กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
กินยาเพิ่มพลังปราณ ปรับปรุงร่างกาย หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและเพิ่มอายุขัย เขาแค่ต้องกินยาเม็ดเดียวเพื่อให้สถานะมีผลตลอดชีวิต เขาคือ‘เจียงหลี’ คุณชายผู้ทรงเสน่ห์ที่สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นถาวรได้ในพริบตา!
“โอ๊ะโอ ข้าพบอะไรดี ๆ เข้าแล้ว~”
“ช่างโชคร้ายเหลือเกิน เดิมทีข้าอยากจะชวนน้องหลีไปนอนพักที่กระโจม แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขามีทางเลือกที่ดีกว่าอยู่แล้ว”
เหยียนหงเดินออกมาจากอีกฝั่งของรถม้าขณะที่เขาไพล่มือไว้ข้างหลัง
เขาเอื้อมมือไปหยิบชามซุปออกจากถาดอาหารในมือเจียงหลีแล้วพบว่ามีผ้าเช็ดหน้าบาง ๆ วางอยู่ข้างใต้
ในยุคนี้ การกระทำดังกล่าวเป็นเหมือนคำสารภาพของฝ่ายหญิงที่บ่งบอกถึงเจตนาที่ชัดเจน
“พูดอะไรของเจ้าเนี่ย!”
“คืนนี้ข้าจะฝึกวิชาต่อ ข้าไม่อยากไปนอนฟังเสียงกรนของเจ้าหรอกนะ ข้าอยู่บนรถม้านี้คนเดียวก็สบายดีอยู่แล้ว”
เจียงหลีเก็บผ้าเช็ดหน้าบนถาดอาหารพลางปฏิเสธคำเชิญของอีกฝ่าย อย่างเด็ดขาด
ความจริงแล้วสหายร่างท้วมมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับเขา เนื่องจากตอนนี้ชื่อเสียงของเขาในขบวนรถม้าได้เปลี่ยนจากคำว่า ‘ไอ้หื่นจอมขี้ขลาด’ ไปเป็น ‘นายน้อยผู้มุ่งมั่นที่จะแก้แค้น’ แล้ว
แม้ว่าสิ่งที่เจียงหลีทำกับกลุ่มเด็กอันธพาลก่อนหน้านี้จะไม่ใช่เรื่องที่ดี อีกทั้งเขายังพยายามแอบดูผู้หญิงอาบน้ำจริง ๆ แต่หลังจากที่เขาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาก็ทำให้ความคิดเห็นของคนอื่น ๆ ที่มีต่อเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
การที่ความคิดเห็นหรือมุมมองของผู้คนเปลี่ยนไปนั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ซึ่งในกระบวนการตัดสินคน ๆ หนึ่ง เราจะใช้ ‘คุณค่า’ เป็นมาตรฐานแรกเสมอ
แม้แต่คนใกล้ตัวเรา อย่างเช่น คนในครอบครัว พ่อแม่ เพื่อนฝูงและคนรักก็ยังได้รับผลกระทบจาก ‘คุณค่า’ นี้โดยไม่รู้ตัว
ดังนั้นลักษณะนิสัยส่วนบุคคลจึงไม่มีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ จะมีใครสนใจเกี่ยวกับตัวตนจริง ๆ ของคุณบ้างล่ะ?
สิ่งที่พวกเขาสนใจคือความมั่งคั่ง ตำแหน่งและอำนาจของคุณต่างหาก!
