กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“นี่เจ้า! เจ้ากล้าดียังไงมาตอบโต้พวกเรา!”
“เข้าไปพร้อมกันเลย! ตีมันให้ตาย!”
เด็กอันธพาลที่เหลือมีสีหน้าโกรธจัด พวกเขากระชับท่อนไม้ในมือแล้วพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมทันที
ในความคิดของพวกเขาตอนนี้ ภาพลักษณ์ที่ดูขี้ขลาดของเจียงหลีนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นอกจากเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่ยกมือขึ้นกุมศีรษะพลางร้องขอความเมตตาแล้ว เขายังกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรงอีกด้วย
ทางด้านของเจียงหลีก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้าไปใกล้หนึ่งในนั้น ก่อนจะวาดขาเตะอีกฝ่ายเต็มแรง
เด็กคนนั้นก็ตอบสนองได้รวดเร็วโดยการยกท่อนไม้ขึ้นมาป้องกันลูกเตะที่พุ่งเข้ามา
หลังจากที่เจียงหลีเตะท่อนไม้ก็เกิดเสียงปะทะดังขึ้น แต่เขาไม่สูญเสียจังหวะและเตะเข้าไปที่หน้าท้องของศัตรู ทำให้คนที่ถูกเตะลอยกระเด็นออกไปในทิศทางเดียวกับเด็กคนแรก
“เจ้าชะตาขาดแล้ว! เจ้ากล้าทำร้ายหลี่เฉา คุณชายสามแห่งตระกูลหลี่ของเรา ตระกูลหลี่มีกองกำลังอยู่ในมือมากมาย! เจ้าและครอบครัวของเจ้าต้องตายแน่ ๆ!”
เด็กที่เพิ่งถูกทำร้ายดูเหมือนจะมีพ่อแม่ที่มีตำแหน่งค่อนข้างสูงในเมือง เด็กบางคนที่มีนามสกุลหลี่เช่นกันหันไปจ้องศัตรูเขม็งพร้อมกับสาปแช่งเขาไปด้วย แล้วกลุ่มเด็กอันธพาลก็พุ่งเข้ามาหาเขาด้วยความกระหายเลือด
ระหว่างที่วิ่งไปข้างหน้าพวกเขาทั้งหมดก็ทิ้งไม้ในมือลงแล้วชักกระบี่ออกมาจากเอว
ทางด้านของเจียงหลี เขาจะยอมเปิดโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าประชิดตัวได้อย่างไร? เวลานั้นเขากระโจนไปข้างหน้า 3 ก้าว กวัดแกว่งกระบี่และฟาดเข้าที่ศีรษะของเป้าหมายก่อนที่พวกมันจะสามารถชักอาวุธออกมาได้
พอรู้ตัวอีกทีฝ่ายที่ถูกโจมตีก็ล้มลงกับพื้นแล้ว พร้อมกับที่หัวของพวกเขามีเลือดออกและเจ็บจนลุกไม่ขึ้น
เจียงหลีเตะกระบี่ของพวกมันออกไปด้านข้างแล้วเตะซ้ำไปที่ท้องของแต่ละคน จากนั้นเขาก็มองไปทางเด็กสองคนที่ยังยืนอยู่
ในขณะนี้เด็กทั้งสองชักกระบี่ออกมาแล้ว แต่พวกเขายังคงยืนทำอะไรไม่ถูกหลังจากที่เห็นพรรคพวกถูกซัดจนหมอบ
"เจ้า! เจ้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร? แต่ก่อนเจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้!”
เจียงหลีคนก่อนหน้านี้ที่อ่อนแอจนถูกพวกเขารุมทำร้ายจนปางตาย จู่ ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นมาและเอาชนะพวกเขาได้อย่างง่ายดายราวกับผู้ใหญ่รังแกเด็ก
เด็กทั้งเจ็ดคนรู้สึกยอมรับไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในขบวนรถม้ามาโดยตลอด
“เจียงหลี เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หวังหลินและหลี่เฉาเป็นคนทำ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”
“เจ้ากำลังทำให้ตระกูลหวังและตระกูลหลี่ขุ่นเคือง บัดนี้เจ้าได้ระบายความโกรธของเจ้าแล้ว พอแค่นี้เถอะ เราสามารถช่วยเจ้าเขียนอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตและสัญญาว่าจะช่วยเจ้าอ้อนวอนขอลดโทษ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะพาคนในตระกูลของเจ้าพินาศกันทั้งหมด!”
เมื่อทั้งสองคนเห็นเจียงหลีมองมา พวกเขาก็ถอยหลังออกไป 2 ก้าวในขณะที่พยายามข่มขู่เขาไม่หยุด
"โอ้~ อย่างนั้นหรือ? เราอยู่ห่างจากหงหยานมาหลายพันลี้แล้วใช่ไหม หากพวกเจ้ายังสามารถส่งจดหมายได้ก็ลองดูสิ”
เจียงหลีกล่าวระหว่างที่ก้าวไปข้างหน้าเรื่อย ๆ คำข่มขู่ของอีกฝ่ายไม่ทำให้เขารู้สึกไขว้เขวแม้แต่น้อย
แล้วเด็กหนุ่มสองคนก็ก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะบังเอิญสะดุดรากไม้ล้มลงกับพื้น
เจียงหลีจึงใช้โอกาสนี้ตวัดกระบี่ของเขาเพื่อปัดกระบี่ในมือของฝ่ายตรงข้ามจนกระเด็นตกลงบนพื้น
วินาทีต่อมา เขากางกรงเล็บคล้ายกับเสือแล้วเอื้อมมือไปคว้าแขนขวาของพวกมัน ตามมาด้วยเสียงกระดูกแตกสองครั้ง แล้วแขนของพวกมันก็ห้อยลงข้างลำตัว
พวกเขาล้วนแต่เป็นทายาทรุ่นที่สองที่มีคนคอยเอาอกเอาใจ ดังนั้นพวกเขาจึงทนต่อความเจ็บปวดเช่นนี้แทบไม่ไหว ทำให้เด็กหนุ่มที่ถูกโจมตีทั้งสองกุมแขนล้มตัวลงกับพื้นแล้วโอดครวญด้วยความเจ็บปวด
จนกระทั่งเจียงหลีฟาดคนที่นอนทุรนทุรายสองครั้งอย่างแรงจนในที่สุดพวกมันก็แน่นิ่งไป
“ข้าขอแนะนำให้เจ้าเลิกเสแสร้งแล้วลุกขึ้นมาซะ โดยเฉพาะเจ้า ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้าเจ้าไม่ลุกขึ้นมาคุกเข่าต่อหน้าข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะหักขาเจ้าทิ้ง!”
“หนึ่ง สอง สาม … ฮ่า ๆ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่มีกระดูกสันหลังกันสักคนเลยสินะ”
เด็กหนุ่มนับถึงสามแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครขยับ เหล่าเด็กที่นอนอยู่บนพื้นทำเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองคนที่ออกคำสั่งด้วยสายตาเกลียดชัง
ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่ยอมคุกเข่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำอะไรตนเองอย่างแน่นอน
“พวกเจ้านี่ช่างใจกล้าเสียจริง อะไรที่ทำให้พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนมีเมตตา?”
เขากล่าวจบแล้วเดินไปยกหินขนาดเท่าหัวคนขึ้นมาก่อนจะเดินไปหาหวังหลินซึ่งเป็นคนที่เสียงดังที่สุดและเป็นหัวโจกในการรุมทำร้ายเขา
เจียงหลีไม่รอช้า เขาทุ่มหินใส่ขาของหวังหลินทันที
แกร๊ก!
หลังเกิดเสียงแตกหักดังขึ้น ขาของหัวหน้ากลุ่มเด็กอันธพาลก็ผิดรูปร่างแล้วมีกระดูกสีขาวแทงทะลุเนื้อออกมา
เขาพยายามยกขาข้างที่หักขึ้นมากุมตามสัญชาตญาณ แต่ขณะนี้เจียงหลีเหยียบหน้าอกของเขาอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้
เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารจึงทำได้แค่กรีดร้องและจิกมือลงไปบนพื้นเพื่อบรรเทาความเจ็บ
“อย่ากังวลไปเลย เจ้ายังมีขาเหลืออยู่อีกตั้งสองขา รอข้าหักมันให้ครบก่อนแล้วค่อยแหกปากทีเดียวก็ได้”
"อ๊ากกก! ไม่ ไม่ ไม่! อย่า! ข้าผิดไปแล้ว! เจียงหลี ข้าผิดไปแล้ว! ข้าจะคุกเข่า! ข้าจะคุกเข่าขอโทษเจ้า! ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว! อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา!”
เสียงร้องโหยหวนของหวังหลินเสียดแทงเข้าไปในใจของเด็กคนอื่น ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจนสุดขีด
“มันไม่ได้แค่ขู่เรา! มันจะหักขาเราจริง ๆ!”
กลุ่มเด็กอายุ 13-14 ปีจะทนรับความอัปยศนี้ได้อย่างไร? พวกเขาเติบโตขึ้นมาเพื่อกดขี่ข่มเหงคนอื่นและคำว่า ‘ยอมแพ้’ ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของพวกเขา…
แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องยอมจำนนและลุกขึ้นมาคุกเข่าอยู่ข้างหวังหลินที่กำลังตะเกียกตะกายพยุงตัวเองลุกขึ้น
“บอกข้าที คิดว่าสิ่งที่พวกเจ้าทำนั้นผิดหรือไม่” เจียงหลีกอดกระบี่พลางกล่าวเยาะเย้ย
“เราผิดเอง! เราผิดเอง! เจียงหลี เรามาหาเรื่องเจ้าโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ เราขอโทษ…"
น้ำเสียงที่พวกเขาพูดออกมาไม่มีความจริงใจอยู่เลย
“ไม่เลว เด็กดีรู้ว่าเมื่อใดควรขอโทษ ข้าจะยอมรับคำขอโทษของพวกเจ้าเอาไว้แล้วกัน แต่ว่านะ นายน้อยทั้งหลาย พวกเจ้าจะจ่ายเท่าไหร่เพื่อแลกกับขาของพวกเจ้า?”
เจียงหลียิ้มในขณะที่เขามองไปยังถุงผ้าตุง ๆ ของเหล่าเด็กตรงหน้า ในถุงใบนั้นคงจะมีของดี ๆ อยู่มากมาย
“...งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะเรียกราคาเอง จงมอบป้ายหยกและหินวิญญาณของพวกเจ้ามาให้หมด!”
ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเหยียนหง ป้ายหยกของเขาคงจะถูกคนพวกนี้แย่งชิงไปแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ต้องให้ศัตรูชดใช้ เขาคงไม่ยอมปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ
เมื่อได้ยินคำว่าป้ายหยกและหินวิญญาณ เจ้าของของมันก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที พร้อมกับจ้องมองคนพูดด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
"ไม่ ไหนเจ้าบอกว่าจะปล่อยเราไปหากเราคุกเข่าขอโทษเจ้า” หลี่เฉาจากตระกูลหลี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
อย่างไรก็ตาม หินวิญญาณเป็นของมีค่าในโลกเซียน อาจจะมีบ้างที่จะมีคนพบเจอหินวิญญาณบนโลกมนุษย์ แต่มันก็มีเพียงไม่กี่ก้อนเท่านั้น มนุษย์จึงถือว่ามันเป็นหนึ่งในสมบัติที่หาได้ยาก
ด้วยเหตุนี้มันจึงยากที่จะบอกได้ว่าเด็กหนุ่มทั้ง 7 คนนี้มีหินวิญญาณรวมกันถึง 10 ก้อนหรือไม่
"ปล่อยพวกเจ้าไปอย่างนั้นหรือ? ข้าเองก็เคยอ้อนวอนตอนที่พวกเจ้าทำร้ายข้าเหมือนกัน แต่ทำไมพวกเจ้าไม่ปล่อยข้าไปล่ะ… ข้าไม่ใช่คนที่ใจเย็นสักเท่าไหร่หรอกนะ หากพวกเจ้าไม่ยอมมอบป้ายหยกและหินวิญญาณมาแต่โดยดี ข้าก็แค่ๆเลือกฆ่าพวกเจ้าทิ้งก่อนที่จะชิงมาแค่นั้น”
จากนั้นเจียงหลีก็เตรียมยกหินขึ้นมาอีกครั้ง
นอกจากหวังหลินและหลี่เฉาแล้ว อีกห้าคนต่างก็ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียในใจ หากพวกเขากลายเป็นคนรับใช้เป็นเวลา 2 ปี พวกเขาก็ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้น แต่ถ้าตอนนี้ขาของพวกเขาหัก พวกเขาอาจจะตายเยี่ยงหมาข้างถนนก่อนที่จะไปถึงโลกเซียนด้วยซ้ำ
ไม่กี่อึดใจต่อมา พวกเขากัดฟันหยิบถุงผ้าออกมามอบให้เจียงหลีทีละคน
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง หากข้าค้นเจอของมีค่าบนตัวพวกเจ้าล่ะก็ เชื่อเถอะ ข้าจะทำให้พวกเจ้านึกเสียใจทีหลังอย่างสุดซึ้ง” ทันทีที่เด็กหนุ่มกล่าวจบ ใบหน้าของทั้งสองคนก็ซีดลงทันที หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่สามารถตบตาอีกฝ่ายได้ เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็เผลอยกมือไปแตะถุงผ้าที่ซ่อนอยู่ในร่างกายแล้ว
ระหว่างนั้นเจียงหลีนับของมีค่าทั้งหมดที่ได้มาแล้วพบว่าทุกคนมีป้ายหยก แต่เมื่อเขานับหินวิญญาณทั้งหมดแล้ว มันมีเพียง 3 ก้อนเท่านั้น
"ดีมาก ตอนนี้ข้าจะให้ทางเลือกแก่พวกเจ้า”
เขาบอกคนทั้งห้าที่ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ในขณะเดียวกันหวังหลินและหลี่เฉาที่กำลังก้มหน้าอยู่เงียบ ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“อันที่จริง ป้ายหยกของพวกเจ้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับข้า ตอนนี้สองคนนั้นยังมีขาเหลืออยู่อีกห้าขา หากพวกเจ้าหักมันคนละขา ข้าจะคืนป้ายหยกของพวกเจ้าแต่ละคนให้”
เขากล่าวต่อว่า “จงไตร่ตรองให้ดี จะไปเสียเวลาเป็นคนรับใช้อยู่ 2 ปี หรือจะเริ่มต้นเส้นทางของการฝึกตนเป็นเซียนทันที คิดเอาเองก็แล้วกัน”
คำพูดของเจียงหลีเป็นเหมือนเสียงกระซิบของปีศาจ บัดนั้นสายตาของเด็กทั้งห้าคนที่มองไปทางหวังหลินและหลี่เฉาเปลี่ยนไปทันที
"เฮ้ย! เฮ้ย! พวกเจ้าคิดจะทำอะไร! มันพยายามที่จะสร้างความบาดหมางระหว่างพวกเรา! ข้าเป็นลูกของภรรยาคนแรก! ถ้าพวกเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายนิ้ว พ่อของข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
สถานการณ์มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาหุบปากไว้ แต่ตอนนี้เขาโพล่งออกไปแล้ว สมาชิกทั้งห้าคนจึงรู้สึกโกรธขึ้นมาทันควัน
‘เพียงเพราะเจ้าเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย! เราเลยเป็นได้แค่ลิ่วล้อมาตลอด! ในเมื่อเจ้าเป็นคนสร้างปัญหานี้ เจ้าก็ไม่ควรให้เรามาแบกรับกับเจ้าด้วย!’
‘เราอยู่ห่างจากหงหยานไปประมาณ 1200 ลี้แล้ว คงไม่มีใครสามารถบินกลับไปส่งข่าวได้! แต่สองคนนี้ก็ยังคงใช้สถานะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายมาข่มเหงเราอีกหรือ!’
‘หากเรากลายเป็นเซียนเมื่อไหร่ เราก็ไม่จำเป็นต้องสนใจผู้คนในหงหยานอีก ทำไมเราต้องกลัวพวกเจ้าด้วย?’
พอยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งกล้า พวกเขาเริ่มหยิบก้อนหินจากพื้นข้าง ๆ ขึ้นมา
“ไม่! อย่านะ! เจียงหลี! ข้ายินดีที่จะมอบหินวิญญาณให้เจ้า! ข้ายินดีจะมอบให้เจ้า!”
“ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว!!”
ไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีเสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ทำให้หนุ่มสาวในค่ายพักแรมที่กำลังพักผ่อนอยู่หันมามองหน้ากันโดยไม่รู้ว่าข้างในป่าเกิดอะไรขึ้น
ตอนแรกพวกเขาคิดในใจว่าเจียงหลีคงกำลังถูกทำร้ายอย่างไร้มนุษยธรรมอีกครั้ง
แต่เมื่อฟังดูดี ๆ แล้ว เสียงกรีดร้องนั้นมีมากกว่าหนึ่งคน พวกเขาจึงนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหลีก็เดินออกจากป่าพร้อมกับกอดกระบี่หลายเล่มไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทางร่าเริงและเนื้อตัวสะอาดเรียบร้อย เขาไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย ในสายตาของคนในค่ายพักแรมเกือบร้อยคนบอกได้ว่าเขาไม่ใช่เจ้าของเสียงกรีดร้องที่พวกเขาได้ยิน
ข้างหลังเด็กหนุ่มคือเด็กจากตระกูลหวังและตระกูลหลี่ 5 คนที่กำลังลากหวังหลินกับหลี่เฉาออกมาจากป่า
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทั้งหมดได้รับบาดเจ็บและพยายามรักษาระยะห่างจากเจียงหลีด้วยความกลัว เหล่าคนในขบวนรถม้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสถานการณ์ถึงพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า ‘ไอ้หื่นเจียงหลี’ เป็นผู้ชนะเสียอย่างนั้น!
โอ้ เดี๋ยวนะ... ในเมื่อเจียงหลีชนะ ตอนนี้เขาควรจะถูกเรียกว่า ‘นายน้อยเจียง’ แทนหรือเปล่า
ในขณะที่เจียงหลีเดินเข้าไปในค่ายพักแรม ฝูงชนก็เปิดทางให้เขาโดยสัญชาตญาณ
จากนั้นเขาเดินไปหาเหยียนหงแล้วเลือกกระบี่ที่ดีที่สุดจากกระบี่ 7 เล่มในอ้อมแขนก่อนจะส่งให้อีกฝ่าย หลังจากพูดขอบคุณแล้ว เขาก็นำของที่ริบมาได้จากการต่อสู้กลับไปที่รถม้า
พอขึ้นไปบนรถม้าเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาไม่ได้ล้ำเส้นของท่านเซียนทั้งสาม
คืนก่อนหน้านั้นเขาทำให้เหล่าเซียนรำคาญเพราะฝึกฝนวรยุทธ์ แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่พวกเขาก็จัดการกับเจียงหลีด้วยวิธีที่ค่อนข้างปรานีมากแล้ว
จากสิ่งนี้สามารถสรุปได้ว่าเหล่าเซียนทั้งสามคนมีแนวโน้มที่จะมีความเมตตาและรักสงบมากกว่าที่เขาคิด
ในบรรดาคนเหล่านี้ เจียงหลีกลัวว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นคนรักความยุติธรรม แล้วมาคิดบัญชีกับเขาในภายหลัง
แม้ว่าเหล่าเซียนจะไม่ได้มีความเคลื่อนไหวอะไร แต่เจียงหลีก็ไม่สามารถฆ่าเด็กพวกนี้ได้อยู่ดี เพราะคนกลุ่มนี้คิดเป็น 1 ใน 10 ส่วนของคนที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณในขบวนรถม้า
เหตุผลนั้นง่ายมาก หากการสรรหาคนรุ่นใหม่เป็นภารกิจของเหล่าเซียนและเจียงหลีส่งผลเสียต่อภารกิจของพวกเขา เขาคงถูกกำจัดทิ้งอย่างแน่นอน
แม้ว่าเด็กหนุ่มมีเหตุผลที่จะแก้แค้นเด็กพวกนั้นเป็นการส่วนตัว แต่เขาก็ไม่ควรทำเกินกว่าเหตุ
แล้วสุดท้ายเขาได้ใช้ป้ายหยกเพื่อสร้างความบาดหมางในกลุ่มเด็กอันธพาลไปแล้ว ในอนาคตเด็กพวกนี้จะไม่มารวมกลุ่มกันรังแกเจียงหลีอีก
นอกจากนี้เขายังสามารถลดปัญหาไปได้ในระดับหนึ่ง แม้ว่าท่านเซียนที่เป็นหัวหน้าจะไม่พอใจ แต่บทลงโทษก็จะเบาลง
ดูเหมือนว่าการกระทำของเจียงหลีจะยังอยู่ในระดับที่พอรับได้
ขณะนี้เด็กหนุ่มใช้เวลาในการตรวจสอบของมีค่าที่รวบรวมมาได้ ในถุงมีหินวิญญาณทั้งหมด 8 ก้อน และเขาค้นเจอบนตัวของหวังหลินกับหลี่เฉาอีก 5 ก้อน
และยังมีป้ายหยกอีก 2 ป้าย แต่มันก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา หากพวกเขาไปถึงที่หมายเมื่อไหร่ เขาค่อยมองหาโอกาสในการขายป้ายหยกเหล่านี้
ในตอนนี้เขาสามารถเก็บเงินทองและของมีค่าไว้ได้ สุดท้ายแล้วโลกมนุษย์ยังเป็นรากฐานของโลกเซียน ในอนาคตของพวกนี้อาจจะมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิดก็เป็นได้
แล้วในถุงยังมียาอยู่อีก 3 ขวด ซึ่งขวดแรกบรรจุยารักษาไว้ หลังจากใช้ทักษะการประเมิน เจียงหลีก็เทยามากกว่า 10 เม็ดลงท้องไปทั้งหมดในคราวเดียว
[กินยาคางคกทองคำ เพิ่มสถานะ: การรักษาระดับต่ำ]
[การรักษาระดับต่ำ: ฟื้นฟูพลังชีวิต 2 แต้มต่อชั่วโมง ระยะเวลา: 4 ชั่วโมง] (− +)
[กินยาคางคกทองคำเกินขนาด เพิ่มสถานะ: เพิ่มระดับการรักษา]
[เพิ่มระดับการรักษา: ฟื้นฟูพลังชีวิต 4 แต้มต่อชั่วโมง ระยะเวลา: 6 ชั่วโมง] (− +)
ทันใดนั้น เจียงหลีก็ตกตะลึงกับชุดข้อความที่แจ้งเตือนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ปรากฏว่านอกเหนือจากปริมาณยาที่กำหนดแล้ว ยาบางชนิดสามารถใช้เกินที่กำหนดได้
สำหรับคนทั่วไป การกินยาเกินขนาดจะส่งผลเสียต่อการรักษาและเกิดผลข้างเคียง ซึ่งมันไม่คุ้มค่าที่จะทำอย่างนั้นเลย
แต่สำหรับเขา นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาสามารถได้รับโบนัสเพิ่มมากกว่าเดิม
หลังจากกดปุ่มบวกค้างไว้ 5 วินาที สถานะ [เพิ่มระดับการรักษา] ก็กลายเป็นสถานะถาวร
ต่อมา เขามองไปที่ยาอีกสองขวด ก่อนจะใช้ทักษะการประเมินกับพวกมัน
ยามังกรผงาด… ทำไมชื่อนี้ฟังดูเหมือนยาที่ใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมบนเตียง?
เด็กสองคนนี้ไม่ใช่คนดีจริง ๆ พวกมันมาที่นี่เพื่อแสวงหาความเป็นอมตะและศึกษาปรัชญาแห่งเต๋า แต่พวกมันก็ยังนำยาประเภทนี้ติดตัวมาด้วยคนละขวด
เจ้าเด็กพวกนี้สมควรตายจริง ๆ!
สถานะใหม่นี้เพิ่มสมรรถภาพร่างกายของเขาขึ้น 0.5 แต้ม แต่ในความเป็นจริงเจียงหลีไม่รู้ว่ายาคางคกทองคำนี้ช่วยเพิ่มพละกำลังลูกผู้ชายของเขาด้วย!
ก๊อก ก๊อก ~
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น
เจียงหลีเปิดประตูรถม้าออกไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก
“เจียงหลี ข้า… ข้าเห็นว่าเจ้ายังไม่ได้กินอะไร ดังนั้นหากเจ้าไม่รังเกียจ ข้าแบ่งอาหารจากส่วนของข้ามาให้เจ้า”
นางกล่าวจบแล้วยื่นถาดอาหารในมือให้อีกฝ่ายอย่างเขินอาย นอกจากหมั่นโถวที่เหลือครึ่งก้อนแล้ว เหมือนว่านางแทบไม่ได้แตะต้องเนื้อย่างและซุปในถาดเลย
"ขอบใจเจ้ามาก" เด็กหนุ่มลงจากรถม้ามารับถาดอาหารแล้วกล่าวขอบคุณเด็กสาว
“ไม่เป็นไร ข้า… ข้าชื่อ… ว้าย!”
ก่อนที่นางจะพูดชื่อของตัวเองออกมา ใบหน้าของเด็กสาวก็เปลี่ยนเป็นสีมะเขือเทศ นางก้มหน้าหลับตาแล้ววิ่งหนีไปทันที
ในตอนแรกเจียงหลีรู้สึกงงงวยเล็กน้อย แต่พอเขาก้มศีรษะลงเห็นมังกรที่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลแล้วเขาก็เข้าใจปฏิกิริยาของอีกฝ่ายทันที…
-------------------------------------------
อากิระ talk: วงวารเด็กสาวคนนั้นจริง ๆ ยังไม่ทันได้บอกชื่อกันก็ต้องมาเจอมังกรต้อนรับก่อน 55555