กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
ขณะนี้เรือลำใหญ่กำลังแล่นไปตามคลื่นน้ำ แต่เจียงหลีที่อยู่ในห้องโดยสารนั้นกลับแทบไม่รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของเรือเลย
ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้เขาหยุดฝึกฝนวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาและพักผ่อนในตอนกลางคืนแทน
วันต่อมา เมื่อเรือเข้าใกล้ฝั่งอย่างช้า ๆ ส่งผลให้ตัวเรือสั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะมีเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นมาจากดาดฟ้าขณะที่เจียงหลีและเหยียนหงเดินออกจากห้องโดยสารเพื่อดูว่าภายนอกห้องเกิดอะไรขึ้น
แล้วภาพที่ปรากฏตรงหน้าทั้งคู่ก็คือเกาะที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบท่ามกลางแสงแดดยามเช้า ประกอบกับมียอดเขาประหลาดสองยอดที่สูงเสียดฟ้าจนเหมือนว่ามันเชื่อมต่อสวรรค์กับโลกเข้าด้วยกัน
หากสังเกตจากระยะไกล พวกเขาจะเห็นนกกระเรียนสองสามตัวกำลังบินผ่านก้อนเมฆอยู่ราง ๆ
เมื่อเด็ก ๆ ที่กำลังจะเติบโตเป็นเซียนในวันข้างหน้าได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ดวงตาของพวกเขาก็สว่างไสวขึ้นทันที
หลังจากที่ทางเดินถูกวางเชื่อมระหว่างเรือกับเกาะ ทุกคนก็ลงจากเรืออย่างตื่นเต้นและเดินไปตามทางเดินที่ถูกปูด้วยหินเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย
“เป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าได้ข้อมูลอะไรมาอีกไหม?”
ในที่สุดเจียงหลีก็ตระหนักว่าเหยียนหงมีความชอบและความสามารถในด้านการจัดการคนมากเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้ตอนที่เจียงหลีกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนเตียง สหายร่างใหญ่ได้นำลูกน้องทั้ง 19 คนออกไปรวบรวมข้อมูลมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต่อไปนี้จะเป็นช่วงเวลาสำคัญในการเลือกเข้าร่วมสำนักเซียนของพวกเขา
ถ้าไม่มีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เจียงหลีจะต้องอาศัยอยู่ในสำนักนั้นเป็นเวลานาน ซึ่งการเข้าร่วมสำนักเซียนไม่เหมือนกับการหางานทั่วไปเพราะเราไม่สามารถลาออกได้ตามใจต้องการ
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะตกลงเข้าร่วมสำนักใดสำนักหนึ่ง เขาจำเป็นต้องพิจารณาในหลาย ๆ ด้านให้รอบคอบเพื่อให้เขามีโอกาสในการพัฒนาที่ดีขึ้นในอนาคต
ประการแรกที่ต้องพิจารณาคือ ขนาดและศักยภาพในการเติบโตของสำนักนั้น ๆ
ประการที่สองคือ พิจารณาสวัสดิการรายเดือนที่ทางสำนักมอบให้กับเหล่าศิษย์และดูว่าสวัสดิการที่ได้รับสูงกว่ามาตรฐานหรือไม่ เพราะไม่ว่าสำนักจะดีสักเพียงใด แต่หากได้ผลตอบแทนน้อย มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี
และประการสุดท้ายคือ ความก้าวหน้าและการเติบโตของศิษย์ในสำนัก หากสำนักใดถูกบางตระกูลและกองกำลังควบคุมอยู่ ไม่ว่าผลงานของศิษย์ธรรมดาจะโดดเด่นเพียงใด แต่พวกเขาก็จะไม่มีอนาคตที่ดีมากนัก เนื่องจากทุกอย่างจะถูกสงวนไว้ให้เพียงคนในตระกูลเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ สามประการที่กล่าวมาข้างต้นจึงมีความสำคัญมากที่สุด
อีกทั้งยังมีประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมอีก ยกตัวอย่างเช่น ความแข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของสำนัก สถานที่ตั้งของสำนัก วัฒนธรรมสำนัก วิธีการฝึกฝนหลัก คุณลักษณะและอื่น ๆ อีกมากมาย
แน่นอนว่าพรรคเซิงเซียนจะไม่ให้ข้อมูลนี้แก่เด็กใหม่ เป้าหมายของพวกเขาคือการหาศิษย์เข้าร่วมพรรคเซิงเซียนให้มากขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ช่วยส่งเสริมคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่ว่าจะหาข้อมูลเหล่านี้มาไม่ได้ เพราะศิษย์อีกหลายพันคนที่เคยต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลา 2 ปีเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีของพวกเจียงหลี
ด้วยความที่ว่าศิษย์เหล่านั้นไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเป็นทางการ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงยังคงเป็นกลุ่มมนุษย์ปุถุชนธรรมดา
ทว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในโลกเซียนในฐานะคนรับใช้มาเป็นเวลา 2 ปี เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงทราบข้อมูลพื้นฐานนี้กันอยู่แล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพรรคเซิงเซียนที่เป็น 'กิจการเกี่ยวกับการบริการ' ตั้งแต่หัวหน้าพรรคไปจนถึงคนรับใช้ต้องคุ้นเคยกับชื่อของสำนักที่มีอำนาจและอาจารย์ที่เก่งกาจซึ่งเป็นคนที่พวกเขาไม่ควรเสียมารยาทด้วย
ดังนั้นหลังจากที่เหยียนหงพยายามสืบข่าวมาอย่างนัก ในที่สุดหนังสือแนะนำสำนักในเขาฉงซานเล่มเล็ก ๆ ก็มาอยู่ในมือของเจียงหลีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ที่สมัชชาแห่งพรรคเซิงเซียนมีสำนักทั้งหมด 52 สำนักที่เปิดรับศิษย์ใหม่”
“แล้วมีเพียง 4 สำนักที่โดดเด่นที่สุด สำนักเหล่านี้แข็งแกร่งที่สุดในเขาฉงซาน นอกจากนี้ในการประชุมแต่ละครั้ง ศิษย์ส่วนใหญ่ยังเลือกเข้าร่วมสำนักทั้งสี่มากที่สุดด้วย”
“แต่สำนักขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีความน่าเชื่อถือก็มักจะให้สวัสดิการที่ดีกว่าเพื่อจูงใจเด็กใหม่ให้มาเข้าร่วม”
“ส่วนคนที่มีคุณสมบัติแบบเรา ถ้าเข้าร่วมในสำนักเล็ก ๆ เราจะสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ในสำนักได้ทันที เราอาจจะถึงขั้นได้เป็นศิษย์สายตรงและได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ด้วยนะ”
“งั้นเจ้าช่วยแนะนำให้ข้าหน่อยสิ”
ต่อมา เหยียนหงพลิกดูหนังสืออีกเล่มที่คล้ายกันด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาดูเหมือนนักเรียนหัวกะทิที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบและกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชิงหัวหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่งดี
เมื่อเห็นท่าทางของสหายคนสนิท เจียงหลีก็รู้สึกพูดไม่ออก แต่ด้วยรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงของอีกฝ่าย เขาจึงเชื่อว่าไม่มีสำนักใดกล้าปฏิเสธองค์ชายน้อยผู้นี้แน่นอน
“ก่อนอื่นเราต้องไม่เลือกสำนักนอกรีตพวกนี้ หากเราได้รับการฝึกฝนที่ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์จากพวกเขา เราคงโทษใครไม่ได้เพราะเราเป็นคนเลือกเอง”
เหยียนหงกล่าวพลางพลิกหน้ากระดาษดูอีกครั้งและตระหนักว่าสำนักในหน้าแรกดูเหมือนจะถูกทำเครื่องหมายไว้เป็นจำนวนมาก
“สำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานดูเข้าท่ามาก แม้ว่าสำนักนี้จะมีศิษย์ไม่มากนัก แต่เป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดใน 4 สำนักใหญ่ สำนักกระบี่แห่งเขาซูซานนี้ได้สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ”
“ศิษย์ทุกคนที่เข้าร่วมจะได้รับกระบี่บินแห่งโชคชะตาที่สำนักมอบให้ สวัสดิการนี้ถือว่าดีกว่าสำนักอื่นมาก”
เจียงหลีเอ่ยพร้อมกับชี้ไปที่ชื่อสำนักในหนังสือ
“ใช่แล้ว สำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานได้รับการขนานนามว่ามีหลักคำสอนที่มีมาแต่ช้านานและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในเขาฉงซาน แต่ข้อกำหนดในการรับสมัครศิษย์ของพวกเขาก็มีความพิเศษกว่าสำนักอื่น ๆ”
“นอกจากสำนักนี้จะรับเฉพาะศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณสูงกว่าระดับกลางเท่านั้นแล้ว ศิษย์คนดังกล่าวยังต้องมีพรสวรรค์พิเศษที่เรียกว่า ‘หัวใจแห่งกระบี่’ ด้วย มิฉะนั้น แม้แต่ศิษย์ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดก็จะถูกพวกเขาปฏิเสธ”
“โอ้! แม้แต่รากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดก็ยังถูกปฏิเสธอย่างนั้นหรือ? หัวใจของกระบี่นี้เป็นพรสวรรค์แบบไหนกัน?”