อย่างไรก็ตาม ในโลกที่พิเศษนี้ ความแข็งแกร่งเป็นเกณฑ์อันดับแรกที่ผู้คนจะใช้ตัดสินคนอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้น หลังจากที่เจียงหลีเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา เขาก็กลายเป็นชายในฝันของเด็กสาวหลายคนในขบวนรถม้าทันที
ในทางกลับกัน เหยียนเฟิงเยว่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ปรากฎว่ากลุ่มเพื่อนที่เข้ามาตีสนิทกับนางแสร้งทำดีเวลาอยู่ต่อหน้านาง แต่พอลับหลัง พวกนางกลับนินทาว่าร้ายนางว่าเป็นผู้หญิงไร้ยางอายและชอบยั่วยวนผู้ชาย
นอกจากนี้ที่ตั้งกระโจมไม่ได้อยู่ห่างกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นเหยียนเฟิงเยว่จึงได้ยินพวกนางจับกลุ่มนินทาตัวเองอยู่หลายครั้ง ความอึดอัดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวตัวเล็ก ๆ จะสามารถแบกรับไหว
มันไม่ยุติธรรมสำหรับนางที่จะแสร้งทำเป็นว่านางไม่เคยได้ยินอะไรเลย แต่การเปิดเผยให้สหายเหล่านั้นรู้ก็ไม่ใช่ผลดีสำหรับตัวเองเช่นกัน นางจึงจำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทนเอาไว้
…
เมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในที่สุดขบวนรถม้าของพวกเจียงหลีก็ใกล้จะถึงที่หมายแล้ว ระหว่างนั้นมีรถม้าอีกหลายคันได้มารวมตัวกันจากทุกทิศทาง
เด็กหนุ่มสังเกตเห็นว่าด้านข้างของรถม้าเหล่านั้นมีสัญลักษณ์เหมือนกันทุกประการ และท่าทางที่เหล่าเซียนทักทายกันบ่งบอกว่าทุกคนคุ้ยเคยกันเป็นอย่างดี นั่นหมายความว่าขบวนรถม้าเหล่านี้เป็นพวกเดียวกัน
ทุกครั้งที่ตั้งค่ายพักแรม เหยียนหงจะพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคนในขบวนรถม้าอื่นอยู่เสมอ
เนื่องจากความลึกลับของเหล่าเซียน หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขารังเกียจมนุษย์ จึงทำให้เขาได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาน้อยมาก
จนถึงตอนนี้เหยียนหงและเจียงหลีรู้แค่ว่าขบวนรถม้าเหล่านี้เป็นของพรรคที่มีชื่อว่า พรรค ‘เซิงเซียน’ ทุก ๆ 2-3 ปีพวกเขาจะส่งขบวนไปทดสอบและนำเด็กที่มีรากฐานทางจิตวิญญาณกลับไปยังโลกเซียน
จากการคาดเดาของเด็กหนุ่มทั้งสอง พรรคนี้อาจเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับโลกเซียน ด้วยความรู้และประสบการณ์ในปัจจุบันของพวกเขาสองคนนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าพรรคดังกล่าวทรงพลังเพียงใด
เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า ‘หากมีความต้องการก็ย่อมมีผลประโยชน์ หากมีผลประโยชน์ก็ย่อมมีคนรับงานนี้’
นอกจากนี้ผู้เป็นตัวกลางยังสามารถทำกำไรได้จากทั้งสองฝ่าย และหัวหน้าพรรคเซิงเซียนจะต้องมีหัวการค้ามากอีกด้วยจึงจะสามารถประกอบกิจการเช่นนี้ได้
ในเย็นวันหนึ่ง เมื่อวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาของเจียงหลีพัฒนาขึ้นไปถึงระดับ 7 เหยียนหงก็วิ่งเข้ามาหาเขาอย่างตื่นเต้น
“น้องหลี ๆ! ออกมาเร็วเข้า! ข้ามีอะไรดี ๆ จะให้เจ้าดู!”
