Your Wishlist

ขอโทษที! ความโกงของฉันคือเวลาบัพไม่จำกัด (บทที่ 13: เวิ่งซานฉี)

Author: Turtle Shell and Hemp Rope (Akira แปล)

กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!

จำนวนตอน : 500+

บทที่ 13: เวิ่งซานฉี

  • 18/06/2565

“น้องหลี ข้าไม่อยากบวชเป็นพระ เราไปสำนักไป่เหลียนซานกันดีไหม?”

 

“อย่างน้อยในสำนักนี้ก็หาอุปกรณ์วิญญาณและโอสถวิญญาณได้ง่ายกว่าที่อื่นมาก ของพวกนี้จะมีประโยชน์ต่อการฝึกตนของเราอย่างแน่นอน”

 

สำนักไป่เหลียนซานเป็นอย่างที่เหยียนหงพูดจริง ๆ เนื่องจากในทุก ๆ ปีทางสำนักจะมีการผลิตอุปกรณ์วิญญาณระดับกลางและระดับต่ำออกมาเป็นจำนวนมาก

 

การเข้าไปอยู่ในสำนักนี้จะทำให้เด็กหนุ่มได้ใกล้ชิดกับแหล่งผลิตสินค้าโดยตรง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจต่อคนอย่างเขาที่เป็นคนรักการค้าขายมากอยู่แล้ว

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเจียงหลีอ่านรายชื่อของผู้อาวุโสในสำนักไป่เหลียนซาน เขาก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

 

เจ้าสำนัก ‘ซือถูเฟิ่งจู่’

ผู้อาวุโสสอง ‘ซือถูถิงซิน’

ผู้อาวุโสประจำหอศาสตราวุธ ‘ซือถูไป๋เกอ’ 

ผู้อาวุโสประจำหอการทูต ‘ซือถูเอ้อทง’ …

 

ผู้อาวุโสหนึ่ง ‘หม่าลิ่วฉี’

ผู้อาวุโสสาม ‘หม่าหลี่โฉว’

ผู้อาวุโสประจำหอโอสถ ‘หม่าหมิงโหลว’

ผู้อาวุโสประจำโรงหมอ ‘หม่าฉางกู’ …

 

ในหนังสือแนะนำสำนักที่เจียงหลีกำลังอ่านอยู่มีรายชื่อผู้อาวุโสระดับสูงในตำแหน่งต่าง ๆ ของสำนักไป่เหลียนซานเขียนไว้ แต่พวกเขาทั้งหมดเป็นแค่คนที่มีนามสกุลหนึ่งในสองสกุลนี้เท่านั้น

 

สิ่งหนึ่งที่เขารู้คือประวัติศาสตร์ของสำนักไป่เหลียนซานนั้นมีมานานมากกว่า 500 ปีแล้ว ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีศิษย์ที่มีอำนาจคนไหนมาจากสกุลอื่นเลยนอกจากสองสกุลดังกล่าว

 

หากภายในสำนักไม่มีกฎเกณฑ์แปลก ๆ ที่บังคับให้ศิษย์เปลี่ยนสกุลเพื่อเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้น เด็กหนุ่มก็แทบจะนึกภาพออกเลยว่ากว่าเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและผลประโยชน์จากสำนักที่ถูกควบคุมด้วยคนของตระกูลใดตระกูลหนึ่งนี้มันยากลำบากเพียงใด

 

ด้วยเหตุนี้เด็กใหม่ที่อ่อนแออย่างพวกเขาคงไม่สามารถเติบโตภายใต้สำนักที่คนในตระกูลสำคัญกว่าคนนอกได้ ทำให้ตัวเจียงหลีไม่อยากจะเข้าร่วมสำนักไป่เหลียนซานและเอาชีวิตวัยเยาว์ของตนเองไปทิ้งโดยเปล่าประโยชน์

 

หลังจากที่เจียงหลีอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เหยียนหงฟัง เหงื่อเย็น ๆ ของเด็กหนุ่มร่างท้วมก็ผุดขึ้นมาบนหน้าผากอย่างห้ามเอาไว้ไม่ได้ เขาไม่ต้องการที่จะทำงานหนักไปตลอดชีวิตเพื่อให้เหล่าญาติของผู้อาวุโสในสำนักได้รับผลประโยชน์ที่ควรเป็นของเขา

