Your Wishlist

ขอโทษที! ความโกงของฉันคือเวลาบัพไม่จำกัด (บทที่ 14: ศิษย์ใหม่)

Author: Turtle Shell and Hemp Rope (Akira แปล)

กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!

จำนวนตอน : 500+

บทที่ 14: ศิษย์ใหม่

  • 19/06/2565

“ฮ่า ๆ เจ้าหนู อย่ากลัวไปเลย นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าเจ้าโชคดี การเข้าร่วมสำนักชั่งจิงกู่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเจ้าแล้ว”

 

“สำนักชั่งจิงกู่ของเรามีวิธีการฝึกตนอยู่นับหมื่นวิธี แล้วยังมีคัมภีร์ลับที่ไม่สมบูรณ์อีกนับไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องเลือกวิธีการฝึกตน ขอแค่เจ้าเลือกวิธีการฝึกตนแบบธาตุคู่ที่เข้ากันกับธาตุของเจ้าเอง การทำแบบนี้นอกจากเจ้าจะสามารถฝึกตนทั้งธาตุหยินและธาตุไม้ไปได้พร้อมกันแล้ว เจ้ายังสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของทั้งสองธาตุได้ด้วยการใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว"

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหลีได้ยินเกี่ยวกับวิธีการฝึกตนแบบธาตุคู่

 

อย่างไรก็ตาม มันก็มีความเป็นไปได้มากเช่นเดียวกับสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานที่มีวิธีการใช้พรสวรรค์ของหัวใจแห่งกระบี่เพื่อให้คน ๆ นั้นสามารถปลดปล่อยพลังที่เกินขีดจำกัดของระดับรากฐานทางจิตวิญญาณออกมาได้

 

อีกทั้งรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่ก็เป็นพรสวรรค์ประเภทหนึ่งเช่นกัน หากไม่ได้รับการฝึกตนที่เหมาะสมจะทำให้พรสวรรค์นี้กลายเป็นสิ่งไร้ค่า เพราะฉะนั้นการได้รับวิธีการฝึกตนที่เหมาะสมเท่านั้นจึงจะสามารถแสดงข้อดีของการมีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่ได้อย่างเต็มที่

 

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเวิ่งที่ชี้แนะ!” หลังจากที่เจียงหลีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง เขาและเด็กคนอื่น ๆ ก็เดินตามหุ่นกระบอกไปที่สวนหลังบ้าน

 

แล้วพวกเขาก็ได้พบกับเรือขนาดใหญ่ ซึ่งเรือลำนี้มีขนาดไม่เล็กไปกว่าเรือลำที่ส่งพวกเขามายังสมัชชาแห่งพรรคเซิงเซียน

 

ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าศิษย์ใหม่ต้องอ้าปากค้างก็คือ เรือลำใหญ่ดังกล่าวกำลังลอยอยู่เหนือพื้นดินหลายจั้งคล้ายกับบอลลูน

 

เมื่อเจียงหลีเดินเข้าไปใกล้เรือขนาดมหึมา เขาก็พบว่ามีลวดลายที่ซับซ้อนถูกสลักไว้บนตัวเรือซึ่งคล้ายกับลวดลายในเขตอาคมทดสอบพลังวิญญาณ แต่เขาไม่รู้ว่ามันใช้หลักการใดในการต่อต้านแรงโน้มถ่วงมหาศาลของโลก

 

“น้องหลี ไปกันเถอะ!” เหยียนหงเดินมาสะกิดสหายของเขาที่มัวแต่ยืนตกตะลึงอยู่บนทางเดิน

 

จากนั้นเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็เดินนำลูกน้องของพวกเขาขึ้นไปยังเรือเหาะของสำนักชั่งจิงกู่

 

“เฮ้ ทุกคน ดูนั่นสิ ท่าทางเราจะมีเพื่อนใหม่แล้ว” 

 

บนดาดฟ้าของเรือเหาะ มีกลุ่มคนกำลังพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ก่อนที่พวกเขาจะเห็นเจียงหลีและคนของเขาขึ้นมาบนดาดฟ้า

 

“พวกท่านก็เป็นศิษย์ใหม่เหมือนกันหรือ?”

