร้นและชักชวนอีกฝ่ายให้เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มของตนเอง
“นี่คือ ‘ฉูเฉียนฟาน’ จากตระกูลฉูแห่งแม่น้ำนู่เทา* เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูง”
*นู่เทา = คลื่นที่โหมกระหน่ำ
เมื่อหยูป้านเซียกล่าวจบ เด็กหนุ่มรูปร่างผอมที่มีผิวสีน้ำผึ้งก็หันมาพยักหน้าให้พวกเขา
ถ้าเจียงหลีจำไม่ผิด ตระกูลฉูก็เป็นตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์ในยุทธภพเหมือนกับตระกูลเจียง โดยวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเขาเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมาก มันมีชื่อว่า ‘กระบี่สะบั้นชีวี’
“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาของตระกูลเจียงมานานแล้ว หากมีโอกาส ข้าหวังว่าเราจะได้ประมือกันสักสองสามกระบวนท่า”
ตั้งแต่ที่เจียงหลีได้พบกับฉูเฉียนฟาน เขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ถือกระบี่ไว้ในมือตลอดเวลา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีท่าทางเย็นชาและดูเข้าถึงยาก แต่หลังจากที่เขาได้พบคนกลุ่มใหม่และได้รู้ว่าเจียงหลีเป็นคนประเภทเดียวกัน เขาก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยมารยาทของจอมยุทธ์
ในที่นี้มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้ว่าเจียงหลีมาจากตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์ แม้ว่าจะมีคนที่รู้ว่าเจียงหลีมาจากตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยังเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่าจอมยุทธ์อยู่ดี
“พี่ฉู ท่านก็ยกยอข้าเกินไปแล้ว ข้ายังฝึกฝนวรยุทธ์ได้ไม่เข้าขั้นนัก ดังนั้นข้าจึงไม่อยากทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะตัวข้า”
ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้เข้าร่วมสำนักเซียนกันแล้ว แต่ทำไมฉูเฉียนฟานถึงยังคิดเรื่องประลองวรยุทธ์อยู่อีกล่ะ?
“ฮ่า ๆ พี่เจียง พี่เหยียน ข้าจะขอแนะนำคนต่อไปเลยแล้วกัน”
“นี่คือหวังหลิวเหลียง เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูง” เด็กหนุ่มคนนี้แต่งตัวคล้ายกับบัณฑิต ขณะที่ถูกแนะนำเขาทักทายคนอื่น ๆ โดยการโบกพัดในมือ
“ส่วนนี่คือลู่เฉียนเฉียน นางมีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง” คนที่หยูป้านเซียเพิ่งแนะนำเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กมาก นางสวมชุดสีฟ้าลายเมฆสวยงาม และยามที่นางทักทายพวกเจียงหลี ดูเหมือนว่านางจะเป็นคนขี้อายมาก
…
“นี่คือถังเหวินซิน เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง แล้วนี่คือกงชิงโจวกับพั้งเสี่ยวอู่ พวกเขาทั้งคู่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง”
หลังจากที่แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว เด็กทั้ง 12 คนก็มองไปที่เจียงหลีกับเหยียนหงด้วยสายตาสงสัยใคร่รู่ ในเวลานั้นเอง เจียงหลีก็นึกออกว่าเขาคงแนะนำตัวเองสั้นเกินไป เพราะสิ่งที่คนอื่นอยากรู้คือระดับของรากฐานทางจิตวิญญาณของเขาเสียมากกว่า
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ข้ามีนามว่าเจียงหลีและข้ามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง ส่วนนี่คือเหยียนหง เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กทั้ง 12 คนก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง
ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนเพิ่งจะเดินทางเข้าสู่โลกเซียนและปัจจุบันพวกเขาก็ยังไม่มีทั้งอำนาจหรือเงินทอง ด้วยเหตุนี้รากฐานทางจิตวิญญาณจึงกลายเป็นเกณฑ์หลักในการเลือกคบเพื่อนของทุกคน
จากการแนะนำตัวของแต่ละคน เจียงหลีพบความจริงว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางขึ้นไป
“ฮึ่ม! เจ้าศิษย์นอกสำนักพวกนี้นี่ แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกตน แต่พวกเจ้ากลับมาเกาะกลุ่มกันอยู่ที่นี่ ช่างโง่เขลาเสียจริง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงของคน ๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง
ต่อมา มีเด็กหนุ่มในชุดสีขาวเดินออกมาจากห้องพักในเรือด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง พร้อมกับที่เสื้อคลุมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และมีคำว่า ‘ชั่ง’ ถูกปักด้วยด้ายสีแดงอยู่ที่หน้าอกของเขา
‘เสื้อผ้าแบบนี้คล้ายกับเสื้อผ้าที่หุ่นกระบอกของผู้อาวุโสเวิ่งสวมใส่มาก’ เจียงหลีอนุมานได้ว่าชุดนี้น่าเป็นชุดของศิษย์ในสำนักของสำนักชั่งจิงกู่
ในขณะนั้น อยู่ ๆ คนแปลกหน้าก็เดินเข้ามาตำหนิกลุ่มของเจียงหลีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่สนใจตน เด็กหนุ่มคนนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายและเดินกลับเข้าไปที่ห้องพัก
"นั่นใครน่ะ? เขาดูมีอายุไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ เขาเป็นหนึ่งในศิษย์พี่ของสำนักเราหรือ?” เจียงหลีเอ่ยถามพวกหยูป้านเซีย เนื่องจากเขาคาดเดาว่าพวกเขาน่าจะรู้จักเด็กหนุ่มคนนั้น
"เฮอะ! เจ้าหมอนั่นน่ะหรือ? เขานามว่าฉีเทียนหยา มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุด! ในขบวนรถม้าของเราเขาถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ! หลังจากที่เขาเข้าร่วมสำนัก เขาก็กลายเป็นศิษย์ในสำนักทันที พอเขาได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของศิษย์ในสำนักแล้วก็ทำตัวกร่างเลย ฮึ!"
หยูป้านเซียกล่าวด้วยใบหน้าไม่พอใจระคนอิจฉา!
“…คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะที่สามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักได้โดยตรง ไม่น่าแปลกใจที่เขากล้าพูดจาแบบนั้น”
“ถ้าเราทนได้ เราก็ควรทนไปก่อน เวลาที่เราอยู่ในสำนัก ความแตกต่างของสถานะระหว่างศิษย์ในสำนักและศิษย์นอกสำนักนั้นราวฟ้ากับเหว และสำนักก็มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมาก ถ้าเราเจอเขาอีกครั้ง เราอาจจะต้องเรียกเขาว่าศิษย์พี่”
“เขาเป็นศิษย์ในสำนัก ดังนั้นเขาจึงสามารถคารวะผู้อาวุโสเป็นอาจารย์และรับคำสั่งสอนโดยตรงได้เลย นอกจากนี้เขาจะได้รับทรัพยากรและสวัสดิการที่ดีกว่าเรามาก อีกไม่นานเขาคงจะทิ้งห่างเราจนไม่เห็นฝุ่นแน่ ๆ”
ถัดมาทุกคนก็พูดถึงเรื่อง 'การเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่มีความสามารถ' กันอย่างจริงจัง
เมื่อหยูป้านเซียได้ยินบทสนทนาของคนในกลุ่ม การแสดงออกของเขาก็หดหู่ลง
ในเหล่าศิษย์ทั้งหลายมีคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงน้อยมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นอัจฉริยะได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนที่มีรากจิตวิญญาณระดับสูงสุดแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงยังอ่อนแอกว่ามาก
หลังจากทุกคนพูดคุยกันเป็นเวลานาน ในที่สุดเจียงหลีและเหยียนหงก็นึกถึงลูกน้องทั้ง 19 คนและบอกให้พวกเขาไปหาห้องพักในเรือก่อน
“พี่เหยียน พี่เจียง พวกท่านพาพวกเขามาด้วยทำไม? คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำช่วยอะไรเราได้ไม่มากหรอกนะ พวกเขาจะเป็นภาระของพวกท่านเปล่า ๆ”
พอหยูป้านเซีย, ฉูเฉียนฟานและคนอื่น ๆ รู้ถึงรากฐานทางจิตวิญญาณของลูกน้องทั้ง 19 คน พวกเขาก็เริ่มดูถูกดูแคลนคนพวกนั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการแบ่งชนนั้นจากระดับรากฐานทางจิตวิญญาณได้ถูกฝังรากลึกลงไปในจิตใจของทุกคนแล้ว
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เราจะเก็บเรื่องนี้ไปพิจารณาดูอีกที รากฐานทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักพรต” เจียงหลียิ้มและไม่ได้ใส่ใจที่จะพูดอะไรมากนัก
ไม่ว่ารากฐานทางจิตวิญญาณของพวกเขาจะต่ำต้อยสักเพียงใด หรือแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังมีคุณค่าในตัวเอง มิฉะนั้นแล้ว ทำไมสำนักเซียนถึงยังรับสมัครศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำเป็นจำนวนมาก?