 

ถึงแม้ว่าในสำนักประเภทนี้ดูเหมือนจะมีสวัสดิการที่ดี แต่หากเราพลาดพลั้งไปขัดแย้งกับคนในสองตระกูลนั้นเมื่อไหร่ ยังไงเราก็เป็นฝ่ายผิดอยู่ดีไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม

 

“ดูเหมือนว่าเราจะไม่เหลือตัวเลือกมากนัก”

 

ต่อมา เด็กหนุ่มทั้งสองคนพาลูกน้องเดินไปดูสำนักอื่น ๆ พร้อมกับวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียของแต่ละสำนักไปด้วย จนในที่สุดพวกเขาก็เดินไปที่ทางเข้าของสำนักชั่งจิงกู่

 

เมื่อทั้งคู่เปรียบเทียบกับสำนักใหญ่อีก 3 สำนัก พวกเขาคิดว่าสำนักชั่งจิงกู่ไม่มีอะไรที่โดดเด่นสักเท่าไหร่ แล้วสำนักแห่งนี้ยังมีข้อบกพร่องที่สำคัญอีกมากมายด้วย

 

ยกตัวอย่างเช่น สำนักชั่งจิงกู่ก่อตั้งขึ้นมาเพียงไม่นานและมรดกของสำนักของพวกเขาก็ยังไม่เพียงพอ

 

แล้วอีกอย่างหนึ่ง สำนักนี้ถูกก่อตั้งโดยนักพรตไร้สำนักที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร อีกทั้งการแบ่งสรรหน้าที่ของผู้อาวุโสในสำนักก็ไม่ชัดเจนจนทำให้ดูสับสนว่าขอบเขตหน้าที่ของแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร

 

แม้ว่าปัญหาระหว่างคนในสำนักชั่งจิงกู่จะไม่เป็นเรื่องใหญ่เท่ากับสำนักไป่เหลียนซาน แต่ปัญหาเหล่านั้นก็ยังเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้

 

นอกจากนี้มีคนเล่าต่อ ๆ กันมาว่ามีนักพรตมารร่วมก่อตั้งสำนักชั่งจิงกู่ด้วย และในบางครั้งก็มีข่าวลือว่ามีศิษย์เสียชีวิตอย่างลึกลับ

 

หากพูดถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของสำนัก อาจเป็นเพราะในอดีตพวกเขาล้วนเป็นนักพรตไร้สำนัก ทำให้สิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้จึงกว้างขวางมากและไม่จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นการหลอมศาสตราวุธ การปรุงโอสถหรือการสร้างเครื่องราง ดังนั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีความรู้รอบด้านแต่ก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเลย 

 

เมื่อเทียบกับอีก 3 สำนักในระดับเดียวกัน สำนักชั่งจิงกู่นั้นถือว่าธรรมดามาก

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเจียงหลีและเหยียนหงก็ยังคงเลือกสำนักชั่งจิงกู่

 

เหตุผลที่ทั้งสองคนเลือกสำนักนี้เป็นเพราะในแง่ของขนาดและศักยภาพในการเติบโตของสำนัก ซึ่งสำหรับสำนักชั่งจิงกู่ เรื่องนี้ถือเป็นอันดับหนึ่งของสำนักเซียนในเขาฉงซาน ยิ่งไปกว่านั้นสำนักนี้สามารถก้าวขึ้นมาเป็นสำนักชั้นนำได้ในระยะเวลาเพียง 200 ปีอีกด้วย

 

ในโลกเซียน ด้วยระยะเวลา 200 ปีอาจจะสั้นสำหรับการเปลี่ยนผ่านจากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง นี่หมายความว่าสำนักนี้มีอนาคตที่ก้าวไกล และในภายภาคหน้า หากพวกเจียงหลีพยายามฝึกฝนอย่างหนัก พวกเขาคงสามารถก้าวข้ามอีก 3 สำนักใหญ่ได้อย่างแน่นอน