 

หลังจากที่เหยียนหงและเจียงหลีขึ้นมาบนเรือแล้ว ทั้งคู่ก็เดินไปกล่าวทักทายศิษย์คนอื่น ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ ในขณะที่ลูกน้อง 19 คนยืนเป็นระเบียบอยู่ข้างหลังพวกเขา

 

“ข้ามีนามว่าเจียงหลี ส่วนนี่คือเหยียนหง” เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองก่อน

 

“ฮ่า ๆ ข้าหยูป้านเซีย ตอนนี้เราเป็นศิษย์ร่วมสำนักกันแล้ว เรามาทำความรู้จักกันเถอะ” เด็กหนุ่มผู้มีนามว่า ‘หยูป้านเซีย’ แนะนำตัวอย่างกระตือรือร้นและชักชวนอีกฝ่ายให้เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มของตนเอง

 

“นี่คือ ‘ฉูเฉียนฟาน’ จากตระกูลฉูแห่งแม่น้ำนู่เทา* เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูง”

*นู่เทา = คลื่นที่โหมกระหน่ำ

 

เมื่อหยูป้านเซียกล่าวจบ เด็กหนุ่มรูปร่างผอมที่มีผิวสีน้ำผึ้งก็หันมาพยักหน้าให้พวกเขา

 

ถ้าเจียงหลีจำไม่ผิด ตระกูลฉูก็เป็นตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์ในยุทธภพเหมือนกับตระกูลเจียง โดยวิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเขาเป็นวิชาที่แข็งแกร่งมาก มันมีชื่อว่า ‘กระบี่สะบั้นชีวี’ 

 

“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาของตระกูลเจียงมานานแล้ว หากมีโอกาส ข้าหวังว่าเราจะได้ประมือกันสักสองสามกระบวนท่า”

 

ตั้งแต่ที่เจียงหลีได้พบกับฉูเฉียนฟาน เขาก็สังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ถือกระบี่ไว้ในมือตลอดเวลา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะมีท่าทางเย็นชาและดูเข้าถึงยาก แต่หลังจากที่เขาได้พบคนกลุ่มใหม่และได้รู้ว่าเจียงหลีเป็นคนประเภทเดียวกัน เขาก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยมารยาทของจอมยุทธ์

 

ในที่นี้มีเพียงคนส่วนน้อยที่รู้ว่าเจียงหลีมาจากตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์ แม้ว่าจะมีคนที่รู้ว่าเจียงหลีมาจากตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ยังเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติของเหล่าจอมยุทธ์อยู่ดี

 

“พี่ฉู ท่านก็ยกยอข้าเกินไปแล้ว ข้ายังฝึกฝนวรยุทธ์ได้ไม่เข้าขั้นนัก ดังนั้นข้าจึงไม่อยากทำให้ตระกูลต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะตัวข้า”

 

ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนี้เข้าร่วมสำนักเซียนกันแล้ว แต่ทำไมฉูเฉียนฟานถึงยังคิดเรื่องประลองวรยุทธ์อยู่อีกล่ะ?

 

“ฮ่า ๆ พี่เจียง พี่เหยียน ข้าจะขอแนะนำคนต่อไปเลยแล้วกัน”

 

“นี่คือหวังหลิวเหลียง เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูง” เด็กหนุ่มคนนี้แต่งตัวคล้ายกับบัณฑิต ขณะที่ถูกแนะนำเขาทักทายคนอื่น ๆ โดยการโบกพัดในมือ

 

“ส่วนนี่คือลู่เฉียนเฉียน นางมีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง” คนที่หยูป้านเซียเพิ่งแนะนำเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กมาก นางสวมชุดสีฟ้าลายเมฆสวยงาม และยามที่นางทักทายพวกเจียงหลี ดูเหมือนว่านางจะเป็นคนขี้อายมาก