หากปราศจากคนชนชั้นล่างเหล่านี้ นักพรตระดับสูงคงจะต้องมานั่งขัดห้องน้ำด้วยตัวเองใช่หรือไม่?
เมื่อพวกเจียงหลีได้พูดคุยกับกลุ่มของหยูป้านเซีย พวกเขาก็ได้รู้ว่าหยูป้านเซียและสาวงามนามว่าลู่เฉียนเฉียนต่างก็มีความรู้เกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกเซียนอยู่บ้าง มันเป็นการยากที่จะบอกว่าสองคนนี้มีพลังมากแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็ยังให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลกเซียนแก่พวกเขามากมาย
ตามที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวกล่าว ศิษย์นอกสำนักของสำนักใหญ่นั้นไม่ได้มีความรักใคร่ปรองดองกันอย่างที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้
แล้วในทุก ๆ ปี สำนักชั่งจิงกู่จะมีศิษย์นอกสำนักประมาณ 8,000 คนเท่านั้น
ลูกศิษย์ส่วนใหญ่มักจะตั้งกลุ่มกันเพื่อแข่งขันกันอย่างเปิดเผยหรืออย่างลับ ๆ โดยมีทั้งการต่อสู้แก่งแย่งชิงดี ลักทรัพย์ รวมไปถึงการยังรังแกคนอื่นโดยการไถทรัพย์สินของมีค่าจากคนที่อ่อนแอกว่า และเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีใครเข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจังจึงทำให้สถานการณ์แบบนี้มักพบเห็นได้ทั่วไป
ดังนั้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น หยูป้านเซียจึงตัดสินใจผูกมิตรกับศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางไปจนถึงระดับสูงเพื่อสร้างกลุ่มของตัวเอง
เจียงหลีและเหยียนหงก็ไม่ได้คัดค้านความคิดของหยูป้านเซียแต่อย่างใด
ทว่าทั้งสองคนคงจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันได้อย่างสนิทใจ แต่ถึงอย่างไร การมีมิตรก็ย่อมดีกว่ามีศัตรูแน่นอน
…
พวกเจียงหลีน่าจะเป็นศิษย์กลุ่มสุดท้ายที่มาสมัครเข้าร่วมสำนักชั่งจิงกู่ เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง คนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือก็เห็นว่าในบริเวณเรือนรับสมัครศิษย์ของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานมีนักพรตเรียงแถวกันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากที่เหล่านักพรตขว้างกระบี่ไปข้างหน้า พวกเขาก็ขี่กระบี่ของตนเองและหายตัวไปจากสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่สำนักนี้มีศิษย์ที่ผ่านบททดสอบจำนวนน้อย ดังนั้นเหล่าศิษย์พี่และผู้อาวุโสจึงพาศิษย์ใหม่ขี่กระบี่ของพวกเขาไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้สำนักชั่งจิงกู่ได้คัดเลือกศิษย์ใหม่เข้ามาประมาณ 600-700 คน เพราะฉะนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำศิษย์ใหม่กลับไปยังสำนักโดยไม่ใช้เรือเหาะลำนี้
แล้วเหล่าศิษย์ใหม่ก็จับกลุ่มคุยกันต่อไป จนกระทั่งเวิ่งซานฉีและศิษย์ในสำนักคนอื่น ๆ กลับมาที่เรือ ก่อนที่พวกเขาจะไล่ศิษย์ที่อยู่บนดาดฟ้าทั้งหมดให้เข้าไปในห้องพักของตัวเอง
หากจะเปรียบเรือเหาะลำนี้เป็นเหมือนกับเครื่องบินในโลกเก่าของเจียงหลี หลังจากเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว คนธรรมดาจะไม่สามารถอยู่นอกตัวเครื่องได้ ซึ่งเรือเหาะลำนี้ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากศิษย์ใหม่ยังไม่ได้รับการฝึกตนใด ๆ ถ้าปราศจากการคุ้มครองของเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาจะทนต่อลมกระโชกอันรุนแรงนี้ได้อย่างไร?