คนถูกเรียกค่อย ๆ ออกจากห้วงสมาธิแห่งการฝึกฝนและถอนหายใจออกมา ซึ่งมันดูเหมือนว่าในอนาคตขณะที่เขาฝึกวิชา เขาจะต้องระมัดระวังมากขึ้น ถ้าเขาต้องการให้วิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาอยู่ในระดับที่สูงขึ้น เขาจะต้องใช้กำลังภายในในการฝึก แต่หากเด็กหนุ่มถูกขัดจังหวะเช่นนี้ เขาคงจะถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนกระอักเลือดเป็นแน่
“องค์ชายน้อย ท่านมาเอะอะอะไรอยู่ที่นี่? หากเจ้าถามข้าว่าข้าอยากได้ภรรยาไหม มันอาจจะน่าสนใจมากกว่านี้” เจียงหลีออกมาจากรถม้าแล้วบ่นด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการฝึกวรยุทธ์ สาเหตุที่เขาเลือกทำอย่างนั้นก็เพื่อผลาญพลังงานที่มีอยู่จนล้นออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเขามีบัฟที่ทำงานอยู่ตลอดเวลา พลังงานของเขาจึงเต็มอยู่เสมอ
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร? มากับข้าเร็วเข้า เมื่อกี้มีขบวนรถม้าอีกขบวนหนึ่งมาถึงที่นี่ เจ้าต้องคิดไม่ออกแน่ ๆ ว่ามีใครอยู่ในขบวนนั้น” เหยียนหงพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับดึงสหายไปทางด้านหลังของขบวนรถม้า
“ให้ข้าเดานะ มันต้องเป็นสาวผมทองตาสีฟ้า… สาวผิวดำผมหยิก… หรือไม่ก็สาวเจาะหู เจาะจมูก เจาะปาก? เฮ้ พี่ใหญ่ เจ้าสนใจอย่างอื่นนอกจากผู้หญิงบ้างได้ไหม”
“ข้าสาบานได้เลยว่าครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องผู้หญิง ไม่สิ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเด็กผู้หญิง แต่อันที่จริงก็ไม่ใช่ผู้หญิงจริง ๆ หรอกนะ ยังไงก็เถอะ เจ้ารีบตามข้ามาก่อน”
ในไม่ช้า เจียงหลีก็สังเกตเห็นว่ามีบางแปลกไปเพราะนอกจากเหยียนหงและคนอื่น ๆ ในขบวนรถม้าเดียวกับเขาแล้ว ยังมีคนมากกว่า 200 คนมารวมตัวกันอยู่บริเวณนั้น
ใครกันที่ทำให้ผู้คนสนใจได้มากขนาดนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น ท่าทางของทุกคนให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับว่ากำลังมองมนุษย์ แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังมองลิงที่อยู่ในสวนสัตว์มากกว่า
เด็กหนุ่มทั้งสองเดินเข้าไปใกล้รถม้าคันนั้น ด้วยรูปร่างและพละกำลังที่มีมากกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน เหยียนหงจึงสามารถแหวกฝูงชนไปยืนอยู่ข้างหน้าได้อย่างง่ายดาย
ในที่สุดเจียงหลีก็ต้องตกตะลึง เพราะสิ่งที่อยู่บนรถม้าคันตรงหน้าไม่ใช่รถม้าที่มีแผ่นไม้ล้อมรอบทั้งสี่ด้านเหมือนที่เขาคุ้นเคย แต่รถม้าคันนี้มีกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันด้วยเหล็กเส้นหนาเท่านิ้วหัวแม่มืออยู่
ภายในกรงมีอ่างไม้สูงประมาณเอวของผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นแบบที่เห็นได้ทั่วไปในละครย้อนยุค
ดูจากลักษณะของสิ่งที่อยู่ในกรงแล้ว เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นปีศาจบางชนิดที่ถูกขังไว้?
เจียงหลีมองไปที่องค์ชายน้อยด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถามว่า "อะไรอยู่ข้างในหรือ?"
“คอยดูไปเถอะ เดี๋ยวมันก็แสดงตัวออกมา” เหยียนหงที่ยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนตอบอย่างมั่นใจ
ในเวลานี้ เด็กบางคนเริ่มหมดความอดทนจึงปีนรถม้าขึ้นไปตบอ่างไม้ที่อยู่ในกรงเพื่อเรียกมันออกมา
บางคนถึงกับเริ่มโยนหมั่นโถวที่กินเหลือเข้าไปในอ่างไม้
“เฮ้ ออกมาเดี๋ยวนี้! ถ้าเจ้าไม่รีบออกมา ข้าจะขว้างก้อนหินใส่เจ้า!”
เด็กคนหนึ่งจากขบวนรถม้าอื่นค่อนข้างก้างร้าว เขาเริ่มหยิบหินขึ้นมาจากพื้นมาถือไว้
ฟิ้ววว! ตู้ม!
ก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นถูกเด็กชายคนหนึ่งโยนลงไปในอ่างไม้ ทำให้บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในสะบัดตัวด้วยความโกรธจนน้ำในอ่างไม้กระเซ็นอย่างรุนแรง
“ใครยังไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปซะ!”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธของจอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในดังขึ้น ส่งผลให้เด็กเกเรที่ขว้างก้อนหินเมื่อครู่ทรุดตัวลงกับพื้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวทันที
ทันใดนั้นจอมยุทธ์ชุดดำหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นจึงทำให้ไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาอีก จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไปที่ขบวนรถม้าของตัวเอง
ในท้ายที่สุดแล้ว เหล่านักพรตที่กำลังจะเติบโตในไม่ช้านี้เป็นเพียงแค่เด็กกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ตัวเจียงหลีเองก็ทำได้เพียงเดินกลับไปที่รถม้าของตนเองอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าวินาทีสุดท้ายก่อนที่เขาจะหันหลังกลับไป เขาเห็นมือเรียวเอื้อมออกมาคว้ากรงเหล็กด้านนอก
“พี่ใหญ่ บอกข้าได้ไหมว่าข้างในนั้นมีอะไร”
เหยียนหงเกาหัวแก้เก้อก่อนจะตอบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันต้องเป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ในน้ำแน่ ๆ”
ฝ่ายที่ได้ยินคำตอบส่ายหัว เขารู้ว่าเขาไม่ควรคาดหวังอะไรกับสหายร่างใหญ่คนนี้
“ปีศาจ…” เจียงหลีพึมพำกับตัวเอง เขาไม่รู้ว่ามันเป็นปีศาจร้ายในแบบที่เขาจินตนาการไว้หรือเปล่า
…
ค่ำคืนที่แสงจันทร์สาดส่อง
ในมุมที่เงียบสงบของค่ายพักแรม เจียงหลีกำลังกรนเสียงดังอยู่ในรถม้าของเขา
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เสียงกรนที่เกิดจากการนอนหลับจริง ๆ ไม่อย่างนั้น หากเขานอนกรนเสียงดังมากขนาดนี้ ลำคอของเขาก็คงจะแตกไปแล้ว เสียงนั้นมาจากการสั่นสะเทือนของหน้าอกและผิวหนังของเขา ภายใต้ผลของสถานะเสริมสร้างร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายของเขาค่อย ๆ แข็งแรงขึ้นอย่างช้า ๆ
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงร้องเพลงอันไพเราะแว่วเข้ามาในหูของเด็กหนุ่ม
มันให้ความรู้สึกเบาสบาย… และอ่อนโยนมากราวกับทารกได้หวนคืนสู่อ้อมอกแม่ เสียงร้องอันแผ่วเบาขับกล่อมเขาให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น
ถัดมาเจียงหลีก็ผ่อนคลายความระมัดระวังทั้งหมดลง แล้วจิตใต้สำนึกก็กระซิบบอกให้เขาพักผ่อน เขาไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ตนเองหยุดฝึกวิชากรงเล็บพยัคฆ์ชันษาที่เขากำลังทำอยู่
ตอนนี้เด็กหนุ่มกำลังนอนอยู่บนกระดานไม้เนื้อแข็ง แต่เขากลับรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ที่ยัดด้วยขนห่าน 18 ชั้น พร้อมกับเผยรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมา
จนกระทั่ง…
[ได้รับผลกระทบจากเพลงของปีศาจมัสยาเนื่องจากค่าความต้านทานของจิตวิญญาณไม่เพียงพอ เพิ่มสถานะ: สะกดจิต]
[สะกดจิต: การรับรู้ถูกระงับ 50% จิตวิญญาณถูกระงับ 50% และบังคับให้หลับสนิท ระยะเวลา: 3 ชั่วโมง] (− +)
จู่ ๆ ก็มีข้อความสองบรรทัดปรากฏขึ้นในสายตาของเจียงหลี ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา ก่อนที่สติของเขาจะกระจ่างขึ้นเล็กน้อย
แต่เขาก็ยังง่วงนอนอยู่ดี…
ง่วง! ง่วงมากจริง ๆ!
ความง่วงได้เข้าครอบงำจิตใจของเด็กหนุ่ม เขาขยับตัวไม่ได้เหมือนถูกผีอำ และเปลือกตาของเขาก็หนักอึ้งมากจนรู้สึกอย่างกับว่ามีเหยียนหงสองคนกำลังทับเอาไว้
‘ไม่! ฉันจะหลับไม่ได้!’
‘ถอน! ถอนสถานะเดี๋ยวนี้!’
5 วินาทีต่อมา เจียงหลีก็ลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจอย่างหนัก เขาเกือบจะหลับไปแล้ว!
โชคดีที่มีข้อความแจ้งเตือนขึ้นมาตรงหน้าเขาก่อนที่เขาจะหมดสติ แม้ว่าเขาจะกำลังหลับตาอยู่ แต่เขาก็ยังมองเห็นข้อความได้อย่างชัดเจน
"เกิดอะไรขึ้น?"
ในหัวของเจียงหลีเต็มไปด้วยคำถามมากมาย เพลงของปีศาจมัสยายังคงดังมาจากข้างนอก เมื่อเขาตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รู้สึกว่าร่างกายเริ่มอ่อนปวกเปียกและความง่วงก็กลับมาอีกหน
หลังจากลบสถานะ [สะกดจิต] อีกครั้ง เขาก็คว้าหมั่นโถวที่เหลือจากมื้อเย็นขึ้นมาฉีกสองชิ้นแล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ ก่อนจะยัดเข้าไปในหูของเขา
พออุดหูเสร็จแล้วเขาก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงเพลงนั้นอีก เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ฉันควร… ออกไปดูดีไหม?”
“แต่มันอันตรายนะ!”
เขาใช้เวลาถกเถียงในหัวของตัวเองอยู่นาน จนกระทั่งเขาตัดสินใจเลือกหนทางที่เสี่ยงน้อยที่สุด นั่นก็คือการเจาะแผ่นไม้ด้านข้างของรถม้าและมองออกไปข้างนอก
ต่อมา เด็กหนุ่มชักดาบออกจากฝักอย่างระมัดระวัง แล้วบรรจงจรดดาบเข้าไปในแผ่นไม้ของรถม้า
ในปัจจุบันเจียงหลีนั้นแข็งแกร่งมากกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า และดาบในมือของเขาเป็นดาบล้ำค่าที่หาได้ยาก เขาเลยใช้เวลาไม่นานก็สามารถเจาะรูเล็ก ๆ บนแผ่นไม้ได้สำเร็จ
เมื่อมองลอดผ่านรูเล็ก ๆ เขาพบว่าข้างนอกเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ทำให้วิสัยทัศน์แย่มากจนเขาแทบจะมองไม่เห็นกองไฟที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“ทำไมหมอกถึงมีกลิ่นคาวอย่างนี้!”
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
ขณะนี้มีเสียงดังขึ้นราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่กำลังวิ่งอยู่ในป่าใกล้ ๆ ทว่าเด็กหนุ่มกำลังอุดหูตัวเองด้วยหมั่นโถวเพื่อป้องกันเสียงเพลง ดังนั้นเขาจึงได้ยินเสียงพวกนั้นไม่ชัดเจน
เจียงหลีสบถอยู่ในหัวและกระชับดาบในมือพร้อมกับเตรียมตัวตั้งรับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ไม่กี่วินาทีต่อมา เงาดำจำนวนมากก็โผล่ออกมาจากป่า พวกมันส่วนหนึ่งมุ่งหน้าไปยังรถม้าที่ขัง ‘ปีศาจ’ ไว้ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งมุ่งตรงไปยังบริเวณกระโจมที่อยู่ตรงกลางค่าย
เจียงหลีแอบบ่นในใจของเขาว่า ‘เหล่าเซียนพวกนั้นล้วนทำตัวเก่งกล้ามาตลอด แต่พออยู่ในช่วงเวลาวิกฤตกลับพากันหายหัวไปไหนหมด!’
ก่อนที่ศัตรูจะเข้ามาใกล้ เขาเปิดประตูรถม้าเบา ๆ แล้วกระโดดออกไปข้างนอกให้เงียบที่สุด
จากการแจ้งเตือนสถานะบนอินเทอร์เฟซของระบบ เพลงที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ถูกเรียกว่าเพลงของปีศาจมัสยาแสดงว่าคนที่ร้องเพลงนี้น่าจะเป็นปีศาจมัสยาหรือเปล่า?
เป็นไปได้ไหมว่าพวกมันมาที่นี่เพื่อมาช่วย 'ปีศาจ' ที่ถูกจับขังอยู่ในกรง?
ในขณะเดียวกัน เงาสีดำขนาดใหญ่ก็เข้าไปใกล้กระโจมอย่างรวดเร็ว และเสียงร้องเพลงก็หยุดกะทันหัน ก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงร้องอันโหยหวนที่ฟังดูน่าสะพรึงกลัว
พวกมันกระโจนเข้าไปในกระโจม แม้แต่ผ้าหนา ๆ ก็ไม่สามารถหยุดเงาปริศนานี้ได้ หลังจากนั้นเด็กชายและเด็กหญิงที่กำลังหลับสนิทก็ถูกดึงออกจากผ้าห่มทีละคน
เมื่อพวกเขาตื่นจากความฝัน พวกเขาก็พบว่าตัวเองกำลังถูกกลุ่มปีศาจกัดกินเครื่องใน!
ในตอนนี้ปีศาจมัสยาดูเหมือนจะถูกดึงดูดด้วยบางสิ่ง หลังจากใช้เวลาดมกลิ่นสักครู่ มันก็วิ่งไปทางเจียงหลี
ระหว่างที่มันวิ่งไปหาเป้าหมาย มันก็ส่งเสียงคำรามลึกในลำคอและแหบแห้ง ซึ่งตรงกันข้ามกับเพลงไพเราะเพราะพริ้งก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
พอมาถึง มันก็เปิดประตูไม้และมองเข้าไปข้างใน แต่ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าไม่มีใครอยู่ในรถม้าคนนั้น
ทันใดนั้นเองก็มีมีดดาบยื่นออกมาจากใต้รถม้าและตวัดผ่านขาของปีศาจมัสยาอย่างรวดเร็ว
ฉัวะ!
ตามมาด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปในอากาศและปีศาจตนนั้นก็ล้มลงกับพื้น
เจียงหลีลุกออกจากใต้รถม้าแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้รู้ว่าปีศาจร้ายตัวนี้ไม่ได้น่าเกลียด แล้วมันยังดูดีมากกว่าที่เขาคิดอีกด้วย
ผิวของมันดูเรียบเนียน และมีใบหน้างดงามราวกับบุปผาที่กำลังบานสะพรั่ง ประกอบกับผมสีดำขลับที่ยาวไปถึงเอวบาง
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เหยียนหงจะเรียกปีศาจตนนี้ว่า ‘เด็กผู้หญิง’ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันแยกเขี้ยวให้เห็นฟันแหลมคมสองแถว รวมถึงรูม่านตาสีดำสนิทที่ขยายใหญ่จนเต็มดวงตา สิ่งเหล่านี้ก็ได้ทำลายรูปลักษณ์อันสวยงามของมันไปจนหมดสิ้น
เด็กหนุ่มยกดาบยาวแทงทะลุหน้าอกของปีศาจมัสยาทันที หลังจากฆ่าปีศาจแสนสวยไปแล้ว เขาก็วิ่งไปทางกระโจมของเหยียนหงอย่างไม่ลังเล เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเห็นว่ามีปีศาจมัสยาสองสามตัวกำลังมุ่งหน้าไปทางนั้น
ในเวลาเดียวกัน เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของชายและหญิงดังขึ้นมาทำลายความเงียบสงบยามค่ำคืน จนในที่สุดเสียงร้องอันทุกข์ทรมานของมนุษย์ก็ปลุกเหล่าเซียนขึ้นมาจากการหลับใหล
“บ้าเอ๊ย! ภารกิจของข้า!”
“ไอ้ปีศาจพวกนี้! กล้าดียังไงมาบุกค่ายเรา อยากตายมากนักหรือไง! ”
“ทุกคน! ตื่นเร็วเข้า!”
เสียงตะโกนของเซียนท่านหนึ่งดังก้องไปในอากาศจนทำให้แก้วหูของเจียงหลีสั่นสะเทือน
ในที่สุดเสียงนี้ก็ปลุกทุกคนที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของการสะกดจิตให้ตื่นขึ้นมา ไม่นานคนในค่ายพักแรมก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความงุนงง หลังจากสัมผัสได้ถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นข้างนอก พวกเขาก็รู้สึกสับสนจนทำอะไรไม่ถูก เห็นได้ชัดว่าถ้าพวกเขาออกไปข้างนอกมันก็จะยิ่งยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม
โชคดีที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องออกไปต่อสู้กับปีศาจด้วยตัวเอง
ในขณะที่เหล่าเซียนกำลังเผายันต์ก็มีเปลวเพลิงลุกลามผ่านหมอกหนาทึบไปกระทบเข้ากับกลุ่มปีศาจมัสยา
เมื่อปีศาจร้ายสังผัสกับเปลวเพลิง ร่างกายของพวกมันก็ลุกไหม้ไปทั้งตัวในเวลาไม่กี่วินาทีและไม่ว่าพวกมันจะกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างไร เปลวเพลิงก็ไม่อาจมอดดับลง
ส่วนทางด้านจอมยุทธ์ชุดดำต่างก็พากันตกใจปนโกรธ พวกเขาชักกระบี่พุ่งเข้าหาปีศาจมัสยาแล้วตัดพวกมันเป็นชิ้น ๆ เสมือนว่าพวกมันเป็นผักปลา หากเทียบกับมนุษย์ที่ไม่สูงและแข็งแกร่ง จอมยุทธ์ผู้ใช้กำลังภายในเหล่านี้สามารถปราบปรามปีศาจได้อย่างง่ายดาย
พอเห็นว่าตนเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ในไม่ช้าพวกปีศาจมัสยาก็หันหลังวิ่งหนีไปพร้อมกับส่งเสียงคำราม
ตอนนี้เซียนในชุดสีขาวกะพริบวูบวาบไปทั่วบริเวณและยันต์ในมือก็เปลี่ยนไป ส่งผลให้ปีศาจมัสยาที่ถูกโจมตีไม่ถูกแผดเผาอีกแล้ว แต่พวกมันกลับนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นแทน
“จับพวกมันมาทั้งเป็น!”
-------------------------------------------
อากิระ talk: งงกันล่ะสิว่าปีศาจมัสยาคืออะไร… เราก็งงเหมือนกัน (อ้าว!!)