 

สำหรับคนหนุ่มสาวที่มีศักยภาพสูง สำนักที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถพัฒนาไปได้อีกไกลอย่างสำนักชั่งจิงกู่นั้นเป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ตลอดชีวิตที่เหลือของพวกเขา

 

‘เอาเถอะ…สำนักนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น’

 

นี่ไม่ใช่เหตุผลหลักที่พวกเจียงหลีตัดสินใจเลือกสำนักชั่งจิงกู่ 

 

เหตุผลที่แท้จริงก็คือ ส่วนใหญ่แล้วในวัดชีหังรับแค่คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุเหล็กกล้าและธาตุดิน ในขณะที่สำนักไป่เหลียนซานรับแค่คนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุไฟ

 

ส่วนสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานรับคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุหลักทั้ง 5 ธาตุ แต่พวกเขาไม่ต้องการคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่ ซึ่งเจียงหลีมีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุหยินและธาตุไม้ ในขณะที่เหยียนหงมีรากทางจิตวิญญาณธาตุน้ำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากจะต้องเลือกสำนักใหญ่ที่เหลืออยู่

 

จากข้อมูลที่ได้มา มีเพียงสำนักชั่งจิงกู่เท่านั้นที่มีวิธีการฝึกตนมากมายหลากหลายรูปแบบที่ทำให้พวกเขาสามารถเลือกเรียนรู้เคล็ดวิชาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตนเองได้

 

เมื่อเจียงหลีและพรรคพวกก้าวเข้าไปในประตูของสำนักชั่งจิงกู่ พวกเขาก็เห็นว่าภายในสำนักค่อนข้างโล่งเพราะว่าคนส่วนใหญ่เลือกสำนักที่จะเข้าร่วมได้แล้ว ในขณะที่กลุ่มของเจียงหลียังคงอยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่าควรจะเลือกเข้าสำนักไหนดี

 

เนื่องด้วยผู้ที่มีหน้าที่รับสมัครศิษย์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์ทั้งหลายจึงใช้เวลาไม่นานในการลงทะเบียนและลงนามในสัญญา

 

ในตอนนั้นเอง พวกเจียงหลีก็เดินเข้ามาเห็นโต๊ะแกะสลักยาว 20 ตัวตั้งอยู่ในลานกว้าง และคนที่ยืนอยู่หลังโต๊ะยาวนั้นไม่ใช่คนจริง ๆ แต่กลับเป็นหุ่นกระบอกที่มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส 20 ตัวสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านยืนต้อนรับอยู่

 

“โอ๊ะโอ … มีเด็กใหม่มากันเยอะแยะเลย”

 

พอถึงเวลาที่เด็กทั้ง 21 คนเดินเข้าไปใกล้จุดลงทะเบียน หุ่นที่เคยยืนนิ่งไม่ไหวติงก็เคลื่อนไหวในทันใด พร้อมกับที่ข้อต่อของพวกมันลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดขณะขยับตัว แต่การเคลื่อนไหวของพวกมันแตกต่างจากหุ่นกระบอกทั่วไปและยังสามารถเปิดปากพูดภาษามนุษย์ได้อีกด้วย

 

หลังจากที่ได้เห็นภาพดังกล่าว ลูกน้องบางคนที่อยู่ข้างหลังเจียงหลีและเหยียนหงก็รู้สึกกลัวมากจนรีบวิ่งหนีออกไป แต่เด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากลุ่มทั้งสองหันหลังเตะขัดขาพวกเขาอย่างรวดเร็วจนอีกฝ่ายล้มลงกับพื้น

 

จากนั้นทั้งคู่ก็หันกลับมาก่อนจะยกมือคำนับไปทางหุ่นไม้และรีบกล่าวขอโทษว่า “เราขออภัยที่คนของเราเสียมารยาทกับพวกท่าน”

 

ไม่กี่วินาทีต่อมา เหล่าลูกน้องก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและรีบโค้งคำนับตามหัวหน้าของพวกเขาทันที

 

“ฮ่า ๆ ไม่เป็นไร ๆ พวกเจ้าไม่ใช่ศิษย์กลุ่มแรกที่กลัวพวกเรา”

 

หุ่นกระบอกตัวหนึ่งหัวเราะพลางโบกมือ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าการกระทำของหุ่นตัวนี้ไม่ต่างจากคนจริง ๆ เลยแม้แต่น้อย

 

"ข้าขอแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ข้าเป็นผู้อาวุโสประจำหอสังเกตการณ์ของสำนักชั่งจิงกู่ เรียกข้าว่าเวิ่งซานฉีก็ได้” หุ่นกระบอกอีกตัวที่มีท่าทางจริงจังกล่าวขึ้นมา

 

“ผู้อาวุโสเวิ่ง!”

 

พร้อมกันนั้นเด็กทุกคนก็โค้งคำนับผู้อาวุโสอีกครั้ง ทว่าเนื่องจากมีหุ่นไม้ทั้งหมด 20 ตัวกำลังเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า พวกเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะหันหน้าไปทิศทางไหนดี

 

“พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมสำนักชั่งจิงกู่ใช่หรือไม่” เหล่าหุ่นกระบอกเอ่ยถามพลางกวักมือให้เด็ก ๆ เข้ามาใกล้ตนเองอีกเล็กน้อย

 

“สำนักชั่งจิงกู่ของเราเป็นหนึ่งในสำนักที่ดีที่สุดในเขาฉงซาน ตามกฎของสำนัก หลังจากที่เจ้าเข้าสู่สำนักชั่งจิงกู่แล้ว เจ้าจะสามารถเลือกวิธีการฝึกตนขั้นพื้นฐานเองได้”

 

“ในทุกสัปดาห์จะมีผู้อาวุโสประจำสำนักมาถ่ายทอดความรู้ให้กับศิษย์ทุกคนที่สนใจเข้าร่วม และทุก ๆ เดือนทางสำนักจะจัดสรรทรัพยากรที่ช่วยในการฝึกตนให้แต่ละคน แต่ถ้าศิษย์บริจาคหินวิญญาณให้กับทางสำนักก็จะได้รับคะแนนที่สามารถนำไปใช้แลกกับวิธีการฝึกตน คาถาอาคม โอสถและอุปกรณ์วิญญาณได้อีกมากมาย…”

 

หุ่นกระบอกกวาดตามองหน้าศิษย์ใหม่ทุกคนขณะที่พูด ระหว่างนั้นเจียงหลีค้นพบว่าสวัสดิการขั้นพื้นฐานส่วนใหญ่ของสำนักนี้ก็ไม่ได้แตกต่างจากสำนักอื่นมากนัก

 

อย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าเวิ่งซานฉีกล่าวถึงการเลือกวิธีการฝึกตนและคาถาอาคมอยู่หลายครั้งในระหว่างการแนะนำข้อมูล ท่าทางของเขาดูเหมือนจะมั่นใจว่าในสำนักแห่งนี้มีของดีสะสมไว้เป็นจำนวนมาก

 

"ข้าเข้าใจแล้ว… ผู้อาวุโสเวิ่ง ข้าขอถามได้ไหมว่าหลังจากเข้าร่วมสำนักของท่านแล้วเราต้องทำอะไรบ้าง?”

 

เจียงหลีเข้าใจว่าผลประโยชน์ดังกล่าวมาพร้อมกับความรับผิดชอบ นักพรตระดับสูงสามารถมีชีวิตยืนยาวหลายร้อยหลายพันปี พวกเขาไม่น่าจะทิ้งมรดกไว้เร็วนักเมื่อเทียบกับมนุษย์ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น

 

แม้ว่าพวกเขาจะต้องการถ่ายทอดมรดกของตนเองจริง ๆ แต่หากคน ๆ นั้นไม่ใช่ผู้ถูกเลือกก็จะไม่สามารถสืบทอดมรดกจากพวกเขาได้อยู่ดี 

 

“การเข้าร่วมสำนักเราจะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ ซึ่งในปีแรกหลังจากที่เจ้าเข้าร่วมสำนักสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือฝึกตนตามสบายโดยไม่ต้องกังวลอะไรทั้งสิ้น”

 

“แต่หลังจากผ่านไป 1 ปี ศิษย์นอกสำนักทั้งหมดจะต้องเริ่มรับภารกิจของสำนัก แน่นอนว่าภารกิจนั้นมีให้เลือกทั้งยากและง่าย ถึงแม้ตอนนั้นความแข็งแกร่งของเจ้าจะยังไม่สูงมากนัก เจ้ายังสามารถยอมรับภารกิจยาก ๆ บางอย่างได้ เจ้าวางใจในเรื่องนี้ได้เลย”

 

จากประวัติที่มาของสำนักชั่งจิงกู่บ่งบอกว่ากลุ่มนักพรตไร้สำนักดูเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวพอสมควรเพราะพวกเขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทันทีตั้งแต่ปีแรกหลังจากที่เริ่มลงทุน

 

ในทางกลับกัน สำนักอื่นมักจะให้เวลาศิษย์ใหม่ฝึกตน 2-3 ปีก่อนจะให้พวกเขารับภารกิจของสำนัก

 

สำหรับศิษย์หลายคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำต้อยคงยากที่จะบอกได้ว่าพวกเขาจะสามารถก้าวไปสู่ขั้นแรกในการฝึกตนได้หลังจากผ่านไป 1 ปีหรือไม่

 

ถัดมา เจียงหลีและเหยียนหงชำเลืองมองกันก่อนที่เจียงหลีจะตอบว่า "ผู้อาวุโสเวิ่ง เรายินดีที่จะเข้าร่วมสำนักชั่งจิงกู่!”

 

พอเขากล่าวจบแล้ว หุ่นกระบอกทั้งหมดก็มองมาที่เขากันเป็นตาเดียว

 

“เจ้ามีผู้ติดตามก่อนที่จะเข้าร่วมสำนักแล้วอย่างนั้นหรือ? ไม่เลว ๆ สิ่งนี้จะทำให้เจ้าทำอะไรได้ง่ายขึ้นในช่วงที่เป็นศิษย์นอกสำนัก”

 

“อย่ามัวแต่รอช้ากันอยู่เลย เข้ามากรอกข้อมูลกันก่อนเถอะ”

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กทั้ง 21 คนก็แยกย้ายกันไปยังโต๊ะลงทะเบียนที่มีหุ่นไม้ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะทั้งหมด 20 ตัว โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องยืนเข้าแถวรอ ก่อนที่พวกเขาจะรับกระดาษมาสองแผ่นจากหุ่มกระบอกแล้วเริ่มกรอกข้อมูลลงไป

 

ในโลกเซียนมีความเชื่อในเรื่องของกฏแห่งกรรมและโชคชะตา ดังนั้นทางสำนักจึงเข้มงวดเกี่ยวกับภูมิหลังของลูกศิษย์เป็นพิเศษ

 

ในใบสมัครถามเขาว่าอาศัยอยู่ที่ไหน? เขาชื่ออะไร? เขามีพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวกี่คน? ก่อนหน้านี้เขาทำอะไรมาบ้าง? เขาแต่งงานแล้วหรือยัง? เขามีลูกไหม? เขาเคยฆ่าใครมาก่อนหรือเปล่า? เขาฆ่าผู้ชายหรือผู้หญิง? 

 

ถ้าเจียงหลีมีความจำดีกว่านี้ เขาก็อยากจะเขียนบันทึกบรรพบุรุษของตระกูลของเขาใส่ลงในใบสมัครเลยด้วยซ้ำ…

 

กล่าวโดยสรุปก็คือ เด็กหนุ่มจะกรอกข้อมูลทุกอย่างที่เขารู้ลงในใบสมัคร และหลังจากที่เขาใช้เวลาศึกษาข้อกำหนดของสำนักเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็ลงนามในสัญญา

 

“โอ้? เจ้ามีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่หรอกหรือ ไม่เลวเลยจริง ๆ เจ้าตัดสินใจถูกแล้วที่มาเข้าร่วมสำนักชั่งจิงกู่ของเรา”

 

เด็กหนุ่มที่ถูกทักมีสีหน้างุนงงพลางคิดในใจว่า ‘เป็นไปได้ไหมที่ยังมีความลับอย่างอื่นซ่อนอยู่อีก?’