“เอาล่ะ ทุกคนคงเดินทางมากันเหนื่อย ๆ รีบกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ อีกสองวันเราจะไปถึงสำนักชั่งจิงกู่”
ด้วยความที่ว่าหยูป้านเซียเป็นคนที่มีไหวพริบมาก เขาจึงสามารถหาห้องที่เหมาะสมให้แก่เจียงหลีและเหยียนหงได้คนละห้องอย่างง่ายดาย
แม้ว่าห้องที่ทั้งคู่ได้มาจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ภายในห้องกลับถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
เรือเหาะลำนี้แตกต่างจากเรือลำก่อนหน้ามาก เพราะมันมีคุณภาพที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ภายในห้องพักยังมีหน้าต่างที่ทำมาจากคริสตัลทรงกลมอีกด้วย
คริสตัลดังกล่าวมีรูปทรงเหมือนกระจกเลนส์นูน หากมองผ่านเลนส์ออกไปตรง ๆ เราจะเห็นทิวทัศน์ด้านนอกไม่ชัดเจน แต่ถ้าเราค่อย ๆ ปรับกระจกคริสตัลจนมีลำแสงพุ่งออกมาจากคริสตัล ลำแสงนั้นจะตกกระทบกับผนังไม้ที่อยู่เบื้องหลังพร้อมกับฉายภาพที่วิจิตรตระการตาขึ้นมา
…
และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปหนึ่งวันกับอีกสองคืน
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อแสงอรุณส่องผ่านเลนส์คริสตัลเข้ามา เสียงกรนที่ดังก้องอยู่ในห้องของเจียงหลีก็เงียบลงในทันใด
ขณะที่เขาพ่นลมหายใจออกยาว ๆ ฝุ่นบางเบาบนพื้นก็ล่องลอยไปในอากาศโดยที่มันไม่ได้สลายหายไป จนกระทั่งมันกระทบเข้ากับกำแพงไม้ที่อยู่ห่างออกไปประมาณไม่ถึง 1 จั้ง
“นี่ข้ากลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในแล้วหรือ?”
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เด็กหนุ่มก็รีบเรียกอินเทอร์เฟซของระบบขึ้นมาในใจ
[ชื่อ: เจียงหลี]
[อายุ: 13 ปี]
[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]
[คลาสหลัก: จอมยุทธ์ ระดับ: ชั้น 1]
[คลาสย่อย 1: ไม่มี]
[คลาสย่อย 2: ไม่มี]
[พลังชีวิต: 980/980]
[ความอึด: 860/860]
[ความแข็งแกร่ง: 3.5]
[ความเร็ว: 2.9]
[สมรรถภาพร่างกาย: 3.9 + 0.5]
[จิตวิญญาณ: 1]
[ความตระหนักรู้: 1.1]
[วรยุทธ์: กรงเล็บพยัคฆ์ชันษาระดับ 8]
[ทักษะ: การประเมินระดับ 3, ดาบทลายภูผาระดับ 3]
[บัฟ: การรักษาระดับต่ำ, เพิ่มระดับการรักษา, ความอิ่ม, เสริมสร้างร่างกาย, ความแข็งแกร่งของลูกผู้ชาย]
[ดีบัฟ: ไม่มี]
เจียงหลีรู้สึกได้ว่าหลอดเลือดของเขาขยายตัวและแข็งแรงขึ้นเกือบสองเท่า นั่นทำให้เขามีความสุขเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก
หากไม่มีความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น การฝึกวรยุทธ์ของเขาจะจบลงเพียงแค่นี้
อีกไม่นานพวกเขาก็จะไปถึงสำนักเซียนและเริ่มต้นเดินบนเส้นทางการฝึกตนเป็นเซียนอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ว่าเขาจะใช้เวลาในการฝึกวรยุทธ์ต่อไป แต่ถึงอย่างไรมันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี
นี่ถือว่าเป็นการกตัญญูต่อบรรพบุรุษของเจียงหลีคนเก่าแล้ว เพราะอย่างน้อยเขาก็สามารถก้าวไปสู่การเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในก่อนที่จะเขาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
-------------------------------------------
อากิระ talk: เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ บัฟความแข็งแกร่งของลูกผู้ชายยังอยู่เหมือนเดิม งี้มันไม่ตั้งอยู่ตลอดเวลาหรอกเหรอ นี่อย่าบอกนะว่าแต๊บไว้ 555555