หลังจากที่เจียงหลีได้ยินคำอธิบายของสหาย เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ตามหลักเหตุผลแล้ว ความเร็วในการฝึกตนโดยเฉลี่ยของผู้ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดคือ 3 เท่าของผู้ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงและเป็น 9 เท่าของผู้ที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง
สำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานกล้าที่จะปฏิเสธคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูงสุดจริงหรือ?
พวกเขาจะเคร่งครัดเกินไปแล้ว!
“เอาล่ะ เราไปทดสอบกันดีกว่าว่าเรามีพรสวรรค์หัวใจแห่งกระบี่ตามที่พวกเขากำหนดไว้หรือไม่ แล้วเราค่อยมาพิจารณากันทีหลังว่าเราควรจะเข้าร่วมสำนักใดหากเราล้มเหลว”
นอกเหนือจากสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานแล้ว ยังมีสำนักใหญ่อีก 3 สำนัก ได้แก่ วัดชีหัง, สำนักไป่เหลียนซานและสำนักชั่งจิงกู่
วัดชีหัง เป็นสำนักที่ศึกษาหลักคำสอนทางพุทธศาสนาที่เชี่ยวชาญในการปรับปรุงร่างกายให้กลายเป็นเพชรเพื่อความอยู่ยงคงกระพัน ซึ่งคล้ายกับสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซาน พวกเขาเชี่ยวชาญในการฆ่าและมีความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา
สำนักไป่เหลียนซาน เป็นสำนักสนับสนุนที่เชี่ยวชาญในการหลอมศาสตราวุธและการปรุงโอสถวิญญาณ พวกเขาอาจจะไม่เก่งในด้านการต่อสู้ แต่โอสถวิญญาณที่พวกเขาปรุงขึ้นมาและอุปกรณ์วิญญาณครึ่งหนึ่งในเขาฉงซานมาจากสำนักแห่งนี้
ส่วนลำดับสุดท้าย ในตอนที่เจียงหลีเห็นชื่อสำนักชั่งจิงกู่เป็นครั้งแรก เขาคิดว่ามันเป็นสำนักที่เก่าแก่มาก เหตุผลที่เขาคิดแบบนั้นเป็นเพราะว่าสำนักแห่งนี้เรียกตัวเองว่าที่จัดเก็บพระคัมภีร์
แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นสำนักที่มีอายุน้อยที่สุดใน 4 สำนักใหญ่ ซึ่งสำนักนี้ก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่เกิน 200 ปี ว่ากันว่ากลุ่มนักพรตไร้สำนักเป็นผู้ก่อตั้งสำนักแห่งนี้ ส่วนเหตุผลดูเหมือนจะมาจากการที่พวกเขาบังเอิญไปขุดพบซากปรักหักพังโบราณ สำหรับรายละเอียดเบื้องลึกของสำนักยังไม่มีใครที่อยู่ในกลุ่มแหล่งข่าวของพวกเขาทราบแน่ชัด
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน สมัชชาแห่งพรรคเซิงเซียนก็ปรากฏเข้ามาในสายตาแล้ว
มันเป็นสถานที่ที่เหมือนกับในนิยายแฟนตาซี สถานที่นี้มีเรือนไม้แบบจีนโบราณขนาดต่าง ๆ ตั้งกระจัดกระจายอยู่บนพื้นที่ ทำให้ดูคล้ายกับเป็นเมืองเล็ก ๆ
เวลานี้สมัชชาแห่งพรรคเซิงเซียนคราคร่ำไปด้วยศิษย์ที่กำลังจะบรรลุนิติภาวะหลายคนอย่างเช่น เจียงหลี ซึ่งมีอายุยังไม่ถึง 16 ปี พวกเขาทั้งหมดมีสีหน้าตื่นเต้นในขณะที่พวกเขาเดินเยี่ยมชมเรือนต่าง ๆ ภายในเมือง
"เอาล่ะ! คุณชายและคุณหนูทุกท่าน! ยินดีต้อนรับสู่สมัชชาแห่งพรรคเซิงเซียน! พวกเจ้าจะต้องตัดสินใจเลือกเข้าร่วมสำนักที่นี่แล้วหลังจากนั้นค่อยติดตามศิษย์พี่และผู้อาวุโสของพวกเจ้ากลับไปฝึกตนที่สำนัก”
“ข้า! ฝูจงผู้นี้สามารถส่งพวกเจ้าได้ถึงแค่ตรงนี้เท่านั้น ตอนนี้พวกเจ้าสามารถเข้าไปเลือกสำนักของพวกเจ้าได้เลย!!”
