Your Wishlist

ขอโทษที! ความโกงของฉันคือเวลาบัพไม่จำกัด (บทที่ 3: หลอกล่อ)

Author: Turtle Shell and Hemp Rope (Akira แปล)

กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!

จำนวนตอน : 500+

บทที่ 3: หลอกล่อ

  • 08/06/2565

หลังจากที่ตื่นเต้นกับคุณสมบัติโดยรวมของตัวเองแล้ว เจียงหลีก็เริ่มรู้สึกเหนียวตัวและอึดอัดจนเกินจะบรรยาย

 

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฝึกฝนวรยุทธ์พร้อมกับกินยาเสริมสร้างร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายถูกกระตุ้นให้ขับสิ่งสกปรกออกมาเป็นจำนวนมาก มันอาจจะไม่ถึงระดับของการทำความสะอาดชำระกล้ามเนื้อและไขกระดูก แต่ก็ยังช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายของเขาออกมาได้อยู่ดี

 

“ข้าคงต้องไปอาบน้ำแล้วแหละ”

 

เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกทนไม่ไหวกับกลิ่นกายของตัวเอง

 

ต่อมาเขาก็หยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋า และเนื่องจากของพวกนี้เป็นของไม่มีค่ามันจึงไม่มีใครสนใจจะแย่งชิงมันไป

 

จากนั้นเขาก็เดินออกจากรถม้าก่อนจะเห็นว่าข้างนอกเงียบสงบลงแล้ว

 

อีกด้านหนึ่งของกองไฟ มีเพียงจอมยุทธ์ชุดดำสองคนนั่งเฝ้ายามอยู่ ในขณะที่คนอื่น ๆ นอนหลับสบายอยู่ในกระโจมของตนเอง

 

ช่วงเวลานั้นเจียงหลีก็แอบย่องไปทางแม่น้ำ 

 

ใช่แล้ว! มันเป็นแม่น้ำที่เจ้าของร่างเดิมเคยไปแอบดูเหยียนเฟิงเยว่อาบน้ำ!!

 

จอมยุทธ์ที่เฝ้ากองไฟสังเกตเห็นเจียงหลีที่กำลังเดินไปทางแม่น้ำทันที แต่เขาก็ทำทีเป็นไม่สนใจ เขายังคงใช้กิ่งไม้เขี่ยกองไฟที่อยู่ข้างหน้าต่อไป

 

“ไอ้เจ้าเด็กพวกนี้นี่นะ ข้าอุตส่าห์เตือนแล้วว่าอย่าออกจากค่ายตอนค่ำ ๆ มืด ๆ แต่พวกมันก็ไม่เคยจะเชื่อฟัง ภารกิจของเราคือการเฝ้าค่ายพักแรม หากพวกมันวิ่งออกไปตาย สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดจะไม่สูญเปล่าหรือยังไง”

 

แน่นอนว่าเด็กหนุ่มที่กำลังจะไปอาบน้ำไม่รู้ว่าจอมยุทธ์ที่เฝ้ายามคืนนี้บ่นว่าอะไร ระหว่างที่เดินไปท่ามกลางความมืด เขาใช้ทักษะการประเมินกับทุกสิ่งที่พบเจอไปตลอดทาง

 

…ดอกไม้สีขาว, หญ้าเข็มผี, น้ำพุ, เถาหนามเลือด, ดอกไม้ป่า, ต้นหลิว...

 

ชื่อของพืชและแมลงมากมายที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ปรากฏขึ้นบนหน้าต่างของระบบอย่างต่อเนื่อง แต่เขาขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจพวกมัน เพราะด้วยระดับทักษะการประเมินในปัจจุบัน เขาอาจไม่สามารถระบุสมบัติล้ำค่าได้แม้ว่ามันจะวางอยู่ตรงหน้าเขาก็ตาม

 

ในบางครั้ง กรอบข้อความสีเหลืองหรือสีแดงจะเด้งออกมาจากพุ่มไม้ บางอันเป็นงูพิษและบางอันเป็นแมงป่อง เมื่อสัตว์เหล่านั้นเห็นเจียงหลี พวกมันก็จะหันหลังหนีไป

 

ส่วนสัตว์ร้ายขนาดใหญ่ที่เคยอยู่บริเวณรอบ ๆ ค่ายได้กลายเป็นเนื้อย่างบนโต๊ะอาหารในระหว่างวันไปแล้ว อันตรายหลักของการเดินไปอาบน้ำตอนกลางคืนจึงเหลือเพียงแค่แมลงและพืชมีพิษเหล่านี้เท่านั้น

 

ตราบใดที่เจียงหลีระมัดระวังพร้อมกับใช้ทักษะการประเมินควบคู่ไปด้วย เขาก็จะปลอดภัยในระดับหนึ่ง นี่เป็นเหตุผลที่เขากล้าที่จะออกมาอาบน้ำคนเดียว

 

เขารีบเดินไปที่ริมแม่น้ำและใช้ทักษะการประเมิน หลังจากยืนยันว่าไม่มีอันตรายอะไร เขาก็ถอดเสื้อผ้าที่สกปรกออกก่อนจะใช้เสื้อชุบน้ำทำความสะอาดคราบไคลบนร่างกาย

 

เมื่อเด็กหนุ่มกลับไปที่รถม้า เขาก็รู้สึกพึงพอใจกับผลของการฝึกฝนก่อนหน้านี้มาก เขาจึงรีบจมดิ่งอยู่กับการฝึกฝนอีกครั้ง 

 

วิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษามีวิธีการฝึกฝนอีกรูปแบบหนึ่งคือ ‘พยัคฆ์หลับใหล’ ซึ่งวิธีนี้สามารถฝึกฝนขณะหลับได้

 

แม้ว่าความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะช้าลง แต่มันก็เหนือกว่าในแง่ของความเสถียร นอกจากนี้ ความสามารถในการฝึกฝนขณะนอนหลับเป็นลักษณะเฉพาะของวรยุทธ์นอกรีต

 

ภายในเวลาไม่นาน รถม้าก็เต็มไปด้วยเสียงกรน ราวกับว่ามีเสือที่ดุร้ายนอนอยู่ข้างใน

 

ไม่กี่วันต่อมา

 

ฟิ้ววว!

 

มีร่างมนุษย์ร่างหนึ่งเหาะเหินไปทั่วป่า หลังจากเร่งความเร็วถึงขีดสุด ร่างนั้นก็กวัดแกว่งกระบี่ในมือ

 

มนุษย์ผู้นั้นตวัดกระบี่ผ่านต้นไม้ใหญ่ ตามมาด้วยลำแสงวาววับดั่งสายธาร ครู่ต่อมา ต้นไม้ที่หนากว่าหัวของเหยียนหงก็ค่อย ๆ โค่นลง

 

ตึง!!

 

แปะ! แปะ! แปะ!

 

เจ้าของร่างอ้วนกลมปรบมือขณะที่เขาเดินเข้าไปสัมผัสบาดแผลบนต้นไม้พลางเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ “น่าเหลือเชื่อจริง ๆ! กระบี่ทลายภูผาของเจ้าแกร่งกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าขอถอนคำพูดที่เคยพูดกับเจ้าก่อนหน้านี้ โปรดละเว้นข้าด้วย ข้าไม่อยากมีสภาพเป็นแบบนี้”

 

แล้วเขาก็ก้มหน้าลงสัมผัสชุดเกราะอ่อนที่เขาสวมอยู่ เห็นได้ชัดว่าเกราะนี้รับวิชากระบี่ของอีกฝ่ายไม่ไหว

 

“แต่ว่านะ น้องหลี วิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาของเจ้าพัฒนาขึ้นมาก กระบี่ทลายภูผาก็น่าทึ่งเช่นกัน จอมยุทธ์ชั้นสองหลายคนในยุทธภพคงไม่ใช่คู่มือของเจ้า”

 

“เอ่อ…จริงสิ! พวกตระกูลหวังและตระกูลหลี่อ่อนแอกว่าข้าเสียอีก ก่อนหน้านี้ไยเจ้าถึงถูกพวกมันทำให้หมดหนทางขนาดนั้น”

 

สภาพที่น่าสังเวชของเจียงหลีเมื่อ 2-3 วันก่อนยังคงกระจ่างแจ้งอยู่ในใจของเหยียนหง มันคงไม่ใช่เป็นการพูดเกินจริงที่จะบอกว่าอีกฝ่ายเกือบจะถูกทำร้ายจนเสียชีวิตไปแล้ว มันจึงไม่แปลกที่เขาจะประหลาดใจกับความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดของสหายคนนี้

 

“มันช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นข้าไม่มีกระบี่ติดตัวไปด้วย นอกจากนี้ พวกมันยังเอาก้อนหินทุบหัวข้าจากด้านหลังอีก ไม่อย่างนั้น คนที่ได้รับการฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เกิดอย่างข้าจะพ่ายแพ้ให้กับคนพวกนั้นได้อย่างไร!”

 

เด็กหนุ่มชี้ไปที่ด้านหลังศีรษะของตนเพื่อแสดงให้เห็นถึงแผลสดจากการที่ถูกก้อนหินกระแทกอย่างสาหัส

 

“ฮึ่ม! ถ้ามีโอกาสล่ะก็  ข้าต้องเอาชนะพวกมันให้จงได้! คิดว่าข้าเป็นคนยอมให้ใครทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่!” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังพลางแสดงท่าทางพร้อมที่จะแก้แค้นคนที่เขาเอ่ยถึง

 

เหยียนหงไม่ต้องสงสัยเลย เมืองหงหยานเป็นเมืองแห่งผู้ฝึกวรยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์หรือหญิงสาว พวกเขาก็จะได้เรียนรู้วรยุทธ์มาไม่มากก็น้อย

 

ตัวเจียงหลีเองก็มาจากตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์และเป็นบุตรชายของภรรยาคนแรก แม้ว่าฝีมือของเขาในอดีตจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เขาจะได้ฝึกฝนวรยุทธ์อยู่เป็นประจำ

 

“อย่ากังวลไปเลยน้องหลี ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ตราบใดที่เจ้าไม่โดนซุ่มโจมตี แม้ว่าพวกมันจะมากันเป็นสิบคนก็ไม่สามารถสัมผัสเจ้าได้แม้แต่ปลายผม”

 

“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับท่านเซียนหรอก เมื่อครั้งที่แล้วไม่เห็นมีใครเข้ามาช่วยห้ามตอนที่เจ้าโดนทำร้ายเลย ขอแค่ไม่มีคนตายอยู่ต่อหน้าพวกเขาก็จะไม่มีใครเข้ามาขวาง”

 

เด็กหนุ่มร่างท้วมตบไหล่คนตรงหน้าอย่างตื่นเต้น ประหนึ่งว่าเขาเป็นคนที่ต้องการจะแก้แค้นเสียเอง

 

เจียงหลียิ้มแล้วมองกระบี่ในมือของตน “เอ้อใช่… พี่ใหญ่ ข้าจะชดเชยให้เจ้าหลังจากที่เราไปถึงเมือง”

 

เขายื่นกระบี่คืนเจ้าของด้วยใบหน้าเจื่อน ๆ ขณะนี้คมกระบี่ทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยบิ่น หลายจุดถูกขัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อลับให้คมอีกครั้ง ทำให้กระบี่เล่มนี้อยู่ในสภาพที่แทบจะใช้การไม่ได้แล้ว

 

ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา วิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาของเจียงหลีอยู่ในระดับที่สูงขึ้น และร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้เขาไปขอยืมกระบี่จากเหยียนหงมาเพื่อฝึกฝนทักษะกระบี่ทลายภูผา

 

อย่างไรก็ตามกระบี่ทลายภูผาเป็นทักษะกระบี่ที่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งในการเอาชนะคู่ต่อสู้ และการสูญเสียค่าความทนทานของอาวุธก็น่ากลัวมากเช่นกัน นอกจากนี้ทักษะกระบี่ของเจียงหลียังขาดอยู่เล็กน้อย ในเวลาเพียงไม่กี่วัน 1 ใน 10 กระบี่อันล้ำค่าที่ตีขึ้นจากเหล็กดำของเหยียนหงก็แทบจะใช้การไม่ได้แล้ว!

 

“เจ้า… เจ้าจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว เอาเถอะ ข้ายกกระบี่นั้นให้เจ้าก็แล้วกัน ถึงยังไงพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน… แต่ในอนาคตเจ้าจะต้องคืนกระบี่ที่ดีกว่านี้ให้ข้าเป็นการตอบแทน…”

 

เหยียนหงสัมผัสกระบี่ที่เต็มไปด้วยรอยแล้วอยากจะร้องไห้ ถึงจะไม่มีน้ำตาไหลออกมาก็เถอะ เขาจะหาซื้ออาวุธที่ตีขึ้นจากเหล็กดำได้จากที่ไหนอีก? แม้แต่ในตำหนักองค์ชายก็มีเพียงเล่มเดียว

 

“เอ่อ… แน่นอน ๆ งั้นข้าจะใช้กระบี่เล่มนี้อีกสักสองวัน”

 

เจียงหลีหยิบหินขึ้นมาลับกระบี่ในมือ ทั้งสองคนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ขบวนรถม้าจอดพักอยู่ พวกเขาคุยเล่นกันสบาย ๆ ต่อจากนั้นเขาก็เรียกอินเทอร์เฟซของระบบในใจ เสี้ยววินาทีต่อมา หน้าจอที่แสดงถึงคุณสมบัติของเขาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าอีกครั้ง

 

[ชื่อ: เจียงหลี]

 

[อายุ: 13 ปี]

 

[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]

 

[คลาสหลัก: จอมยุทธ์ ระดับ: ชั้น 2]

 

[คลาสย่อย 1: ไม่มี]

 

[คลาสย่อย 2: ไม่มี]

 

[พลังชีวิต: 540/540]

 

[ความอึด: 420/420]

 

[ความแข็งแกร่ง: 2.1]

 

[ความเร็ว: 1.9]

 

[สมรรถภาพร่างกาย: 2.2]

 

[จิตวิญญาณ: 1]

 

[ความตระหนักรู้: 1.1]

 

[วรยุทธ์: กรงเล็บพยัคฆ์ชันษาระดับ 5]

 

[ทักษะ: การประเมินระดับ 2, กระบี่ทลายภูผาระดับ 3]

 

[บัฟ: การรักษาระดับต่ำ, ความอิ่ม, เสริมสร้างร่างกาย]

 

[ดีบัฟ: ไม่มี]

 

ปัจจุบันคุณสมบัติทางกายภาพทั้งสามของเขามีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 2 แต้ม ซึ่งดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้ใหญ่ธรรมดาแค่ 2 เท่า แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น

 

เพราะยิ่งคุณสมบัติสูงขึ้นเท่าไหร่ โบนัสที่ได้รับก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าในตอนนี้มันจะยังไม่แสดงผลของโบนัส แต่เมื่อคุณสมบัติของเจียงหลีสูงกว่า 100 แต้มขึ้นไป แม้คุณสมบัติจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็จะได้โบนัสเพิ่มอีก 20-30 แต้ม

 

นอกเหนือจากคุณสมบัติของเขาแล้ว วิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาเพิ่มเป็นระดับ 5 และทักษะกระบี่ทลายภูผาเพิ่มเป็นระดับ 3

 

หากเป็นจอมยุทธ์ธรรมดา พวกเขาอาจต้องฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลา 10 ปีกว่าจะมาถึงระดับนี้ได้ แต่เจียงหลีกลับสามารถก้าวเข้าสู่ระดับดังกล่าวได้ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์

 

สาเหตุหลักมาจากความช่วยเหลือของยาเสริมสร้างร่างกาย

 

ยาเสริมสร้างร่างกาย 1 เม็ดมีผลเป็นเวลา 1 ชั่วยาม ในช่วงไม่กี่วันมานี้ มันเทียบเท่ากับว่าเจียงหลีได้กินยาเสริมสร้างร่างกายที่หายากในโลกมนุษย์ 60-70 เม็ดอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเขาก็สามารถเพิ่มค่าคุณสมบัติ ระดับทักษะและวรยุทธ์ให้สูงขึ้นได้

 

ในความเป็นจริง เขาไม่รู้ว่าแม้แต่ยาภายในโลกเซียนยังมีผลกระทบทางลบอีก 2 ประเภท ได้แก่ ‘ยาต้าน’ และ ‘ผลข้างเคียงที่เป็นพิษ’ 

 

ยาเม็ดส่วนใหญ่มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อเรากินเข้าไปครั้งแรก แต่หากเรากินยาต่อไปเรื่อย ๆ ผลกระทบของยาจะลดลงอย่างต่อเนื่องหรืออาจได้รับผลข้างเคียงที่เลวร้ายลงกว่าเดิม 

 

นอกจากนี้ การเพิ่มปริมาณยาเพื่อชดเชยผลกระทบเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากในตัวยามีสารพิษปะปนอยู่ 

 

ดังนั้นแม้ว่าเซียนจะร่ำรวยมากแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่ซื้อยามากินแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนเป็นอาหารเสริม

 

เจียงหลียังไม่ทราบว่านิ้วทองของเขาอาจมีประโยชน์มากกว่าที่เขาคิดไว้

 

“พี่ใหญ่ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยเรียนวรยุทธ์จากปรมาจารย์ของสำนักชื่อดังมาก่อน ข้าได้ยินมาว่าเหล่าเซียนมีอคติต่อสำนักดังกล่าวมาก คนอย่างพวกเราที่มีวรยุทธ์ติดตัวจะไม่ถูกปฏิเสธใช่ไหม”

 

เด็กหนุ่มยังคงจำแรงมหาศาลที่ส่งผ่านมาจากมือของเหยียนหงได้ หากวัดเป็นตัวเลข ค่าความแข็งแกร่งของเขาน่าจะอยู่ที่อย่างน้อย 1.6-1.7 แต้ม ในช่วงอายุเพียง 13-14 ปี ถือได้ว่าเป็นค่าคุณสมบัติที่น่าประทับใจทีเดียว

 

“ข้าไม่ได้ฝึกกับปรมาจารย์คนนั้น ท่านพ่อของข้าเชิญผู้อาวุโสจากพรรคเลี่ยหยางมาสอนวรยุทธ์ให้ข้า ที่จริงแล้วท่านพ่อไม่ได้ตั้งใจจะให้ข้าฝึกวรยุทธ์เพื่อไว้ใช้ป้องกันตัว ว่ากันว่าถ้าฝึกวรยุทธ์ของพรรคเลี่ยหยางไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการมีลูกหลาน”

 

“เจ้าอย่าคิดมากเลย มันเป็นเพียงวรยุทธ์ที่ไม่ติดอันดับในโลกมนุษย์ ในสายตาของเหล่าเซียน มันก็เหมือนกับเด็กเล่นขายของกันแค่นั้น” 

 

เมื่อกล่าวถึงผู้เป็นเซียน ดวงตาของเหยียนหงก็เผยให้เห็นถึงความปรารถนาที่ไม่สามารถปกปิดได้ มีใครที่ไม่ปรารถนาอยากเป็นอมตะบ้าง?

 

"ถูกต้อง แม้แต่จอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในก็ยังพ่ายแพ้ให้กับเหล่าเซียนระดับปรมาจารย์เหล่านั้น พวกเขายังต่ำต้อยกว่าคนรับใช้ด้วยซ้ำ”

 

เจียงหลีได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ 

 

แม้ว่าจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในจะมีพลังที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ และชกหินจนแตกได้ แต่นั่นก็ยังอยู่ในขอบเขตของความเข้าใจของมนุษย์ หากเจียงหลีมีเวลาฝึกฝนอีกสักพัก เขาคงจะสามารถทำแบบนั้นได้โดยอาศัยความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขา

 

อย่างไรก็ตาม พวกเซียนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถพลิกฟ้า พลิกแผ่นดิน ย้ายภูเขา ถมสมุทรได้ ตามความเข้าใจในสังคมสมัยใหม่ของเขา มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตที่สามารถทำอย่างนี้ได้ 

 

นี่เป็นความจริงที่บ่งบอกว่าพลังของเซียนนั้นเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปอย่างชัดเจน ไม่ว่าพวกเขาจะมีวรยุทธ์หรือไม่ก็ตาม

 

"ใช่แล้ว แม้ว่าเจ้าจะเป็นนักสู้ผู้ปลุกสัญชาตญาณ แต่เจ้าก็ยังเป็นได้แค่คนรับใช้ของเหล่าเซียน ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ น้องหลี ไม่เป็นไรถ้าเจ้าจะฝึกฝนวรยุทธ์เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ในอนาคตเจ้าต้องให้ความสำคัญกับการฝึกตน หากเจ้าตามข้าไม่ทัน ข้าจะไม่รอเจ้าหรอกนะ” 

 

เด็กหนุ่มผู้มีใบหน้ากลมพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงสีหน้าจริงจัง แต่มันกลับดูน่าขบขันยิ่งนัก

 

“ทำไมข้าถึงยังได้ยินเสียงคุณยายบ่นอยู่ทั้งที่เราอยู่ห่างจากบ้านมาหลายพันลี้*แล้ว พี่ใหญ่ ข้าขอถามตามตรงนะ เจ้าอายุแค่ 13 จริงหรือ?”

*1 ลี้ = 500 เมตร

 

เจียงหลีพูดจบแล้วก็ยกกระบี่ที่ลับคมเมื่อสักครู่ขึ้นมาดู เขาไม่รู้จะพูดอะไรกับสหายที่ยืนอยู่เคียงข้างเขา แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่บริหารเวลาเก่ง แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาจะไม่รู้ถึงแรงโน้มถ่วงของสถานการณ์ได้อย่างไร?

 

“ฮิฮิ อย่าพูดแบบนั้นสิ รู้ไหมว่าถ้าคนอื่นมาได้ยินเข้าคงโกรธจนเดินหนีไปเลย”

 

“จริงสิ น้องหลี เจ้าชอบเหยียนเฟิงเยว่หรือ ทำไมไม่ลองใช้กำลังบังคับนางดูล่ะ? ครั้งนี้ข้าจะคอยระวังหลังให้ หากเจ้าทำสำเร็จ เราจะกลายเป็นญาติกันทันที”

 

นัยน์ตาของเหยียนหงฉายแววเจ้าเล่ห์ ทำให้ฝ่ายที่ถูกมองไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนนี่คิดอะไรอยู่

 

“เอาเถอะ ยังไงก็รีบหายไว ๆ ล่ะ!”

 

เวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดทั้งสองคนก็ลุกขึ้นเดินออกจากป่าหลังจากเที่ยวเล่นกันจนเกือบพลบค่ำ

 

ตอนที่ทั้งสองกลับมาถึงค่ายพักแรม ท้องฟ้าก็มืดลงซึ่งมันเป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว

 

เจียงหลียืนเข้าแถวเพื่อรับอาหารตามปกติ แต่เห็นได้ชัดว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าและข้างหลังจงใจยืนอยู่ห่าง ๆ เขาด้วยความรู้สึกรังเกียจ

 

นี่เป็นเหมือนพวกอันธพาลในโรงเรียนของชีวิตเก่าของเขา คนพวกนี้จะกดขี่ข่มเหงใครก็ตามที่รังแกง่าย อีกทั้งยังด่าทอด้วยคำหยาบคาย สร้างข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ หรือแม้แต่การทรมานร่างกายทุกประเภทและรวมกลุ่มกันเพื่อแสดงอำนาจ

 

ในเวลานี้ คนส่วนใหญ่ในขบวนรถม้าอาจไม่ได้เริ่มกลั่นแกล้งเจียงหลี แต่พวกเขาก็ไม่แสดงความเมตตาอะไรออกมา หรือแม้แต่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเช่นกัน

 

หากคน ๆ นั้นเป็นเด็กธรรมดาทั่วไป พวกเขาอาจจะเป็นบ้าไปแล้ว

 

น่าเสียดายที่เป้าหมายในครั้งนี้คือเจียงหลี

 

หลังจากที่เขาได้รับส่วนแบ่งอาหารจากโต๊ะยาว เขาก็จงใจเหลือบมองไปยังเด็กที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาด้วยความหวาดระแวง จากนั้นก็เดินก้มหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

 

เนื่องจากท่าทางที่งุ่มงามของเขา อาหารบนถาดจึงหกลงบนพื้น จากนั้นเขาก็ยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตา ก่อนจะรีบคว้าหมั่นโถวบนพื้นแล้ววิ่งไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป

 

ระหว่างที่วิ่งเขาหันกลับไปมองดูกลุ่มเด็กที่เคยทำร้ายเขาอย่างหวาดกลัว 

 

พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเจ้าถึงไม่ควรหันหลังให้กับสัตว์ป่า? เพราะเมื่อใดที่เหยื่อเผยให้เห็นจุดอ่อน สัตว์นักล่าจะไม่อาจต้านทานต่อสัญชาตญาณที่สลักอยู่ในยีนของตนเองได้

 

ประกอบกับความหวาดกลัวที่เจียงหลีจงใจแสดงออกมา มันหมายความว่าเมื่อมีเหยื่อที่อ่อนแอมาวางอยู่ตรงหน้า เหล่านักล่าทั้งหลายจะห้ามใจไม่ตะครุบเหยื่อแล้วขย้ำจนตายได้อย่างไร?

 

สิ่งล่อใจแบบนี้คงทำให้พวกอันธพาลเลือดร้อนไม่อาจต้านทานได้อีก! 

 

เป็นไปตามที่เขาคาดไว้ มีเด็กสกุลหวัง 3 คนและเด็กสกุลหลี่ 4 คนกำลังตามเขามา พวกเขาเป็นลูกหลานของสองตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหงหยาน และพวกเขายังเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของเจ้าของร่างเดิมอีกด้วย

 

ในขณะนั้นบางคนเพิ่งได้อาหารมา พอพวกเขาเห็นโอกาสในการระบายความโกรธจึงหันมามองหน้ากันก่อนจะวางจานในมือลง แล้วพวเขาก็คว้าสิ่งที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้และไล่ตามเจียงหลีเข้าไปในป่า

 

“คอยดูเถอะ ครั้งนี้ข้าจะหักขาของไอ้คนแซ่เจียงจนใช้การไม่ได้เลย!”

 

“รวมถึงขาตรงกลางนั่นด้วยไหม”

 

“ฮ่า ๆ ข้าจะบดขยี้พวกมันให้หมด!”

 

"ไปกันเถอะ! อย่าปล่อยให้มันหนีไปได้”

 

เด็กหนุ่มทั้งเจ็ดยังคงหมกมุ่นอยู่กับความภาคภูมิใจในการ ‘ช่วยหญิงสาวที่เผชิญกับเคราะห์ร้าย’ จากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พวกเขาพูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมาด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน

 

อดีตเจ้าของร่างของเจียงหลีเป็นแค่นายน้อยทั่วไป เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มเจ็ดคนนี้

 

‘คิดว่าตัวเองกำลังทำตัวเป็นวีรบุรุษอย่างนั้นเหรอ? หุบปากเน่า ๆ นั่นไปซะ! พวกแกแค่หาข้ออ้างในการทำร้ายคนอื่นก็เท่านั้น แต่พออยู่ต่อหน้าเทพธิดาของพวกแกกลับทำตัวสุขุมเยือกเย็นอย่างหน้าไม่อาย’ 

 

เหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายไล่ตามเหยื่อเข้าไปในป่าและในไม่ช้าก็พบเป้าหมาย ขณะนี้เจียงหลีกำลังยืนพิงต้นไม้รอผู้ล่าด้วยรอยยิ้ม

 

“ฮี่ๆๆ! เจียงหลี อย่างน้อยเจ้าก็รู้ตัวว่าไม่ควรต่อต้าน แล้วยืนรอให้พวกเรามาหา”

 

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะเมตตาเจ้าและหักขาเจ้าแค่ข้างเดียว… แต่สำหรับขาตรงกลางนั้นไม่มีข้อยกเว้น ยังไงพวกเราก็ต้องหักมันทิ้ง!”

 

“ฮ่าๆๆๆ!”

 

เด็กหนุ่มที่เป็นหัวโจกถือท่อนไม้ก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย ในขณะที่อีกหกคนกระจายตัวกันไปล้อมรอบเจียงหลีเพื่อไม่ให้เขาหลบหนีไปได้

 

แต่…

 

ผัวะ! ตึง!!

 

ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็ถูกซัดกระเด็นไปไกลถึง 2 จั้ง* หลังจากนั้นเขาก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือสิ้นใจไปแล้ว 

*1 จั้ง = 3.33 เมตร

 

แต่ผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นไม่ใช่เจียงหลี ในทางกลับกัน เขากำลังยืนถือกระบี่ที่เพิ่งนำออกมาจากด้านหลังต้นไม้ 

 

เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใครให้ตาย เขาแค่เหวี่ยงกระบี่ที่ยังไม่ได้ถอดออกจากฝักใส่คนที่ปลิวออกไปก็เท่านั้น!

 

-------------------------------------------

อากิระ talk: น้องหลีโลกเก่าเรียนเอกการแสดงมาใช่มะ สรุปว่านี่เป็น 5 รุม 1 หรือ 1 รุม 5 กันแน่?

1/6/2022
กลับหน้าหลัก ตอนก่อนหน้า ตอนถัดไป