 

 

“นี่คือถังเหวินซิน เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง แล้วนี่คือกงชิงโจวกับพั้งเสี่ยวอู่ พวกเขาทั้งคู่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง”

 

หลังจากที่แนะนำตัวกันเสร็จแล้ว เด็กทั้ง 12 คนก็มองไปที่เจียงหลีกับเหยียนหงด้วยสายตาสงสัยใคร่รู่ ในเวลานั้นเอง เจียงหลีก็นึกออกว่าเขาคงแนะนำตัวเองสั้นเกินไป เพราะสิ่งที่คนอื่นอยากรู้คือระดับของรากฐานทางจิตวิญญาณของเขาเสียมากกว่า 

 

“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอแนะนำตัวเองอีกครั้ง ข้ามีนามว่าเจียงหลีและข้ามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง ส่วนนี่คือเหยียนหง เขามีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูง”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กทั้ง 12 คนก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง

 

ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนเพิ่งจะเดินทางเข้าสู่โลกเซียนและปัจจุบันพวกเขาก็ยังไม่มีทั้งอำนาจหรือเงินทอง ด้วยเหตุนี้รากฐานทางจิตวิญญาณจึงกลายเป็นเกณฑ์หลักในการเลือกคบเพื่อนของทุกคน

 

จากการแนะนำตัวของแต่ละคน เจียงหลีพบความจริงว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางขึ้นไป

 

“ฮึ่ม! เจ้าศิษย์นอกสำนักพวกนี้นี่ แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การฝึกตน แต่พวกเจ้ากลับมาเกาะกลุ่มกันอยู่ที่นี่ ช่างโง่เขลาเสียจริง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงของคน ๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลัง

 

ต่อมา มีเด็กหนุ่มในชุดสีขาวเดินออกมาจากห้องพักในเรือด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง พร้อมกับที่เสื้อคลุมของเขาปลิวไสวไปตามสายลม และมีคำว่า ‘ชั่ง’ ถูกปักด้วยด้ายสีแดงอยู่ที่หน้าอกของเขา

 

‘เสื้อผ้าแบบนี้คล้ายกับเสื้อผ้าที่หุ่นกระบอกของผู้อาวุโสเวิ่งสวมใส่มาก’ เจียงหลีอนุมานได้ว่าชุดนี้น่าเป็นชุดของศิษย์ในสำนักของสำนักชั่งจิงกู่

 

ในขณะนั้น อยู่ ๆ คนแปลกหน้าก็เดินเข้ามาตำหนิกลุ่มของเจียงหลีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่สนใจตน เด็กหนุ่มคนนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายและเดินกลับเข้าไปที่ห้องพัก

 

"นั่นใครน่ะ? เขาดูมีอายุไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ เขาเป็นหนึ่งในศิษย์พี่ของสำนักเราหรือ?” เจียงหลีเอ่ยถามพวกหยูป้านเซีย เนื่องจากเขาคาดเดาว่าพวกเขาน่าจะรู้จักเด็กหนุ่มคนนั้น

 

"เฮอะ! เจ้าหมอนั่นน่ะหรือ? เขานามว่าฉีเทียนหยา มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุด! ในขบวนรถม้าของเราเขาถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ! หลังจากที่เขาเข้าร่วมสำนัก เขาก็กลายเป็นศิษย์ในสำนักทันที พอเขาได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของศิษย์ในสำนักแล้วก็ทำตัวกร่างเลย ฮึ!"

 

หยูป้านเซียกล่าวด้วยใบหน้าไม่พอใจระคนอิจฉา!

 

“…คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดจะถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะที่สามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักได้โดยตรง ไม่น่าแปลกใจที่เขากล้าพูดจาแบบนั้น”

 

“ถ้าเราทนได้ เราก็ควรทนไปก่อน เวลาที่เราอยู่ในสำนัก ความแตกต่างของสถานะระหว่างศิษย์ในสำนักและศิษย์นอกสำนักนั้นราวฟ้ากับเหว และสำนักก็มีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดมาก ถ้าเราเจอเขาอีกครั้ง เราอาจจะต้องเรียกเขาว่าศิษย์พี่”

 

“เขาเป็นศิษย์ในสำนัก ดังนั้นเขาจึงสามารถคารวะผู้อาวุโสเป็นอาจารย์และรับคำสั่งสอนโดยตรงได้เลย นอกจากนี้เขาจะได้รับทรัพยากรและสวัสดิการที่ดีกว่าเรามาก อีกไม่นานเขาคงจะทิ้งห่างเราจนไม่เห็นฝุ่นแน่ ๆ”

 

ถัดมาทุกคนก็พูดถึงเรื่อง 'การเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ที่มีความสามารถ' กันอย่างจริงจัง

 

เมื่อหยูป้านเซียได้ยินบทสนทนาของคนในกลุ่ม การแสดงออกของเขาก็หดหู่ลง

 

ในเหล่าศิษย์ทั้งหลายมีคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงน้อยมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นอัจฉริยะได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับคนที่มีรากจิตวิญญาณระดับสูงสุดแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงยังอ่อนแอกว่ามาก

 

หลังจากทุกคนพูดคุยกันเป็นเวลานาน ในที่สุดเจียงหลีและเหยียนหงก็นึกถึงลูกน้องทั้ง 19 คนและบอกให้พวกเขาไปหาห้องพักในเรือก่อน

 

“พี่เหยียน พี่เจียง พวกท่านพาพวกเขามาด้วยทำไม? คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำช่วยอะไรเราได้ไม่มากหรอกนะ พวกเขาจะเป็นภาระของพวกท่านเปล่า ๆ”

 

พอหยูป้านเซีย, ฉูเฉียนฟานและคนอื่น ๆ รู้ถึงรากฐานทางจิตวิญญาณของลูกน้องทั้ง 19 คน พวกเขาก็เริ่มดูถูกดูแคลนคนพวกนั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าการแบ่งชนนั้นจากระดับรากฐานทางจิตวิญญาณได้ถูกฝังรากลึกลงไปในจิตใจของทุกคนแล้ว

 

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก เราจะเก็บเรื่องนี้ไปพิจารณาดูอีกที รากฐานทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักพรต” เจียงหลียิ้มและไม่ได้ใส่ใจที่จะพูดอะไรมากนัก

 

ไม่ว่ารากฐานทางจิตวิญญาณของพวกเขาจะต่ำต้อยสักเพียงใด หรือแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังมีคุณค่าในตัวเอง มิฉะนั้นแล้ว ทำไมสำนักเซียนถึงยังรับสมัครศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำเป็นจำนวนมาก?

 

หากปราศจากคนชนชั้นล่างเหล่านี้ นักพรตระดับสูงคงจะต้องมานั่งขัดห้องน้ำด้วยตัวเองใช่หรือไม่?

 

เมื่อพวกเจียงหลีได้พูดคุยกับกลุ่มของหยูป้านเซีย พวกเขาก็ได้รู้ว่าหยูป้านเซียและสาวงามนามว่าลู่เฉียนเฉียนต่างก็มีความรู้เกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของโลกเซียนอยู่บ้าง มันเป็นการยากที่จะบอกว่าสองคนนี้มีพลังมากแค่ไหน แต่ทั้งคู่ก็ยังให้ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับโลกเซียนแก่พวกเขามากมาย

 

ตามที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวกล่าว ศิษย์นอกสำนักของสำนักใหญ่นั้นไม่ได้มีความรักใคร่ปรองดองกันอย่างที่ทุกคนจินตนาการเอาไว้

 

แล้วในทุก ๆ ปี สำนักชั่งจิงกู่จะมีศิษย์นอกสำนักประมาณ 8,000 คนเท่านั้น

 

ลูกศิษย์ส่วนใหญ่มักจะตั้งกลุ่มกันเพื่อแข่งขันกันอย่างเปิดเผยหรืออย่างลับ ๆ โดยมีทั้งการต่อสู้แก่งแย่งชิงดี ลักทรัพย์ รวมไปถึงการยังรังแกคนอื่นโดยการไถทรัพย์สินของมีค่าจากคนที่อ่อนแอกว่า และเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีใครเข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจังจึงทำให้สถานการณ์แบบนี้มักพบเห็นได้ทั่วไป

 

ดังนั้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและสิ่งเลวร้ายที่อาจจะเกิดขึ้น หยูป้านเซียจึงตัดสินใจผูกมิตรกับศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลางไปจนถึงระดับสูงเพื่อสร้างกลุ่มของตัวเอง

 

เจียงหลีและเหยียนหงก็ไม่ได้คัดค้านความคิดของหยูป้านเซียแต่อย่างใด 

 

ทว่าทั้งสองคนคงจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันได้อย่างสนิทใจ แต่ถึงอย่างไร การมีมิตรก็ย่อมดีกว่ามีศัตรูแน่นอน

 

 

พวกเจียงหลีน่าจะเป็นศิษย์กลุ่มสุดท้ายที่มาสมัครเข้าร่วมสำนักชั่งจิงกู่ เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง คนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือก็เห็นว่าในบริเวณเรือนรับสมัครศิษย์ของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานมีนักพรตเรียงแถวกันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากที่เหล่านักพรตขว้างกระบี่ไปข้างหน้า พวกเขาก็ขี่กระบี่ของตนเองและหายตัวไปจากสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว

 

โชคดีที่สำนักนี้มีศิษย์ที่ผ่านบททดสอบจำนวนน้อย ดังนั้นเหล่าศิษย์พี่และผู้อาวุโสจึงพาศิษย์ใหม่ขี่กระบี่ของพวกเขาไปด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้สำนักชั่งจิงกู่ได้คัดเลือกศิษย์ใหม่เข้ามาประมาณ 600-700 คน เพราะฉะนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำศิษย์ใหม่กลับไปยังสำนักโดยไม่ใช้เรือเหาะลำนี้

 

แล้วเหล่าศิษย์ใหม่ก็จับกลุ่มคุยกันต่อไป จนกระทั่งเวิ่งซานฉีและศิษย์ในสำนักคนอื่น ๆ กลับมาที่เรือ ก่อนที่พวกเขาจะไล่ศิษย์ที่อยู่บนดาดฟ้าทั้งหมดให้เข้าไปในห้องพักของตัวเอง

 

หากจะเปรียบเรือเหาะลำนี้เป็นเหมือนกับเครื่องบินในโลกเก่าของเจียงหลี หลังจากเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว คนธรรมดาจะไม่สามารถอยู่นอกตัวเครื่องได้ ซึ่งเรือเหาะลำนี้ก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากศิษย์ใหม่ยังไม่ได้รับการฝึกตนใด ๆ ถ้าปราศจากการคุ้มครองของเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาจะทนต่อลมกระโชกอันรุนแรงนี้ได้อย่างไร?

 

“เอาล่ะ ทุกคนคงเดินทางมากันเหนื่อย ๆ รีบกลับไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ อีกสองวันเราจะไปถึงสำนักชั่งจิงกู่”

 

ด้วยความที่ว่าหยูป้านเซียเป็นคนที่มีไหวพริบมาก เขาจึงสามารถหาห้องที่เหมาะสมให้แก่เจียงหลีและเหยียนหงได้คนละห้องอย่างง่ายดาย

 

แม้ว่าห้องที่ทั้งคู่ได้มาจะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่ภายในห้องกลับถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

 

เรือเหาะลำนี้แตกต่างจากเรือลำก่อนหน้ามาก เพราะมันมีคุณภาพที่ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ภายในห้องพักยังมีหน้าต่างที่ทำมาจากคริสตัลทรงกลมอีกด้วย

 

คริสตัลดังกล่าวมีรูปทรงเหมือนกระจกเลนส์นูน หากมองผ่านเลนส์ออกไปตรง ๆ เราจะเห็นทิวทัศน์ด้านนอกไม่ชัดเจน แต่ถ้าเราค่อย ๆ ปรับกระจกคริสตัลจนมีลำแสงพุ่งออกมาจากคริสตัล ลำแสงนั้นจะตกกระทบกับผนังไม้ที่อยู่เบื้องหลังพร้อมกับฉายภาพที่วิจิตรตระการตาขึ้นมา

 

 

และแล้ววันเวลาก็ผ่านไปหนึ่งวันกับอีกสองคืน

 

ในวันรุ่งขึ้น เมื่อแสงอรุณส่องผ่านเลนส์คริสตัลเข้ามา เสียงกรนที่ดังก้องอยู่ในห้องของเจียงหลีก็เงียบลงในทันใด

 

ขณะที่เขาพ่นลมหายใจออกยาว ๆ ฝุ่นบางเบาบนพื้นก็ล่องลอยไปในอากาศโดยที่มันไม่ได้สลายหายไป จนกระทั่งมันกระทบเข้ากับกำแพงไม้ที่อยู่ห่างออกไปประมาณไม่ถึง 1 จั้ง

 

“นี่ข้ากลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในแล้วหรือ?”

 

เมื่อคิดได้อย่างนั้น เด็กหนุ่มก็รีบเรียกอินเทอร์เฟซของระบบขึ้นมาในใจ

 

[ชื่อ: เจียงหลี]

 

[อายุ: 13 ปี]

 

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]

 

[คลาสหลัก: จอมยุทธ์ ระดับ: ชั้น 1]

 

[คลาสย่อย 1: ไม่มี]

 

[คลาสย่อย 2: ไม่มี]

 

[พลังชีวิต: 980/980]

 

[ความอึด: 860/860]

 

[ความแข็งแกร่ง: 3.5]

 

[ความเร็ว: 2.9]

 

[สมรรถภาพร่างกาย: 3.9 + 0.5]

 

[จิตวิญญาณ: 1]

 

[ความตระหนักรู้: 1.1]

 

[วรยุทธ์: กรงเล็บพยัคฆ์ชันษาระดับ 8]

 

[ทักษะ: การประเมินระดับ 3, ดาบทลายภูผาระดับ 3]

 

[บัฟ: การรักษาระดับต่ำ, เพิ่มระดับการรักษา, ความอิ่ม, เสริมสร้างร่างกาย, ความแข็งแกร่งของลูกผู้ชาย]

 

[ดีบัฟ: ไม่มี]

 

เจียงหลีรู้สึกได้ว่าหลอดเลือดของเขาขยายตัวและแข็งแรงขึ้นเกือบสองเท่า นั่นทำให้เขามีความสุขเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก

 

หากไม่มีความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น การฝึกวรยุทธ์ของเขาจะจบลงเพียงแค่นี้

 

อีกไม่นานพวกเขาก็จะไปถึงสำนักเซียนและเริ่มต้นเดินบนเส้นทางการฝึกตนเป็นเซียนอย่างเป็นทางการแล้ว แม้ว่าเขาจะใช้เวลาในการฝึกวรยุทธ์ต่อไป แต่ถึงอย่างไรมันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี 

 

นี่ถือว่าเป็นการกตัญญูต่อบรรพบุรุษของเจียงหลีคนเก่าแล้ว เพราะอย่างน้อยเขาก็สามารถก้าวไปสู่การเป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในก่อนที่จะเขาเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง

 

-------------------------------------------

อากิระ talk: เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ บัฟความแข็งแกร่งของลูกผู้ชายยังอยู่เหมือนเดิม งี้มันไม่ตั้งอยู่ตลอดเวลาหรอกเหรอ นี่อย่าบอกนะว่าแต๊บไว้ 555555

 

1/6/2022
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป