Your Wishlist

ขอโทษที! ความโกงของฉันคือเวลาบัพไม่จำกัด (บทที่ 11: ล้างสมอง)

Author: Turtle Shell and Hemp Rope (Akira แปล)

กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!

จำนวนตอน : 500+

บทที่ 11: ล้างสมอง

  • 16/06/2565

ไม่กี่นาทีต่อมา เหยียนหงก็กลับมาพร้อมกับใบสัญญาแห่งจิตวิญญาณและปากกาแห่งจิตวิญญาณ ซึ่งสัญญาที่ถูกที่สุดมีราคาเท่ากับหินวิญญาณ 5 ก้อน และปากกาแห่งจิตวิญญาณที่ถูกที่สุดมีราคาเท่ากับหินวิญญาณ 1 ก้อน จนถึงตอนนี้ เงินที่พวกเขานำมารวมกันเพื่อจุดประสงค์ในการตั้งกลุ่มนั้นถูกใช้ไปหมดแล้ว

 

ขณะนี้องค์ชายน้อยเดินมานั่งลงบนโต๊ะอาหารก่อนจะเขียนอะไรลงไปในใบสัญญาแห่งจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็ร่าง ‘หลักฐานแสดงความจงรักภักดี’ เสร็จ

 

[หลักฐานแสดงความจงรักภักดี: คำปฏิญาณของพี่น้องร่วมสาบาน ข้าขอสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อกันแม้จะอยู่ในสถานการณ์แห่งความเป็นความตาย ชีวิตหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับวาสนาหรือเคราะห์กรรม มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามทุกข์ยาก…]

 

แน่นอนว่าข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคำพูดที่สวยหรู เพราะความจริงแล้วข้อกำหนดในสัญญานี้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่ามันมีเพียงความหมายเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ การจงรักภักดีต่อกลุ่มของตนเอง

 

ต่อมา เจียงหลีและเหยียนหงก็ลงนามของพวกเขาที่ด้านบนแล้วเตรียมเอาใบสัญญาแห่งจิตวิญญาณนี้ไปให้คนอื่นลงนามด้วย

 

นอกเหนือจากนี้พวกเขาก็ไม่ได้ทำสัญญานี้เหมือนเป็นสัญญาทาสที่ไม่มีวันยกเลิก เหยียนหงได้กำหนดระยะเวลาสัญญาไว้ 18 เดือน หลังจากครบกำหนดแล้ว คนที่ลงนามก็จะเป็นอิสระ

 

แม้ว่าสัญญานี้จะเป็นการเอาเปรียบคู่สัญญา แต่มันก็ดีกว่าการถูกบังคับใช้แรงงานเป็นเวลา 2 ปีอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ข้อดีอย่างหนึ่งของสัญญานี้ก็คือ ระยะเวลาที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์จะสั้นลงครึ่งปี แม้ว่าเหยียนหงจะเอาเบี้ยเลี้ยงรายเดือนของพวกเขามาทั้งหมด แต่พวกเขาก็ยังสามารถฝึกตนอยู่ในสำนักเซียนได้อยู่ดี

 

ยังไงก็ดีกว่าเสียเวลาไปเปล่า ๆ นานถึง 2 ปี!

 

“เอาล่ะ แค่นี้ก็น่าจะใช้ได้แล้ว แต่เราก็ยังจำเป็นต้องคัดคนเข้ากลุ่มก่อน เพราะถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะมีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำ แต่ความสามารถของพวกเขาก็ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว ข้าเองก็จำชื่อพวกเขาได้ไม่กี่คน เอาเป็นว่าเราเลือกจากตรงนี้ก่อนแล้วกัน”

 

แม้ว่าคนสองคนจะมีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับต่ำเหมือนกัน แต่หากใครเติมลูกแก้วทดสอบพลังวิญญาณได้มากกว่ากัน พรสวรรค์ตามธรรมชาติของคน ๆ นั้นก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากเด็กหนุ่มทั้งสองต้องการคัดเลือกคนเข้ากลุ่ม พวกเขาจึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

 

"ข้ารู้ รอฟังข่าวดีจากข้าได้เลย!” เหยียนหงกล่าวจบแล้วก็วิ่งออกไป

 

คราวนี้อีกฝ่ายหายไปนานกว่าคราวก่อน  เจียงหลีเลยหาโต๊ะว่างนั่งระหว่างรอ เวลาผ่านไปไม่นาน คนที่ไม่กล้าเข้ามาพูดคุยกับเขาก่อนหน้านี้ก็เดินมาทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเหยียนเฟิงเยว่และสาวสวยอีกสองสามคนรุมล้อมเขาพร้อมกับเรียกเขาว่าพี่ใหญ่เจียง มันทำให้เขารู้สึกดีมากจริง ๆ

 

เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ต้องการเพียงแค่คนที่จะมาคอยสนับสนุนพวกเขา ทำให้ในเวลานี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ยกระดับของตนเองขึ้น

 

จากนั้นก็มีคนอีกหลายกลุ่มถูกนำเข้ามาในห้องรับรอง และในไม่ช้าห้องที่กว้างขวางนี้ก็มีชีวิตชีวาขึ้น

 

หนึ่งในนั้นมีกลุ่มของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่ดูเหมือนจะมีอายุมากกว่าคนอื่นซึ่งสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายและผ่านการสวมใส่มานานจนฉีกขาด

 

เมื่อมองดูจากภายนอกแล้ว คนพวกนี้น่าจะเป็นกลุ่มเด็กที่ถูกบังคับให้ใช้แรงงานอย่างหนักเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

 

ในขณะนี้พวกเขากำลังนั่งเบียดเสียดกันอยู่ที่มุมห้องรับรองเหมือนฝูงนกกระทา อีกทั้งพวกเขาไม่กล้าพูดคุยกันเสียงดังหรือไม่ค่อยเดินไปหยิบอาหารมากินกัน รวมไปถึงดวงตาของพวกเขาไม่แสดงความยินดียินร้ายและไม่มีความชีวิตชีวาหลงเหลืออยู่เลย

 

หากสังเกตดูดี ๆ แล้ว คนกลุ่มนี้มีมากกว่าหนึ่งพันคน แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบอย่างน่าประหลาดใจ มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับกลุ่มของพวกเจียงหลีที่มีแค่ไม่กี่ร้อยคน

 

นี่คือกลุ่มคนที่เผชิญกับโลกอันโหดร้ายทารุณมาตลอดระยะเวลา 2 ปี แม้ว่าพวกเขากำลังจะได้เป็นศิษย์สำนักเซียนในอนาคต แต่พวกเขาก็ยังเป็นคนชนชั้นต่ำที่ยังต้องทำงานหนักเพื่อคอยรับใช้ผู้ที่อยู่สูงกว่าตนเองอยู่ดี

 

เมื่อลองเปรียบเทียบกับชีวิตเก่าของเจียงหลีแล้ว เขาก็ไม่ต่างจากคนพวกนี้ที่เรียบจบแล้วจะต้องไปเป็นลูกน้องคอยทำตามคำสั่งของคนที่มีอำนาจมากกว่า

 

ที่ใดมีคน ที่นั่นย่อมมีชนชั้น… ที่ใดมีชนชั้น ที่นั่นย่อมมีการแสวงหาผลประโยชน์… สิ่งเหล่านี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม

 

มีทางเดียวเท่านั้นที่จะรอดพ้นจากชะตากรรมของการถูกเอารัดเอาเปรียบ นั่นก็คือการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น...

 

แผนของเหยียนหงคือการสะสมเงินทุนด้วยวิธีการอันโหดร้าย ซึ่งมันเป็นขั้นตอนแรกในการบรรลุเส้นทางของความเป็นเซียน

 

แน่นอนว่าในโลกที่มีเซียน มาร เทพและภูติผีนั้นทุกสิ่งทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง หากผู้ใดไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเอง ไม่ว่าพวกเขาจะหาหินวิญญาณมาได้กี่ก้อน พวกเขาก็ยังไม่สามารถเอาตัวรอดได้เหมือนจอกแหนไร้รากที่ลอยไปตามกระแสน้ำอย่างควบคุมไม่ได้

 

เวลาต่อมา เมื่อฝูจงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคนอื่น ๆ ในที่สุดเหยียนหงก็กลับมาที่ห้องรับรอง แล้วข้างหลังเขามีเด็กอีก 19 คนที่ทำท่าทางเหมือนเป็นผู้รอดชีวิตจากเคราะห์ร้าย โดยที่ในกลุ่มมีผู้ชายทั้งหมด 10 คนและผู้หญิงอีก 9 คน

 

“นี่คือน้องชายของข้า เจียงหลี คำนับเขาเร็วเข้า!”

 

“พี่ใหญ่เจียงหลี!”

 

เด็กหนุ่มตัวใหญ่ตำหนิพวกเขาอย่างเข้มงวด ทำให้เด็กทั้ง 19 คนรีบก้มตัวคำนับเจียงหลี 90 องศาและไม่กล้าที่จะยืดหลังให้ตรงก่อนจะได้รับคำตอบรับจากอีกฝ่าย

 

เจียงหลีหันไปมองเหยียนหงด้วยความประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าสหายเจ้าเนื้อจะมีความสามารถเช่นนี้ เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นคนที่มาจากโลกเดียวกับเด็กหนุ่มแล้วมาเกิดใหม่ที่นี่เหมือนกัน? แล้วชาติก่อนเขาเคยเรียนสาขาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ด้วยหรือไม่?

 

เหยียนหงเลิกคิ้วและกระซิบคำพูดสองสามคำที่ข้างหูของเจียงหลี ก่อนที่จะมอบสัญญาให้เขาเก็บไว้เพื่อความปลอดภัย

 

มันกลับกลายเป็นว่าองค์ชายน้อยคนนี้กลับมาช้ามากเพราะเขาต้องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากสถานการณ์ให้ได้มากที่สุด และถือโอกาสนี้ในการพูดโน้มน้าวจิตใจให้คนทั้ง 19 คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าเชื่อถือและคล้อยตามเขา (การล้างสมอง)

 

จากพฤติกรรมของเด็กทั้ง 19 คนแสดงให้เห็นว่าการพูดโน้มน้าวจิตใจนั้นได้ผลจริง ๆ

 

“เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ” เมื่อเจียงหลีพูดอย่างนั้น พวกเขาทั้งหมดก็กล้าที่จะกลับมายืนตัวตรง ทว่าพวกเขายังคงก้มหน้าก้มตาไม่กล้าเงยหน้ามองเจียงหลีและเหยียนหง

 

“ตามพวกเรามา”

 

สมัชชาของโลกเซียนไม่ได้อยู่ในพรรคเซิงเซียน แต่ใช้ที่นี่เป็นศูนย์กลางในการรวมตัวกันในโลกมนุษย์ก่อนที่จะเดินทางไปยังโลกเซียน

 

อาจเป็นเพราะเซียนส่วนใหญ่ไม่ชอบความวุ่นวายของโลกมนุษย์ ดังนั้นทุกปีการคัดเลือกศิษย์จึงถูกจัดขึ้นบนเกาะกลางทะเลสาบด้านหลังพรรคเซิงเซียน

 

ทว่า…

 

“น้องหลี เจ้าแน่ใจหรือว่าสิ่งนี้คือเรือ และข้างหน้านั่นคือทะเลสาบ” เหยียนหงดึงแขนสหายเข้ามาแล้วกระซิบถามเสียงเบา เนื่องจากในตอนนี้เขามีลูกน้องยืนอยู่ข้างหลังเขา ในฐานะที่เด็กหนุ่มเป็นผู้นำ เขาไม่ควรแสดงความโง่เขลาให้คนอื่นเห็น 

 

“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนี้มันสำคัญตรงไหน? มันก็แค่ใหญ่กว่าเรือปกตินิดหน่อยเท่านั้น” เจียงหลีกล่าวพลางมองดูเรือเหาะที่มีความสูงอย่างน้อย 6 จั้งและตรงหน้าเขาเป็นทะเลสาบกว้างที่มีคลื่นซัดเข้ามาเป็นระยะ ๆ ก่อนที่เขาจะเดินขึ้นเรือด้วยท่าทางสงบ

 

จนถึงตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าโลกนี้ดูเหมือนจะใหญ่กว่าโลกในชีวิตก่อนหน้ามาก ราวกับว่าทุกอย่างถูกขยายให้ใหญ่ขึ้น

 

แล้วถ้ามีทะเลสาบกว้างขนาดนี้ มันก็ต้องมีเกาะอยู่ใช่ไหม?

 

เมื่อมองดูผู้คนมากกว่าสองพันคนที่อยู่รอบตัว มันจึงสมควรแล้วที่เรือจะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะรองรับพวกเขาทั้งหมดใช่ไหม?

 

ตามสิ่งที่เหยียนหงรู้มาจากผู้อาสุโสฝู เขาบอกว่าการเดินทางจะใช้เวลาเพียงวันเดียวและพวกเขาจะไปถึงเกาะกลางทะเลสาบในวันพรุ่งนี้

 

เจียงหลีสังเกตเห็นว่าแม้เรือลำนี้จะมีขนาดใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าเรือจะใช้พลังพิเศษบางอย่างในการขับเคลื่อน ทำให้เรือแล่นได้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องใช้เวลา 1 วัน 1 คืนในการเดินทางไปให้ถึงจุดหมาย ทะเลสาบแห่งนี้ใหญ่โตจนเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก

 

และเนื่องจากเหยียนหงมีรากฐานทางจิตวิญญาณระดับสูง กลุ่มของพวกเขาจึงได้ห้องพักที่ค่อนข้างกว้างขวางและสะดวกสบาย

 

หลังจากที่เจียงหลีเรียกลูกน้องทั้งหมดมารวมตัวกันแล้ว เหยียนหงก็เริ่มเปิดพูดปลุกใจสมาชิกในกลุ่มอีกครั้ง

 

"ไม่ต้องห่วง เหยียนหงกับข้าไม่ใช่คนใจจืดใจดำ อย่ากังวลไปเลย ขอแค่พวกเจ้าพยายามอย่างเต็มที่ พวกเราก็จะดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างดี”

 

“ลองก้มลงมองดูตัวเองแล้วมองมาที่เรา พวกเราเป็นกลุ่มคนที่อายุยังน้อยและแข็งแรง ในอนาคตเราจะต้องดีกว่านี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ตราบใดที่พวกเจ้าเชื่อฟังคำสั่งของเราและเต็มใจที่จะบุกป่าฝ่าดงไปด้วยกัน เมื่อกลุ่มขยายใหญ่จนแข็งแกร่งขึ้น พวกเจ้าจะเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มแรกของเรา แล้วเราจะไม่ลืมคุณความดีของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

 

“ตั้งแต่นี้ต่อไป ข้าจำเป็นจะต้องเข้มงวดกับพวกเจ้า และข้าต้องการให้พวกเจ้าทำให้เต็มที่”

 

“นี่ไม่ใช่เพื่อเราสองคนเท่านั้น แต่มันเป็นอนาคตของเราทุกคน เราจะแสวงหาความเป็นอมตะด้วยกัน บอกข้าที พวกเจ้าทุกคนอยากจะเป็นเซียนหรือไม่!?”

 

"อยาก!"

 

“พวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ตลอดไปไหม!?”

 

"อยาก!"

 

"ดี! พวกเจ้าทุกคนยอดเยี่ยมมาก ข้าไม่สนใจความสามารถของพวกเจ้า ข้าสนใจแค่ความตั้งใจของพวกเจ้าเท่านั้น!”

 

“จงบอกความตั้งใจของเจ้ามา!”

 

“เราจะทำให้เต็มที่! เราจะทำให้เต็มที่!”

 

“จงแสดงความมุ่งมั่นของพวกเจ้าให้ข้าได้เห็น! สู้ไม่สู้!?”

 

“สู้! สู้! สู้!”

 

เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกันไปพักผ่อน ใบหน้าของเด็กทั้ง 19 คนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงยิ้มและตั้งตารอคอยอนาคตที่กำลังจะมาถึง

 

-------------------------------------------

อากิระ talk: มีใครคิดเหมือนเราบ้างว่าคำปฏิญาณของพี่น้องร่วมสาบานให้อารมณ์เหมือนคำปฏิญาณของคู่บ่าวสาวในงานแต่ง 5555

 

1/6/2022
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป