กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
ขณะนี้เจียงหลีรู้สึกตื่นเต้นมาก เมื่อนิ้วทอง* สามารถเปลี่ยนระยะเวลาบนแถบสถานะได้
*นิ้วทอง หมายถึงหน้าต่างของระบบที่ตัวเอกเห็นคนเดียว
การกดปุ่มบวกเพียงครั้งเดียวจะเพิ่มระยะเวลาของสถานะขึ้น 1 นาที หลังจากกดค้างไว้ 5 วินาที ระยะเวลาจะกลายเป็นไม่จำกัด
เมื่อกดปุ่มลบระยะเวลาของสถานะจะลดลง 1 นาที หลังจากกดค้างไว้ 5 วินาที สถานะจะหายไป
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?
นี่หมายความว่าในอนาคตถ้าเขากินยาเข้าไป เท่ากับว่าเขาจะได้รับสถานะจากยานั้นตลอดเวลา!
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือ นิ้วทองนี้ไม่สามารถใช้กับสถานะบางอย่างที่ไม่มีระยะเวลาได้
ตัวอย่างเช่น [ความหิว] เป็นสถานะที่ไม่มีระยะเวลา เมื่อลองเทียบกับความเป็นจริง หากระยะเวลาผ่านไปช่วงหนึ่งโดยไม่ได้กินอะไร ความหิวของเราจะหายไปเองไหม?
นั่นหมายความว่าพอถึงเวลาหิวยังไงเราก็ต้องกิน!
หลังจากที่เขารักษาบาดแผลและสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มก็เปิดประตูรถม้าก่อนจะเดินออกไป
ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว ภายใต้แสงรำไรในช่วงเวลาพลบค่ำ เขาเห็นควันม้วนตัวขึ้นจากกองไฟที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล พร้อมกับกลิ่นเนื้อย่างที่ลอยมาตามสายลม
“ข้าโชคดีจริง ๆ ที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง กลิ่นนี้ดีกว่ากลิ่นไหม้ของร่างกายข้าซะอีก”
เจียงหลีเดินไปยังบริเวณที่แจกจ่ายอาหาร เมื่อเขาเข้าไปใกล้แล้วเขาก็สังเกตเห็นหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยที่มีอายุใกล้เคียงกับเขากำลังนั่งพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อพวกเขาเห็นเจียงหลีเดินเข้ามาใกล้ พวกเขาก็ลดเสียงพูดคุยลงพลางหันไปมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางเป็นระยะ ๆ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ถูกนินทาไม่สนใจนิ้วที่ชี้มาทางตนเองอย่างโจ่งแจ้งและเดินผ่านฝูงชนไปยังโต๊ะยาวที่แจกจ่ายอาหารอย่างใจเย็น
วันนี้เด็กหนุ่มมาถึงช้าไปสักหน่อย ซุปเนื้อในหม้อเหลือเพียงก้นหม้อแล้ว แต่เนื่องจากเด็กสาวหลายคนที่เดินทางมาด้วยกินได้ไม่มากนัก จึงยังทำให้มีเนื้อย่างและหมั่นโถวเหลืออยู่
คนที่แจกจ่ายอาหารนั้นเป็นชายร่างกำยำยืนตระหง่านเหมือนปราการเหล็ก เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำและมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า
ชายคนนั้นเหลือบมองเจียงหลี ก่อนที่เขาจะตักซุปเนื้อทัพพีสุดท้ายออกจากหม้อเหล็ก จากนั้นเขาก็หยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งและหมั่นโถววางลงบนถาดก่อนจะผลักไปทางเด็กหนุ่ม
แต่ด้วยแรงผลักนั้นทำให้ซุปที่แต่เดิมมีไม่มากนักกระฉอกจนหกออกไปเกือบครึ่งหนึ่ง
เมื่อเห็นอย่างนั้น เจียงหลีก็พูดไม่ออก เขาหยิบถาดอาหารขึ้นมาทันที แล้วจู่ ๆ เด็กหนุ่มก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขามีทักษะการประเมินที่ติดตัวมาพร้อมกับตนเอง เขาจึงประเมินชายชุดดำที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเงียบ ๆ
[ชื่อ: ไม่ทราบ]
[เพศ: ชาย]
[คลาส: จอมยุทธ์]
[ระดับความอันตราย: อันตรายอย่างยิ่ง]
เด็กหนุ่มรู้สึกตกใจ เขาไม่คิดว่าการสุ่มใช้ทักษะการประเมินจะทำให้เขาได้รู้ว่าชายชุดดำตรงหน้าเป็นคนที่อันตรายอย่างยิ่ง และถึงแม้ว่าเหตุผลหลักที่ทำให้ผลการประเมินออกมาเช่นนี้เป็นเพราะร่างกายของเขาอ่อนแอ แต่ข้อความที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงก็ทำให้เขาต้องถอยห่างจากอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ
ดูจากสถานการณ์แล้ว เขาไม่สามารถนั่งร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงถือถาดอาหารกลับไปนั่งกินคนเดียวที่ด้านข้างรถม้า
[รับประทานเนื้อย่าง 1 ชิ้นและหมั่นโถว 1 ก้อน สถานะความหิวถูกลบออก เพิ่มสถานะ: ความอิ่ม]
[ความอิ่ม: ฟื้นฟูความอึด 1 แต้มต่อนาที ระยะเวลา: 30 นาที] (− +)
พอเห็นอย่างนั้นเจียงหลีรีบกดปุ่มบวกด้วยความรู้สึกเบิกบานใจทันที
[ความอิ่ม: ฟื้นฟูความอึด 1 แต้มต่อนาที ระยะเวลา: ไม่จำกัด] (-)
นี่เป็นสถานะใหม่อีกสถานะหนึ่ง ซึ่งผลของมันถือว่าไม่เลวเลย
ตราบใดที่เขาไม่ได้ลบสถานะนี้ออก ในทางทฤษฎีเขาไม่จำเป็นต้องกังวลกับความหิวอีกต่อไป
นอกจากนี้ การฟื้นฟูความอึด 1 แต้มต่อนาทีนั้นน่าประทับใจจริง ๆ โดยพื้นฐานแล้ว มันเทียบเท่ากับคนธรรมดาที่กินอาหาร 48 มื้อต่อวัน
ถ้าเขาออกกำลังกายเบา ๆ เขาจะกลายเป็นเหมือนกับเครื่องจักรที่ทำงานได้ตลอดเวลา
ในเวลาเดียวกัน มันก็มีเด็กหนุ่มสามคนลุกขึ้นเดินออกจากฝูงชนมุ่งตรงมายังเจียงหลีพร้อมกับถือท่อนไม้ไว้ในมือซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขามีเจตนาร้าย
คนที่ตกเป็นเป้ารู้สึกโกรธอยู่ในใจ แต่หลังจากเหลือบดูสภาพร่างกายที่อ่อนแอของตัวเอง เขาก็ทำได้เพียงแค่เผยรอยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสามจะเดินเข้ามาถึงตัว เจียงหลีก็ลุกหนีออกไปก่อน โดยเขาเดินวนเพื่อหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจนั่งลงใกล้ ๆ 'ท่านเซียน' ที่สวมชุดขาวกับจอมยุทธ์ที่สวมชุดดำ
เขาไม่กล้าเข้าใกล้คนเหล่านี้มากเกินไป แต่ว่าการทำแบบนี้จะทำให้กลุ่มเด็กที่ต้องการหาเรื่องเขาไม่กล้าเข้ามาทำอะไรอย่างบุ่มบ่าม
หลังจากก่นด่าเขาว่าขี้ขลาดและไร้ยางอายแล้ว ทั้งสามคนก็โยนท่อนไม้ในมือทิ้งและกลับไปนั่งปะปนกับฝูงชนตามเดิม
“ดูเหมือนว่าข้าคงจะไม่รอดไปจนถึงสำนักเซียนแน่ ๆ ถ้าข้ายังอ่อนแออยู่แบบนี้”
“ไอ้เด็กเหลือขอพวกนั้นทำตัวเป็นผู้คุ้มกันแล้วใช้ข้ออ้างนี้ไปรังแกคนอื่นชัด ๆ ถ้าข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเอง คนพวกนั้นก็จะหาเรื่องข้าไปอย่างนี้เรื่อย ๆ”
“แต่ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไงล่ะ อย่าว่าแต่ลูกหลานของตระกูลผู้ฝึกวรยุทธ์เลย แม้แต่ลูกหลานของชาวนาก็ยังแข็งแกร่งกว่าข้าด้วยซ้ำ”
เจียงหลีบ่นกับตัวเองก่อนจะเปิดอินเทอร์เฟซขึ้นมา แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างจากการเป็น ‘เซียน’ และ ‘จอมยุทธ์’ อยู่มากโข แต่เขาก็ไม่รู้สึกอะไรเพราะว่าเขารู้ตัวดีอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความท้อแท้
เมื่อเขาทำการตรวจสอบอินเทอร์เฟซในระบบ พร้อมกับไล่มองข้อมูลตั้งแต่ข้างบนลงมาข้างล่าง เขาก็พบว่าวิธีเดียวที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้น่าจะเป็นการพัฒนาวรยุทธ์และทักษะทั้งสองที่เขามีอยู่ นั่นก็คือ [กรงเล็บพยัคฆ์ชันษา] และ [กระบี่ทลายภูผา]
หลังจากค้นหาความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาก็เข้าใจเรื่องจอมยุทธ์ในโลกนี้มากยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในโลกของมนุษย์ เหล่าจอมยุทธ์นั้นใช้ชีวิตสมถะกว่ามากเพราะตราบใดที่พวกเขาได้รับคำชี้แนะจากอาจารย์ รวมถึงได้รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน จอมยุทธ์เกือบทุกคนจะมีโอกาสที่ก้าวขึ้นไปเป็นปรมาจารย์ในยุทธภพ
เรื่องนี้มันคล้ายกับนวนิยายแนวกำลังภายในที่เขาเคยอ่านในชีวิตก่อนหน้านี้ จอมยุทธ์ในโลกนี้สามารถแบ่งออกคร่าว ๆ ได้เป็นสามระดับ ประกอบไปด้วย ผู้ใช้กำลังภายนอก ผู้ใช้กำลังภายใน และนักสู้ผู้ปลุกสัญชาตญาณ
จอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายนอกอาจจะยังอยู่ในขอบเขตของความเข้าใจของคนทั่วไป แต่เมื่อพวกเขาก้าวข้ามไปสู่การใช้กำลังภายในแล้ว พวกเขาจะมีพลังลึกลับอยู่ภายในร่างกายของพวกเขา ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขาเลยที่จะกวัดแกว่งอาวุธและใช้วรยุทธ์ต่อสู้กับผู้คนนับร้อยในคราวเดียว
ขณะเดียวกัน เจียงหยวนซาน ผู้ซึ่งเป็นพ่อของเขาก็เป็นปรมาจารย์ผู้ใช้กำลังภายในซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่าเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกวรยุทธ์ชั้นหนึ่งในยุทธภพ
ทันใดนั้น เจียงหลีก็หันไปมองจอมยุทธ์ชุดดำซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล เขาจำได้ว่าพ่อของเจ้าของร่างเดิมกล่าวก่อนที่เขาจะออกเดินทางว่า เขาจะต้องให้เกียรติทุกคน เพราะแม้แต่ชายชุดดำที่แต่งตัวดูเหมือนคนรับใช้ก็ล้วนแต่เป็นจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายใน
หากเขาตายก่อนจะได้เดินบนเส้นทางของการฝึกตน มันคงจะไม่มีใครเหลียวแลเขา เพราะฉะนั้น ถ้าเขาต้องการให้คนนับถือ เขาก็จำเป็นต้องพิสูจน์ความสามารถของตนเองให้คนอื่นเห็นก่อน
หลังจากที่เจียงหลีนึกถึงรายละเอียดทั้งหมดของวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษา เขาก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นและจดจ่ออยู่กับวิธีการฝึกฝนทีละขั้นตอน
กัดอากาศ 36 ครั้งและโอบกอดคุนหลุนในจินตนาการด้วยมือทั้งสองข้าง สดับรับฟังเสียงกลองสวรรค์ทั้งซ้ายขวา แล้วเงยหน้ารับกลิ่น เขย่าเสาสวรรค์เล็กน้อย มังกรแดงกวนน้ำ 36 ครั้ง หลังจากที่น้ำศักดิ์สิทธิ์เข้าปากแล้วให้กลืนเข้าไป 3 อึก สุดท้ายแล้วมังกรทะยานและพยัคฆ์คำรณล้วนเป็นไปตามวัฏจักรของสรรพสิ่ง
ฟันบนและฟันล่างกระทบกัน 36 ครั้ง วางมือบนหลังศีรษะแล้วกดฝ่ามือแนบหู ในเวลาเดียวกันหายใจเข้าออกช้า ๆ 9 ครั้ง
หลังจากนั้นให้หายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลั้นหายใจเอาไว้ ขยับปลายลิ้นขึ้นลงทำให้เกิดน้ำลาย แล้วกลั้วปาก 36 ครั้ง กลืนลงคอ 3 อึก สุดท้ายก็ส่งเสียงกรน…
เจียงหลีค่อย ๆ เข้าสู่ห้วงสมาธิ
เมื่อเสียงกรนที่ฟังดูเหมือนเสือหลับไหลดังออกมาจากหน้าอกและจมูกของเขา ทันใดนั้นข้อความบนอินเทอร์เฟซของ [กรงเล็บพยัคฆ์ชันษา] ก็เปลี่ยนจากระดับ 0 กลายเป็นระดับ 1 โดยที่เขาไม่รู้ตัว
ในระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังฝึกฝน เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัวจนลืมไปว่าในขณะนี้ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ใกล้กับหัวหน้ากลุ่มมาก
ถ้าเขานั่งอยู่เงียบ ๆ ไม่ส่งเสียงอะไรคงจะไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะตกดินแล้วเขาก็มานั่งกรนเสียงดังเสียอย่างนั้น
เดิมทีเซียนชุดขาวทั้งสามคนกำลังนั่งคุยกัน แต่พอพวกเขาได้ยินเสียงกรนพวกเขาก็หันมาสบตากันอย่างไม่พอใจแม้ว่ามนุษย์ผู้นี้อาจจะกลายเป็นศิษย์น้องของพวกเขาในอนาคตก็ตาม
จากนั้นชายชุดสีขาวคนหนึ่งก็สะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะเกิดลมประหลาดพัดขึ้นจากพื้นในบริเวณที่เจียงหลีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ซึ่งลมนั้นขัดจังหวะการฝึกวิชาของเจียงหลีจนทำให้เขาล้มลงกับพื้นในสภาพที่น่าสังเวช
ตึง!
ก่อนที่เขาจะรู้ตัวก็มีอะไรบางอย่างแข็ง ๆ ปะทะเข้าที่หน้าอกของเขา
“ไปให้พ้น!! นี่เป็นค่าชดเชยสำหรับเจ้า” ชายชุดขาวไม่ได้หันกลับมามองในขณะที่พูด เขาทำเพียงแค่โบกมือไล่มนุษย์ที่น่ารำคาญออกไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายก็รีบยืนขึ้นพลางกุมหน้าอกแล้วหันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากหลบเข้าไปในรถม้าคันเดิมแล้ว สีหน้าของเขาก็ขุ่นมัวขึ้นมาทันที
มันก็เป็นเรื่องสมควรแล้วที่เขาโดนไล่ออกมาเพราะก่อนหน้านี้เจียงหลีใช้กลุ่มชายในชุดขาวเพื่อเป็นไม้กันหมา หลังจากนั้นเขาก็ยังมานั่งทำเสียงรบกวนพวกเขาอีก
เป็นใคร ๆ จะไม่โกรธบ้าง?
แต่ในมุมของผู้ฝึกตน พวกเขาใจกว้างมากพอที่จะไม่ทำร้ายมนุษย์ให้ตายด้วยสาเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้
การที่กลุ่มชายชุดขาวใช้วิธีการที่อ่อนโยน(?)แบบนี้เพื่อปลุกเด็กหนุ่มให้ตื่นขึ้นมา ทั้งยังให้ค่าชดเชยจำนวนหนึ่งกับเขา นี่ก็ถือว่าเป็นการให้เกียรติเขามากแล้ว
อย่างไรก็ตาม เจียงหลียังคงรู้สึกโกรธเคืองมาก เพราะท้ายที่สุดเขาเคยอาศัยอยู่ในสังคมที่มีกฎหมายคุ้มครองอย่างยุติธรรมมานานกว่า 20 ปี มันจึงทำให้การเผชิญกับสถานการณ์ทั้งสองในก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้จริง ๆ
การถูกทำร้ายร่างกายแล้วเอาเงินมาฟาดหัวเป็นการชดเชย สำหรับเขานั้นถือว่าเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง
ใครก็ตามที่ถูกปฏิบัติเช่นนี้ ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะทำถูกหรือผิดก็ย่อมรู้สึกโกรธเป็นธรรมดา
แต่หากเจียงหลีทำตัวอวดดีใส่คนพวกนั้น คนที่จะเจ็บตัวก็เป็นเขาอยู่ดี
มิหนำซ้ำมันยังมีเรื่องที่เขามายังโลกนี้อย่างกะทันหันอีก เขาจึงรู้สึกว่าไม่มีที่พึ่งและไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขาอยากจะฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่งมากกว่าเดิม
จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
โชคดีที่ระดับการฝึกฝนในปัจจุบันของเด็กหนุ่มยังต่ำมาก เขาจึงไม่มีโอกาสที่จะเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรก ไม่อย่างนั้น ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บภายในเขาก็คงไม่มีความหวังในการฝึกตนอีกแล้ว
หลังจากที่เตือนตัวเองให้ระวังกิริยาเวลาที่อยู่ต่อหน้าเหล่าเซียนแล้ว เจียงหลีก็หงายฝ่ามือเพื่อตรวจสอบสิ่งที่ถูกขว้างใส่หน้าอกของเขา
สิ่งที่อยู่ในมือเขาเป็นยาเม็ดกลม ๆ สีดำที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วแดงและมีกลิ่นหอมเจือจาง
‘ในเมื่อยานี้มาจากท่านเซียน มันก็อาจจะเป็นยาอายุวัฒนะในตำนานก็ได้!’
ถ้าเจียงหลีทำตัวหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี เขาจะต้องปาเม็ดยานี้ลงไปที่พื้นแล้วกระทืบมันซ้ำ ๆ สักสองสามครั้ง แต่การทำเช่นนั้นจะเท่ากับว่าเป็นการยั่วโมโหท่านเซียน แล้วเขาก็คงจะถูกฆ่าตายอย่างอนาถ…
นอกจากนี้ ในฐานะที่เขามีนิ้วทอง ประโยชน์ของยาเม็ดนี้ย่อมมากกว่าการที่ผู้อื่นใช้หลายร้อยเท่าอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียของเม็ดยาในมือ เด็กหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องละทิ้ง 'ศักดิ์ศรี' แล้วเลือกที่จะยอมรับความเป็นจริง
ประเมิน!
ทักษะการประเมินสแกนเม็ดยาอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่มันจะมีบรรทัดข้อความเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นเหนือเม็ดยา
[ชื่อ: ยาเสริมสร้างร่างกาย]
[ประเภท: ยาลูกกลอน]
[ระดับ: ธุลีขั้นต่ำ]
ในขณะนี้ผลของทักษะการประเมินระดับ 1 นั้นอาจจะดูไร้ประโยชน์ไปสักหน่อย เนื่องจากข้อมูลที่เขาได้รับมามีน้อยมาก เด็กหนุ่มจึงคิดว่าเขาควรจะต้องทำเหมือนในเกมที่เขาเคยเล่นในชีวิตก่อน ซึ่งก็คือการใช้ทักษะการประเมินกับทุกอย่างที่เขาพบเจอเพื่อให้ทักษะนี้มีระดับสูงขึ้น
เจียงหลีไม่รู้ว่ายาธุลีระดับต่ำคืออะไร แต่หากวัดจากที่ท่านเซียนผู้นั้นขว้างยามาให้เขาแบบไม่เสียดาย เขาเลยอนุมานได้ว่าระดับของยาเม็ดนี้คงไม่ได้สูงในสายตาของเหล่าเซียน
แต่สำหรับมนุษย์อย่างเขา ยาที่มาจากโลกของเซียนน่าจะมีค่ามหาศาล
เขาควรใช้ยาเม็ดนี้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของตนเอง ในเมื่อเขาตั้งใจที่จะฝึกฝนให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอยู่แล้ว ยาเม็ดนี้จึงเหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบันของเขามาก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มก็รีบกลืนยาเสริมสร้างร่างกายลงไปโดยไม่ลังเล
ไม่กี่วินาทีต่อมา กระแสความอบอุ่นก็ไหลเวียนจากท้องแล้วแล่นผ่านไปยังแขนขาอย่างช้า ๆ ก่อนที่มันจะมีการแจ้งเตือนปรากฎขึ้นตรงหน้าของเขา
แล้วก็มีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นต่อหน้าเจียงหลีสองครั้ง
[กินยาเสริมสร้างร่างกาย เพิ่มสถานะ: เสริมสร้างร่างกาย]
[เสริมสร้างร่างกาย: เพิ่มสมรรถภาพทางกาย, เพิ่มความเร็วในการฝึกฝนวิชาตั้งแต่ระดับธุลีขั้นกลางลงไป ระยะเวลา: 2 ชั่วโมง] (− +)
หลังจากที่เจียงหลีเห็นการแจ้งเตือนสถานะที่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เขาก็กดปุ่มบวกค้างไว้ 5 วินาทีโดยไม่ได้ใส่ใจที่จะอ่านรายละเอียดของข้อความมากนัก
[เสริมสร้างร่างกาย: เพิ่มสมรรถภาพทางกาย, เพิ่มความเร็วในการฝึกฝนวิชาตั้งแต่ระดับธุลีขั้นกลางลงไป ระยะเวลา: ไม่จำกัด] (-)
เมื่อดูจากผลของยาแล้ว มันก็คล้ายกับที่เจียงหลีได้คาดการณ์ไว้จริง ๆ เพียงแต่เขาจำเป็นจะต้องทดสอบมันด้วยตัวเองเพื่อที่จะได้ทราบถึงประสิทธิภาพที่แท้จริงของมัน
ในคืนนี้โชคดีที่เหล่าคุณชายและคุณหนูได้ไปตั้งกระโจมนอนอยู่ข้างกองไฟกันหมดจึงไม่มีใครมารบกวนรถม้าที่มีพื้นแข็งกระด้างและเย็นเฉียบเลยแม้แต่คนเดียว
ท่ามกลางความอบอุ่นที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายของเขา เจียงหลีตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาอีกครั้ง
เวลานี้พลังอันอบอุ่นถูกดูดซับอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงกรนของเสือที่ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ขณะเดียวกันกระดูกและกล้ามเนื้อในร่างกายของเขาก็กำลังถูกปรับให้สอดคล้องกับเคล็ดวิชา
ในโลกของการฝึกตน ยาเสริมสร้างร่างกายธุลีขั้นต่ำย่อมเป็นเม็ดยาขั้นต่ำที่สุด พวกมันจึงเป็นของมีค่าสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกตนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เจียงหลีเป็นมนุษย์ที่มีร่างกายอ่อนแอ เม็ดยาชนิดนี้จึงมีค่าสำหรับเขามาก
'วิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษา' ที่เขาฝึกฝนเป็นวิชาที่เริ่มต้นจากการใช้กำลังภายนอก แต่เมื่อเขาฝึกฝนวิชานี้ไปจนถึงในระดับหนึ่ง เขาจะฝึกไปถึงขั้นที่สามารถใช้กำลังภายในได้ ซึ่งวิชานี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวรยุทธ์ที่ดีที่สุดในยุทธภพ
แต่ในโลกของการฝึกตน วิชานี้เป็นเพียงขยะที่ไร้ประโยชน์
ดังนั้นนอกจากยาเสริมสร้างร่างกายธุลีระดับต่ำเม็ดนี้จะไม่ได้ไร้ค่าในสายตาของเจียงหลีแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังดีมากกว่าที่เขาคิดไว้อีกด้วย
ต่อมาเด็กหนุ่มก็ทำการฝึกฝนต่อไปเป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วยาม ซึ่งกว่าที่เขาจะรู้ตัวอีกทีมันก็เป็นเวลายามจื่อ*แล้ว
*ยามจื่อ เป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืน
หลังจากฝึกฝนจนเสร็จเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเนื่องจากเขาไม่เคยรู้สึกสบายตัวขนาดนี้มาก่อน
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนเหยียดร่างกายทันที แม้ว่าเจียงหลีจะนั่งขัดสมาธิมาตลอด 3 ชั่วยาม แต่ขาของเขากลับไม่มีอาการชาเลย และการไหลเวียนโลหิตในร่างกายเองก็ราบรื่นจนทำให้เขารู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว
เขาแทบรอไม่ไหวที่จะเรียกอินเทอร์เฟซจากระบบขึ้นมา
[ชื่อ: เจียงหลี]
[อายุ: 13 ปี]
[เผ่าพันธุ์: มนุษย์]
[คลาสหลัก: จอมยุทธ์ ระดับ: ชั้น 3]
[คลาสย่อย 1: ไม่มี]
[คลาสย่อย 2: ไม่มี]
[พลังชีวิต: 204/260]
[ความอึด: 180/180]
[ความแข็งแกร่ง: 0.6 → 0.7]
[ความเร็ว: 0.7 → 0.8]
[สมรรถภาพร่างกาย: 0.6 → 0.8]
[จิตวิญญาณ: 1]
[ความตระหนักรู้: 1.1]
[วรยุทธ์: กรงเล็บพยัคฆ์ชันษาระดับ 2]
[ทักษะ: การประเมินระดับ 1, กระบี่ทลายภูผาระดับ 1]
[บัฟ: การรักษาระดับต่ำ, ความอิ่ม, เสริมสร้างร่างกาย]
[ดีบัฟ: ไม่มี]
เมื่อเห็นสถานะ ดวงตาของเจียงหลีก็เป็นประกายทันที เพราะทั้งความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาได้เพิ่มขึ้น 0.1 แต้ม รวมถึงสมรรถภาพทางกายเพิ่มขึ้น 0.2 แต้ม และวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาก็เพิ่มขึ้นจากระดับ 0 ไปที่ระดับ 2 โดยตรง
เหตุการณ์นี้ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกมีความสุขขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากการฝึกฝนทำให้ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นมาแบบก้าวกระโดดในคราวเดียว
สรรพคุณของเม็ดยาในโลกการฝึกตนนั้นสมควรได้รับการยกย่อง และถึงแม้ผลลัพธ์จะออกมาดีขนาดนี้ แต่เจียงหลีก็ยังรู้สึกว่าระดับของวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษายังต่ำเกินไป และเขายังไม่สามารถใช้ประสิทธิภาพของยาเสริมสร้างร่างกายได้อย่างเต็มที่
ปกติการฝึกฝนเป็นเวลา 3 ชั่วยามจะเทียบได้กับการกินยาเสริมสร้างร่างกาย 3 เม็ด แต่เนื่องมาจากร่างกายที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้นั้นอ่อนแอมาก มันจึงทำให้ค่าสถานะของเขาเพิ่มขึ้นได้เพียงเท่านี้
-------------------------------------------
อากิระ talk: ตอนที่ทุกคนอ่านขั้นตอนการฝึกฝนวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษารู้สึกยังไงกันบ้าง? เราขอสารภาพว่ารู้สึกอี๋นิดหน่อย 55555