“เรือนที่ตั้งอยู่บนเกาะแต่ละเรือนเป็นตัวแทนของสำนัก ที่ทางเข้าของแต่ละเรือนจะมีแผ่นศิลาที่มีข้อมูลเกี่ยวกับสำนักอยู่”
“พวกเจ้าสามารถตรวจสอบแผ่นศิลาทุกแผ่นได้ แต่ข้าจะให้คำแนะนำแก่พวกเจ้าสักอย่างหนึ่ง เมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเข้าร่วมสำนักใดแล้ว พวกเจ้าจะไม่มีทางหันหลังกลับได้อีก หากใครก็ตามทรยศสำนักของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด คน ๆ นั้นจะถูกทางสำนักลงโทษ”
“สุดท้าย หากใครต้องการเข้าร่วมพรรคเซิงเซียน เชิญไปยังเรือนหลังที่เจ็ดทางซ้ายมือได้เลย”
หลังจากที่ฝูจงกล่าวจบ เขากวาดตามองดูเด็กทุกคนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปในอากาศ
แล้วเหล่าเด็กใหม่ที่ยืนอยู่บนลานกว้างก็เดินเข้าไปปะปนกับศิษย์กลุ่มแรกทันที
ทางด้านเจียงหลีและสหายของเขาเดินนำลูกน้องทั้ง 19 คนมุ่งหน้าตรงไปยังเรือนซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซาน
พอพวกเขาไปถึงที่สำนักก็เห็นว่ามีคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะท้ายที่สุดแล้วสำนักเซียนแห่งนี้เป็นสำนักที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในเขาฉงซาน ไม่ว่าใครก็ต้องอยากมาลองทดสอบพรสวรรค์พิเศษของตนเองกันทั้งนั้น
ในขณะนี้พวกเจียงหลีเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังถือกระบี่ยาวขึ้นสนิมแล้วชี้ตรงไปข้างหน้า ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ค่อย ๆ วางกระดาษสีขาวบนคมกระบี่อย่างนุ่มนวลด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“กระดาษไม่ขาด เจ้าไม่มีคุณสมบัติ!”
ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มที่ถือกระบี่อยู่จึงวางกระบี่ที่ขึ้นสนิมลงที่เดิมก่อนจะเดินกลับเข้าไปรวมกับฝูงชนด้วยสีหน้าผิดหวัง
“การทดสอบนี้ดูเหมือนจะมีไว้สำหรับคนที่ใช้กระบี่สนิมเขรอะนั่นตัดกระดาษได้โดยไม่ต้องออกแรงฟันกระดาษ”
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้เจียงหลีตกตะลึงไปชั่วครู่
นี่มันเป็นการทดสอบแบบไหนกัน?
เป็นไปได้ไหมว่ากระบี่ที่ขึ้นสนิมเล่มนั้นมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่?
เด็กหนุ่มจึงเรียกใช้ทักษะการประเมินอย่างไม่รอช้า
[ชื่อ: กระบี่เหล็กขึ้นสนิม]
[ประเภท: อาวุธ]
[เกรด: ไม่มี]
[หมายเหตุ: ขยะที่ไร้ประโยชน์]
เมื่อมองดูจากภายนอกแล้ว มันดูเหมือนกระบี่ขึ้นสนิมธรรมดา ๆ เท่านั้น
“ศิษย์พี่ การทดสอบนี้เราต้องทำอย่างไร? เราไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ศิษย์พี่ โปรดชี้แนะพวกเราด้วย”
ก่อนหน้านี้เจียงหลีกับเหยียนหงยืนสังเกตการณ์มาพักหนึ่ง และหลังจากมีคนอีกสองสามคนทำการทดสอบล้มเหลว ในที่สุดเจียงหลีก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปขอคำชี้แนะจากศิษย์ในสำนักคนหนึ่ง
ต่อมา เซียนกระบี่จากสำนักอู่ซิงแห่งยอดเขาซูซานเหลือบตามองเด็กหนุ่มเล็กน้อยพลางพ่นลมหายใจออกมาราวกับว่าเขาไม่พอใจกับคำถามของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม เขายังคงเอื้อมมือออกไปหยิบกระบี่ที่ขึ้นสนิมมาแล้วยกมันขึ้นมาต่อหน้าตนเอง ถัดมา เขาหยิบกระดาษสีขาวมาแผ่นหนึ่งก่อนจะปล่อยลงบนคมกระบี่ที่เต็มไปด้วยสนิมในมือเบา ๆ
วินาทีนั้นกระดาษแผ่นบางค่อย ๆ ลอยลงมา เมื่อมันสัมผัสกับกระบี่ แผ่นกระดาษที่ควรจะเลื่อนตกจากใบมีดทื่อ ๆ ก็ถูกผ่าออกเป็นสองชิ้นแล้วล่องลอยไปตามสายลม
นะ…นี่มัน!
ในตอนนั้นเอง ใบหน้าของเจียงหลีก็ตกตะลึงและเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
มันจะมหัศจรรย์เกินไปแล้ว!
“กระบี่อาจขึ้นสนิมได้ แต่ไม่ใช่หัวใจ นี่คือคุณสมบัติที่เซียนกระบี่ทุกคนต้องมี”
ชายผู้เป็นศิษย์พี่กวาดตามองการแสดงออกของพวกเจียงหลีและเด็กคนอื่น ๆ ที่จับจ้องมายังเขา นี่หมายความว่าเขาประสบความสำเร็จในการแสดงพรสวรรค์พิเศษในครั้งนี้ และมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นแล้วเขายังให้คำอธิบายเพิ่มเติมอีกสองสามคำ
“ศิษย์พี่ ขอข้าลองหน่อยได้ไหม” เจียงหลีหยิบกระบี่และเขย่ามันอย่างแรงจนมีเสียงดังขึ้นพร้อมกับที่สนิมจำนวนมากหลุดออกจากกระบี่จนทำให้ตัวกระบี่ดูดีขึ้นกว่าเดิม
“ศิษย์พี่ มาเริ่มกันเถอะ!”
หางตาของเซียนกระบี่กระตุกและเขาก็รู้สึกพูดไม่ออก ‘เจ้าเด็กคนนี้โกงอย่างหน้าด้าน ๆ ต่อหน้าทุกคน แล้วทำไมเขาถึงมั่นใจมากขนาดนั้น?’
แต่ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มก็ไม่สนใจท่าทางของอีกฝ่ายแล้วหยิบกระดาษขึ้นมาปล่อยลงบนกระบี่ในมือของตัวเอง
แน่นอนว่า เจียงหลีผู้ซึ่งหลงตัวเองว่าฉลาดที่สุดในโลกนั้นไม่มีพรสวรรค์หัวใจแห่งกระบี่ และแม้แต่การสะบัดสนิมก็ไม่สามารถลับคมกระบี่ได้เช่นกัน เมื่อเห็นแผ่นกระดาษหยุดบนใบมีดโดยไม่มีทีท่าว่ากระดาษจะขาด นั่นหมายความว่าเขาสอบตกอย่างไม่ต้องสงสัย…
ถัดมา เหยียนหงก็ขึ้นไปบนลานเพื่อทำการทดสอบเป็นคนถัดไป แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างจากสหายคนสนิท เขาเองก็ไม่มีพรสวรรค์นี้เช่นกัน ทั้งสองคนจึงทำได้เพียงเดินคอตกออกจากเรือนไปด้วยความเหี่ยวเฉา
-------------------------------------------
อากิระ talk: ใครแอบผวนชื่อวัดชีหัง สารภาพมาซะดี ๆ !!