 

“ท่านผู้อาวุโส โปรดชี้แนะข้าด้วย”

 

หลังจากเจียงหลีรับแผ่นไม้มา เขาก็เดินนำทุกคนเข้าไปในลานบ้าน แล้วพวกเขาก็ได้เจอผู้อาวุโสเวิ่งซานฉีที่เป็นผู้ควบคุมหุ่นเชิดทั้ง 20 ตัว

 

“ฮี่ ๆ เจ้าหนู เจ้ารู้หรือไม่ว่ารากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่และรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุเดี่ยวแตกต่างกันอย่างไร?”

 

ร่างของเวิ่งซานฉีนั้นค่อนข้างเตี้ยเมื่อเทียบกับเด็กอายุ 13-14 ปีเหล่านี้ ผมของเขาเป็นสีเทาแซมขาว แต่ผิวที่ควรซีดเหลืองกลับเป็นสีดอกกุหลาบทำให้เขาดูเปล่งปลั่งไม่เหมือนคนแก่เลยแม้แต่น้อย ขณะนี้เขากำลังถือไหสุราใบใหญ่ไว้ในมือ และยกขึ้นจิบหลังจากที่เขาพูดไปได้สองสามประโยค

 

ชายชราผู้นี้ไม่ได้ตอบเจียงหลีโดยตรง แต่เขาถามคำถามนี้กลับไปแทน

 

“นักพรตที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่สามารถเรียนรู้คาถาอาคมของทั้งสองธาตุจนเชี่ยวชาญได้และมีพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งขึ้น” เด็กหนุ่มตอบ

 

ตอนที่เจียงหลีค้นพบเกี่ยวกับรากฐานทางจิตวิญญาณของตัวเองแล้ว เขาได้ขอให้ใครสักคนไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้เขาเพื่อยืนยันว่าความคิดของตนถูกต้องหรือไม่ เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาคิดขึ้นมาเองโดยอิงจากประสบการณ์การเล่นเกมของเขา

 

“ถูกต้อง แต่นั่นก็ไม่ใช่ทั้งหมด การมีคาถาอาคมของสองธาตุหมายความว่าเจ้าสามารถรับมือกับศัตรูได้มากขึ้น เพราะเจ้าจะมีข้อได้เปรียบเหนือคู่ต่อสู้”

 

“เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าวิธีการฝึกตนของธาตุไม้สามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของธาตุไม้ได้เท่านั้น ในทำนองเดียวกัน วิธีการฝึกตนของธาตุหยินสามารถเพิ่มระดับการบ่มเพาะของธาตุหยินได้เท่านั้น”

 

“แต่หากเจ้าใช้วิธีการฝึกตนสองธาตุพร้อมกัน มันจะทำให้ความเร็วในฝึกตนของเจ้าช้าลงอย่างแน่นอน เป็นผลให้เจ้าจะด้อยกว่านักพรตที่ใช้วิธีการฝึกตนเพียงธาตุเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นนักพรตจำนวนมากที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณธาตุคู่จะเลือกฝึกตนเพียงธาตุใดธาตุหนึ่ง”

 

เด็กหนุ่มที่ได้ฟังนิ่งคิดไปสักพักและรู้สึกว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสบอกมามันสมเหตุสมผล แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น มันก็ต้องมีวิธีแก้ไขเรื่องดังกล่าว เขาจึงสงบจิตใจที่วิตกกังวลและขอคำแนะนำต่อไป

 

“ท่านผู้อาวุโส โปรดให้ความกระจ่างแก่ศิษย์คนนี้ด้วย!”

 

-------------------------------------------

อากิระ talk: น้องหลีนี่ก็คิดนานเหลือเกิน คิดจนจะหมดตอนอยู่แล้วเนี่ย!

 

1/6/2022
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป